คิดแล้วซาจิก็ถือตระกร้าเดินใจลอยจนไปชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งเข้าเต็มๆ
"ว๊ายยย "
“เป็นอันใดรึเปล่าเล่าเจ้าหน่ะ”
เสียงทุ้มของบุรุษที่รองรับร่างของนางกำนัลสาวเอ่ยถามขึ้นข้างๆหู ทำให้สาวงามหน้าแดงก่ำ ด้วยไม่เคยพบกับบุรุษใดในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ ใกล้ชิดมากเสียจน ได้กลิ่นกายอุ่นๆนี่แล้ว
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ข้าน้อยมัวแต่ใจลอย ขอท่านปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ”
สาวน้อยรีบเอ่ยทันควัน เมื่อวงแขนที่กอดรัดมิยอมคลายออกเสียที ก่อนจะรีบเดินไปแต่เมื่อนึกขึ้นได้ จึงหันมาโค้งแสดงความขอบคุณอีกคราหนึ่ง พร้อมกับรีบเดินกลับเข้าไปในพระราชฐานชั้นใน ด้วยเป็นถึงพระพี่เลี้ยงใครมาเห็นเข้ามันจะมิงามนัก ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนค้าง อยู่กับดอกไม้ที่ร่วงหล่นไว้ จนกระทั่งนางเดินลับไปจากสายตาแล้ว ร่างนั้นจึงก้มลง ไปหยิบดอกไม้น้อยๆนั้น ขึ้นมาจุมพิตเบาๆ แล้วเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างถนุถนอม พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“ขอให้ข้าได้เจอเจ้า อีกนะ สาวน้อย”
“ท่านพ่อทรงเรียกหาลูกเช่นนั้นหรือเพคะ”
ในวินาที ที่ทรงได้ยินสุรเสียงหวานดั่งระฆังแก้ว ที่คล้ายจะลอยเข้ามาในห้วงคิด พร้อมๆกับร่างน้อยที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหวานๆของมวลดอกไม้ ทรงมองเห็นดวงหน้าขาวกระจ่างใสประดับไปด้วยรอยยิ้มที่หวานปานน้ำผึ้ง ดวงตากลมโตเส้นผมเงางาม ถ้าดอมดมไปซักคราคงจะได้กลิ่นดอกไม้ ที่ลอยล่องมาก่อนตัวนางเป็นแน่แล้ว
" นางมิคล้ายกับดวงจันทร์ของพระองค์ในคืนวานเอาเสียเลย แต่เหตุใดนะ ดวงหทัยของพระองค์จึงสั่นไหวขึ้นมาได้"
ดำริได้แค่นั้นก็ต้องอายตัวเองขึ้นมา เพราะขนาดผู้คนมากมายเช่นนี้ พระองค์ยังเผลอองค์ไปได้ขนาดนี้ ถ้าผู้ใดรู้เข้าพระองค์ จะทรงเอาหน้าไปไว้ที่ใดได้กัน
“อุ๊ย ท่านพ่อมีอาคันตุกะหรือเพคะ ลูกขออภัย”
ร่างน้อยที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในท้องพระโรง ทรงมิทันมองอันใดรีบเร่งสำรวมองค์อย่างว่องไว
"ฮิมาวาริเจ้ามาหาพ่อหน่อยเถิด”
แม้สุรเสียงของคนที่เป็นท่านพ่อจะนุ่มนวลผิดปกติ แต่ร่างน้อยก็เข้าไปหาแต่โดยดีด้วยท่าทางที่น่ารัก จนฝังในหทัยเจ้าชายหนุ่มไปเสียแล้ว
