9.บีนท์เตรียมบอกลา

4922 Words
เพียงเวลาไม่นานข่าวลือของลูกชายท่านดยุกที่ได้ผลวิเศษจากเด็กชายมาจากตลาดก็กระจายไปทั่วเมือง เมื่อผู้คนที่ได้ยินข่าวลือนี้ก็เร่มสนใจถึงอาการป่วยของลูกสาวท่านดยุกที่ป่วยมาได้สักพักแต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาได้เลย และยิ่งข่าวกระจายมาว่าได้ผลวิเศษที่มาจากป่าวาเทนด้าที่ว่ากันว่าเป็นป่าที่ไม่เคยมีใครสามารถเดินเข้าไปถึงชั้นกลางได้เลยมาอยู่ในมือครอบครัวของท่านดยุก นั้นยิ่งทำให้พ่อค้าและนักเดินทางที่ต้องกาเสี่ยงตายไปที่นั้นสักครั้งเริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา บ้างก็บอกว่าเป็นเรื่องหลอก บ้างก็บอกว่าเป็นเรื่องจริง แต่ข่าวลือที่ว่าด้วยเรื่องของคนขายที่ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าลูกชายคนโตของท่านดยุกไปซื้อมาจากใครในตลาดนั้นไม่มีใครรู้ได้ รู้เพียงว่าเป็นเด็กชายวัยไม่ถึง 10ปีเป็นคนขาย แต่ชาวบ้านไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า และนั้นก็ทำให้พ่อค้าและนักเดินทางทั้งยังไม่รวมเหล่าชนชั้นสูงที่อยากรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ต่างส่งคนไปที่หมู่บ้านนั้นเพื่อหวังว่าจะโชคดีและได้ผลวิเศษมาสักผลเพื่อพัฒนาพลังธาตุของตัวเองและนั้นก็ทำให้ข่าวลือกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว “นี้ๆ วันนี้ดูเหมือนจะมีคนมาเดินตลาดเยอะกว่าทุกวันเลยนะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” เสียงจากพ่อค้าพูดกับพ่อค้าด้วยกันอย่างสงสัย “ไม่รูหรือไงว่ามีข่าวลือดังมากเลยนะว่า มีลูกชายของดยุกจากเมืองไหนก็ไม่รู้มาที่ตลาดเราแล้วได้ผลที่ตรงตามในตำราที่ว่ามาจากป่าวาเทนด้าด้วยนะ เห็นว่าตอนนี้ตามหาเด็กคนที่ขายคนนั้นกันใหญ่เลย” พ่อค้าอีกคนตอบ “ที่ตลาดเราเนี่ยนะ มีของแบบนั้นมาขายด้วยเหรอเห็นแต่ของเก๊ทั้งนั้น” “มีสิ ถ้าไม่เชื่อเขาจะลือกันได้ยังไงล่ะ” พ่อค้าทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกปากก่อนจะมีกลุ่มนักเดินทางเดินมาหยุดลงที่หน้าร้านทำให้ทั้งคู่หันไปขายของต่อ กลุ่มนักเดินทางเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยของการต่อสู่เต็มไปหมดเดินมาหยุดลงที่หน้าร้านพร้อมชายคนหนึ่งหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาใครบ้างคนอยู่ “คือ ลุงพอจะรู้จักเด็กชายตัวเท่านี้ที่มาขายของเมื่อวันก่อนไหมครับ” พูดพร้อมกับใช้มือวัดขนาดของความสูงที่ยังไม่ถึงเอวให้ดู “ไม่รู้จักนะ ตลาดเรามีเด็กมาขายของด้วยเหรอมีอะไรหรือเปล่าพ่อหนุ่ม” “บอกแล้วว่าเด็กนั้นคงไม่อยู่แล้วล่ะมั่ง