“เจ้าต้องช่วยข้านะซาจิ”
“ช่วย ช่วยหรือเพคะ หม่อมฉันจะช่วยอันใดองค์หญิงได้กันเพคะ”
นางกำนัลน้อยเร่งไต่ถามออกมาด้วยความตื่นตกใจ และก็ต้องตกใจขึ้นมาจริงๆยามฟังคำเอ่ยตรัส ของพระองค์หญิงน้อยๆของนางอีกครั้ง
“ข้าจะหนี!!!!"
"ข้าจะหนีไปหาท่านตาที่ทางเหนือ ท่านแม่เคยสั่งเสียเอาไว้ก่อนที่จะทรงสิ้นพระชนม์ ว่าถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นมาให้ไปไปหาท่านตาที่คาราซัก ท่านจะปกป้องและคุ้มครองข้าได้”
ร่างน้อยหวนคิดถึงความทรงจำในครั้งที่เยาว์วัย ทรงยังจำได้ติดตานักถึงวันที่งดงาม ในวันที่หิมะโปรยปรายในฤดูหนาว ท่านแม่ผู้งดงาม ท่านแม่ผู้มิอาจสู้แสงตะวันและลมหนาว ท่านแม่ผู้เป็นดั่งดวงหทัยของท่านพ่อ ท่านได้โอบกอดนางเหมือนทุกวัน และท่านมักจะกล่าวอย่างมีความสุขในทุกๆครา
”ท่านพ่อนั้น เปรียบดั่งแสงตะวันของแม่ แม้จับต้องนานมิได้แต่ก็นำความอบอุ่นมาให้อย่างยิ่งนักฮิมาวาริ ส่วนเจ้าเป็นดั่งดอกไม้น้อยๆของแม่ ที่มักคอยหาแสงตะวันให้แม่เสมอ แม้มิอาจสาดแสงร้อนแรง แต่ดอกไม้ดอกน้อยที่สดใสร่าเริงก็คือดวงใจของแม่ “
เพียงแค่คดำริขึ้นมาสายอสุชลก็หยาดหยด ลงมาตามใบหน้าขาวนวลในทันที
“องค์หญิง!! ทรงกรรแสงขึ้นมา เพราะเหตุอันใดกันหรือเพคะ”
หยาดอสุชลที่หยาดหยดลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย สร้างความตกใจให้พระพี่เลี้ยงยิ่งนัก ต้องเร่งปลอบประโลม พร้อมกับขยับมือไม้ หาผ้าซับพระเนตรให้อย่างวุ่นวาย ด้วยองค์หญิงของนางนั้น มิเคยกรรแสงเบาๆเช่นนี้มาก่อนเลย
“ข้าคิดถึงท่านแม่ซาจิข้าอยากเป็นดั่งท่านแม่ อยากมีความรักและได้อยู่ไกล้ๆกับคนรัก ไปจวบจนตราบสิ้นลมหายใจ”
“โถ่ องค์หญิงของซาจิ อย่าคิดสิ่งใดอีกเลยเพคะ หม่อมฉันยังคงอยู่เคียงข้างองค์หญิงที่นี่นะเพคะ”
และนับจากวันนั้น ร่างน้อยก็พยายามขบคิดแผนการต่างๆนาๆ เพื่อหาทางหลบหนีออกไปจากพระราชฐานชั้นในให้ได้ แต่ด้วยเป็นเขตห้วงห้าม แม้แต่นางกำนัลก็มิอาจได้ออกไปโดยง่าย ถ้ามิมีพระบรมราชโองการหรือผู้มียศมาทำหน้าที่ประทับตรา คนในก็มิอาจออกคนนอกก็มิอาจเข้ามาได้โดยง่าย เพื่อเป็นการป้องกันเหตุร้ายต่างๆ มิให้บังเกิดขึ้นได้
และเมื่อมิอาจทำสิ่งใดได้การหลบหนีจึงถูกพักไว้ชั่วคราว จนกระทั่งฤดูหนาวได้ผ่านไป และเมื่อผ่านพ้นฤดูหนาวจนย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ หมายกำหนดการงานพระราชพิธี ที่ถูกกำหนดไว้ ก็ถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ
องค์หญิงต่างๆ ถูกกำหนดให้มีคู่หมั้นหมาย และสมรสพระราชทาน โดยจะมีพระคู่หมั้น และคู่สมรสเดินทางมายลโฉมและรับคู่สมรสกลับไปยังเมืองของตน โดยกำหนดการต่างๆมิได้ตรงกัน เพื่อป้องกันปัญหาระหว่างประเทศ
และสิ่งที่องค์หญิงฮิมาวาริ ทรงหวาดกลัวนั้น ก็ถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ พร้อมกับกำหนดการมาเยือนขององค์รัชทายาทเทโย คู่หมายของพระองค์ ซึ่งมาถึงที่แถบเมืองเขตชายแดนแล้วมและมีข่าวส่งมาว่า พระองค์ได้ร่วมกับแม่ทัพภาคตะวันออก สังหารกลุ่มกบฎและกองโจรให้ด้วย สร้างความหวาดกลัว ในสายตาองค์หญิงน้อยขึ้นไปอีก
“ข้าจะทำเช่นไรดีนะ ซาจิ เจ้าคนโฉดนั่น กำลังจะมาถึงแล้ว ข้ากลัวเหลือเกินถ้าต้องตกเป็นสมบัติ ของคนเช่นนั้น ข้าขอยอมตายไปเสียจะยังดีกว่า “
ร่างน้อยที่ซึ่งคิดมากจนน่าสงสาร จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนนางกำนัลพระพี่เลี้ยงทนทานไม่ได้ ต้องหาทางช่วยขบคิดร่วมด้วยอีกแรง จนนึกได้ถึงกำหนดการเดินทางไปชายแดนภาคตะวันตกขององค์หญิงใหญ่ จึงรีบกราบทูลองค์หญิงของตนให้ไปขอความช่วยเหลือ จากองค์หญิงผู้มีศักดิ์เป็นพระพี่นางร่วมบิดากัน
“ท่านพี่หญิงต้องช่วยน้องนะเพคะ ถ้าน้องอยู่ถึงยามจวบจนองค์รัชทายาทเสด็จมา น้องคงมิอาจหลบพระพักตร์ได้อีก”
ร่างน้อยเขย่าแขนพระพี่นางร่วมสายโลหิตแรงๆ และทำดวงตาหวั่นวิตกขึ้นมา
“เฮ้อ..ช่างน่าสงสารจังน้องพี่ แต่เอาเถอะนะเพื่อน้องของพี่ พี่จะช่วยเจ้าเอง ให้เจ้าหลบออกไป ในขบวนเจ้าสาวของพี่ก็แล้วกัน แล้วพวกเจ้าค่อยแยกออกไปตรงเขตชายแดน เพราะพี่กับเจ้าต้องไปคนล่ะทางกัน "
ร่างงดงามแสร้งถอนหายใจเบาๆ พร้อมบอกจุดหมายของตน ที่เตรียมจะกำจัดมารความสุขของพระองค์ออกไปให้สิ้น
“ขอบพระทัยเพคะ น้องรักท่านพี่หญิงมากเหลือเกินเพคะ”
ร่างน้อยโอบกอดร่างบางของพระพี่นางอย่างยินดี แล้วจึงรีบเร่งกลับตำหนักของตนเอง เก็บข้าวของเตรียมย่างพระบาทก้าวออกจากฝ่ายในเป็นครั้งแรกในชีวิต แม้ในใจทรงหวาดหวั่นแต่อย่างไรนั้น การรอคอยคู่หมั้นแสนโหดเหี้ยม ให้มาพบเจอ ก็คงไม่ดีแน่
“ซาจิ เจ้าว่าองค์ชายเทโย จะมีหน้าตาเป็นเช่นไรกันหรือ"
เสียงหวาน ถามนางกำนัลคู่กาย ในยามราตรีขึ้นมา ดวงตาวาววับในความมืด
“ถ้าทรงอยากรู้ องค์หญิงก็รอพบพักตร์สิเพคะ”
“ไม่!!!!”