"น่ายินดียิ่งนักที่นางมิอัปลักษณ์ ดั่งที่ทรงกลัวเกรง แต่กลับตรงกันข้ามนางกลับน่ารัก น่ารักมากเสียจนเผลอองค์ใช้สายพระเนตรแทะโลมนางไปซะแล้ว"
รูปลักษณ์ของอาคันตุกะผู้มาเยือนนั้น สะดุดตาร่างน้อยยิ่งนัก ด้วยทั้งคณะมีร่างกายสูงใหญ่กำยำ ผิดแผกจากผู้คน ในแคว้นอันโดะของนางที่สูงแม้โปร่ง แต่ก็ไม่ดูแข็งแกร่งเช่นนี้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ร่างน้อยจึงลืมสำรวมตนไปชั่วขณะ ในขณะที่กวาดสายตามองออกออกไปยังทิศทางตรงกันข้าม จนไปสะดุดสายตากับบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งมีดวงหน้าหวานงดงามปานสตรี ริมฝีปากบางแดงจัดนั้นกับดวงหน้าที่เกลี้ยงเกลา มิมีหนวดเครารกครึ้มเช่นท่านพ่อ และเหล่าเสนาอำมาตย์เฒ่าเลยซักนิด
"คิ้วโค้งดังคันศร แต่ถึงแม้จะงามเพียงใด ก็คงมิมีผู้ใดคิดว่าคนผู้นี้คือสตรีเป็นแน่ เพราะรูปร่างสูงใหญ่องอาจสมชายชาตรียิ่งนัก แววตาแข็งกร้าวเหมือนคนมิยอมใคร แต่เมื่อมองนานๆแล้ว แววตาคู่นั้นกลับแฝงไปด้วย แววหวานซึ้ง ทำเอาหัวใจแทบสั่น แทบจะตกลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียวเชียว "
และกว่าร่างน้อยจะรู้สึกตัว ว่าคนตรงหน้านั้นรู้แล้วว่าทรงแอบมอง ก็ตอนที่ริมฝีปากแดงๆนั่นคลี่ยิ้ม พร้อมกับโค้งกายลงเล็กน้อย ทำเอาร่างน้อยใจสั่นระรัว หน้าตาของนางร้อนผ่าว จนเหมือนจะจับไข้หลายๆหน รีบละสายตาสำรวมตนขึ้นมาในทันใด กิริยาอาการของสาวน้อยแสนงามที่อยู่ฝั่งตรงข้ามช่างน่ารักน่าเอ็นดูนัก นางไม่ใช่สาวรุ่นที่มีจริตมารยา แต่กลับเหมือนเด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียมากกว่า คิดแล้วก็เกิดอาการหวงขึ้นมา จนอยากจะเอานางไปแอบไว้ไม่ให้ใครนั้นมาพบเจอนางได้อีกเลย
"คิดแล้วก็เจ็บใจนักเหตุใดนางไม่โตกว่านี้อีกซักหน่อยนะ จะได้เกี้ยวพาราสีนางได้บ้าง ”
การกระทำ ของหนุ่มสาวทั้งคู่ล้วนอยู่ในกรอบสายตาของคนเป็นพ่อแทบทั้งสิ้น ในฐานะผู้ครองแคว้นบุตรสาวมิอาจมีความสำคัญ ได้เท่าบุตรชายของพระองค์ แต่ ในฐานะพ่อลูกทุกคนล้วนมีความสำคัญยิ่ง แม้จะเป็นลูกที่เกิดกับนางเล็กๆหรือคนที่พระองค์รัก ทุกคนล้วนเท่าเทียม แต่สำหรับฮิมาวาริพระองค์ทรงโปรดนัก เพราะความเยาว์วัยและกำเนิดจากราชินีที่ทรงรักและปรารถนายิ่ง การตัดสินใจหมั้นหมายลูกผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ก็เหมือนกับพระองค์นั้น ควักดวงหทัย ให้คนอื่นไปทั้งดวง พระองค์จึงยังมิอาจวางใจได้ แต่เมื่อเห็นบุตรสาวของพระองค์และองค์ชาย ล้วนพึงใจต่อกัน ก็ทรงพอวางใจลงได้บ้าง
“เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดพ่อจึงเรียกเจ้ามาในยามนี้ องค์หญิงฮิมาวาริ”
สุรเสียงทุ้มเจือไปด้วยอำนาจ เอ่ยเรียกนามอย่างเป็นทางการ แสดงให้นางรู้ถึงหน้าที่ ร่างน้อยที่กำลังครุ่นคิดถึงบุรุษตรงหน้าถึงกับสะดุ้งโหยงขึ้นมา และเริ่มนึกถึงเค้าลางร้ายที่เป็นเมฆฝนลอยมาแต่ไกล
“ลูกมิทราบเพคะท่านพ่อ”
ร่างน้อย ต้องตอบแบบสงวนคำ เพราะยังมีผู้คนมากมายจะต่อปากต่อคำกับท่านพ่อ ก็คงไม่งามนัก ทั้งที่ในใจอยากถามว่าเหตุอันใดเพคะ
“เราขอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ผู้ที่มาเยือนในวันนี้ ก็คือ องค์รัชทายาทเทโยแห่งเรียวโค ผู้ซึ่งจะได้เป็น พระคู่หมั้นขององค์หญิงฮิมาวาริ ธิดาของเราผู้เป็นจ้าวครองแคว้นอันโดะ"
" พิธีจะจัดขึ้นหลังจากนี้ อีก สิบวัน”
สิ้นพระสุรเสียงเหมือนดังมีสายฟ้าฟาดลงมากลางเมฆฝน ท้องฟ้ายามหมดฤดูหนาวที่น่าจะสดใส แต่เหตุใดกลับกลายเป็นดั่งจะย่างเข้าสู่ในฤดูฝนกันได้นะ ทำให้ร่างน้อยถึงกับตัวแข็งไปชั่วครู่ ตรงกันข้ามองค์รัชทายาทเทโย ที่รู้สึกจะสุดแสนจะปลาบปลื้มใจเหลือเกิน ที่ได้มีสิทธิในตัวเจ้าร่างบางนี้แล้ว
“ฮิมาวาริท่านผู้นี้ก็คือ องค์รัชทายาทเทโย ผู้ที่จะเป็นคู่หมั้นหมายของเจ้า”
ร่างบางที่ตอนนี้ไม่อาจรับฟังอันใดได้ สติเริ่มรางเลือนจนรอบข้างวูบไหว เหมือนดั่งทุกสิ่งไม่หยุดนิ่ง แต่ก่อนที่ร่างกายจะสัมผัสกับสิ่งใด คล้ายกับมีมืออุ่นๆมารองรับไว้ก่อนที่สติจะค่อยๆดับวูบไป
“ตำหนักของนางอยู่ที่ใด ใครนำข้าไปที แล้วไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้เลย "
สุรเสียงเกรี้ยวกราดปานฟ้าผ่า ตรัสสั่งออกไปดั่งกับเป็นบ้านเมืองของตน พร้อมกับโอบกระชับร่างน้อยไว้จนแน่น มิยอมให้ใครแตะต้อง จนคนรอบข้างตกตะลึงยืนนิ่งกันเป็นแถว จนมีสุรเสียงดังตะโกนขึ้นมาอีกรอบ
“โธ่เว๊ย!!!
"ข้าถามว่าตำหนักนางอยู่ที่ใด!!! "
“ใจเย็นๆองค์ชาย เราจะให้คนนำท่านไปเอง นางคงมิเป็นอันใดนัก ทรงอาจจะตื่นเต้นจนเกินไปจึงสลบไปพะยะค่ะ”
บิดาของนางถึงกับต้องเอ่ยออกมา เพื่อระงับโทสะขององค์รัชทายาทเรียวโคเสียก่อน พร้อมกับบอกทหารที่ยืนค้างให้นำทางไปพร้อมแย้มสรวลออกมาน้อยๆ