“เช่นนั้นก็ทรงบรรทมเถิดเพคะ ต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้นมาบ้าง หม่อมฉันก็มิอาจรู้ได้เลย “
ซาจิถอนหายใจเบาๆ พลางคิดขึ้นมาในใจ ว่าผู้เป็นนายของตนนั้นยังอ่อนต่อโลกนัก แต่ชีวิตนี้นางก็อุทิศตัวเพื่อเจ้านายตัวน้อยพระองค์นี้ ไปเสียแล้ว
“เจ้าอย่าทิ้งเราไปนะ ซาจิ”
เสียงหวานดังขึ้นมาเบาๆในความมืด เอ่ยอย่างกังวลในพระทัยขึ้นมา
“หม่อมฉันสัญญาด้วยชีวิตของหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉัน จะติดตามองค์หญิง ไปทุกหนทุกแห่งเลยเพคะ ”
“อา ฟังเช่นนี้แล้วเราย่อมสบายใจแล้ว รีบนอนกันเถอะซาจิ เราก็ง่วงแล้ว”
แล้วความเงียบ ก็เข้ามาแทนที่ ร้อมกับสายลมโชยพริ้วมาเบาๆ กล่อมเจ้าของร่างน้อยเข้าสู่นิทรารมณ์
ทางด้านองค์ชายเทโยที่พักแรมอยู่ห่างออกไปนอกเมืองนั้น หลังจากที่ทรงเหน็ดเหนื่อย จากการปราบโจร และกลุ่มกบฎ เพื่อช่วยเหลือบ้านเมืองของพระคู่หมั้นตน ราตรีนี้รัชทายาทหนุ่ม กลับไม่อาจหลับพระเนตรบรรทมลงได้อีกจะบรรทมก็รู้สึกกระสับกระส่าย พลิกซ้ายพลิกขวาอยู่หลายครา จนอดรนทนไม่ไหวพรวดพราดออกมาจากกระโจม จนองครักษ์ที่นั่งผิงไฟอยู่เวรยามนั้นก้มลงคำนับแทบไม่ทัน
“องค์ชายไม่ทรงบรรทมแล้วหรือพะยะค่ะ”
โทริองครักษ์คู่กาย ถามขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย ด้วยเกรงว่าจะทรงประสงค์สิ่งใด เพราะเพิ่งทรงเข้าไปบรรทมได้ไม่นานนักมิทันไรพระองค์ก็พรวดพราดเสด็จออกมาซะแล้ว
“ข้านอนไม่หลับ อีกนานหรือไม่กว่าจะถึงเมืองหลวง”
"ถ้ามิเร่งรีบ เราก็ถึงก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน พะยะค่ะ"
โทริองครักษ์คู่ใจกล่าวรายงาน ด้วยการเดินทางนั้นใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เวลานี้จึงมิใคร่รีบเร่งกันเท่าใดนัก
"แสดงว่าใกล้จะถึงวังหลวงแล้วซินะ"
วรองค์สูงโปร่งตรัสออกมา พร้อมกับทอดพระเนตรไปทั่วผืนฟ้า ที่ดวงดารานั้นพร่างพราวระยิบระยับ งดงามนักพลางดำริถึงว่าที่พระคู่หมั้นออกมาอย่างมิรู้ตน
"หน้าตาของนาง จะเป็นเช่นไรกันหนอ จะนวลเนียนเหมือนดั่งแสงจันทร์ ในคืนนี้หรือไม่นะ "
ยิ่งดำริก็ยิ่งร้อนพระทัย พาเลือดลมในกายนั้นเดือดพล่าน จนไม่อาจดำริสิ่งใดได้อีกเลย
" นี่มันเกิดอะไรขึ้น กับพระองค์กันแน่นะ แค่เพียงทรงทอดพระเนตรเห็นนางในภาพวาดเท่านั้นเอง ยังมิทรงทันได้ทอดพระเนตร โฉมหน้าแท้ๆของนาง พระองค์ก็เป็นได้ถึงเพียงนี้แล้ว แต่ไหนแต่ไรมามิว่าท้องฟ้านั้นจะถล่ม แผ่นดินจะทลาย พระองค์ก็มิเคยใส่ในหทัยตน โลกต้องหมุนรอบพระองค์แต่เพียงผู้เดียว แต่เหตุใดนะ เพียงแค่รูปวาดใบเดียว จึงทำให้พระทัยร้อนรุ่ม จนแทบคลั่งเฉกเช่นนี้ ได้ “
ในพระทัยขององค์ชายหนุ่มนั้น ดำริขึ้นมาเพียงว่า
"แม้นางอัปลักษณ์ มิเหมือนในรูปวาดก็ช่างเป็นไร เดี๋ยวค่อยหาทางถอนหมั้นนางทีหลังก็ย่อมได้ อย่างไรแล้ว นางก็ยังเป็นแค่พระคู่หมั้น ขอเพียงได้ยลโฉมนางซักครั้งหนึ่งพอให้หายครุ่นคิดได้ก็เพียงพอแล้ว จะได้ไม่ค้างพระทัยอยู่เช่นนี้"
ทรงดำริได้เพียงเท่านี้เอง พลัน..พุ่มไม้ข้างพระองค์ก็สั่นไหว ทำให้พระองค์ต้องรีบเรียกสติกลับคืนมาอย่างเร่งด่วน พระหัตถ์ขวากระชับแน่นที่อาวุธประจำองค์ พร้อมหันไปให้สันญาณเหล่าองครักษ์ให้เตรียมพร้อม พุ่มไม้สั่นไหวรุนแรง แต่ก็มิมีสิ่งใดออกมา ดังเช่นที่ทรงตื่นตกพระทัย