คิดว่าเดินไปเดินมาแล้วจะเจอเด็กนั้นหรือไง” เสียงผู้หญิงพูดพร้อมกอดอกสะบัดหน้าไปทางอื่น “อย่าหาเรื่องกันจะได้ไหม ถ้าไม่ใช้เพราะฉันไปซื้อผลพวกนั้นมาจากเด็กคนนั้นป่านนี้เราพิการกันไปหมดแล้ว” “เอาน่า ใครจะรู้ว่าเด็กนั้นขายผลที่มาจากป่าของจริงกันละ จริงไหม” เพื่อนในกลุ่มอีกคนพูดเพื่อสงบศึก “ผล ผลอะไรหรือพ่อหนุ่ม” พ่อค้าที่ได้ยินก็เริ่มสนใจบทสนทนาของกลุ่มลูกค้า “ก็วันก่อนผมมาเดินตลาดแล้วมีเด็กคนหนึ่งขายของที่แถวนี้นะครับ ผมเห็นว่าน่าสงสารเลยช่วยซื้อไปก่อนที่จะเดินเข้าป่านะครับ แต่ไม่คิดว่าผลพวกนั้นจะเป็นของจริงพอเราต่อสู่กับสัตว์อสูรในนั้นเพื่อที่จะเดินเข้าไปให้ถึงป่าชั้นกลางก็เกิดอาการบาดเจ็บซะก่อน โชคดีที่ผลไปสังเกตเห็นผลที่ซื้อมาจากเด็กคนนั้นมันเรืองแสงขึ้นมาเลยลองเสี่ยงดูไม่คิดเลยว่าจะเป็นของจริงที่มาจากป่าชั้นใน พอเราออกมาจากป่าก็เลยไปหาข้อมูลจากหนังสือจนมารู้ว่าผลพวกนั้นเป็นของจริงนะครับ” “ใช้ ที่พวกเรามาวันนี้ก็เพื่อจะมาซื้อผลราชัน เพราะเราไปอ่านมาแล้วรู้มาว่ามันสามารถเพิ่มพลังธาตุให้เราได้ ถ้ารู้อย่างนี้ว่าเป็นของจริงน่าจะซื้อผลาชันนั้นมาด้วยนึกแล้วก็เสียดายชะมัด” “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องจริงละสินะ” กลุ่มนักเดินทางเดินทางทั่วตลาดแต่ก็หาตวของเด็กชายไม่เจอและไม่มีวี้แววว่จะหาเจอเลย พวกเขาระหว่างที่หาไปก็เล่าให้คนอื่นฟังไปด้วย นั้นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้พ่อค้าคนอื่นๆที่ขายผลเก๊พอสมควรเพราะพอข่าวลือนี้ถูกกระจายออกไปก็ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นของเก๊หรือไม่ก็ของปลอม นั้นยิ่งทำให้เหล่าพ่อค้าสนใจที่จะหาตัวของเด็กชายที่คนอื่นลำลือกันว่าเป็นเทพจากป่า ส่วนเหล่าพ่อค้าที่พอได้ยินเรื่องนี้ก็เริ่มมีความโลภเข้าครอบงำเมื่อนึกถึงชื่อเสียงและเงินทองที่ตามมา “เจ้าว่าข่าวลือเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” พ่อค้ารายใหญ่ถามพ่อค้าอีกคน “ไม่รู้สิ แต่เมื่อวันก่อนถ้าจะถามว่าเด็กชายที่มาขายองที่ตลาดเรา ข้าก็พอจะเห็นแต่ข้าไม่แน่ใจว่าจะใช้หรือเปล่านี้สิ” “เล่ามาสิ เพื่อเราจะได้รู้ว่าเป็นคนไหน อีกอย่างที่ตลาดของเราก็ใช้ว่จะมีเด็กที่มาขายของในตลาดส่วนของเราเยอะเสียที่ไหน” “วันก่อนข้าเห็นเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ มาขายของในตลาดเรา อายุหน้าจะประมาณ 7-8 ได้ หน้าตาท่าทางเหมือนไม่ใช้คนที่นี่นะ” พ่อค้าพูดคุยกันเพื่อเเลกข้อมูลกันเกือบชั่วโมงก่อนที่จะแยกย้ายไป ต่างจากข่าวลือที่กระจายไปมากกว่าเดิมเมื่อมีคนมายืนยันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งต่างจากเจ้าตัวที่ทำให้มีข่าวลือลิบลับเพราะเด้กที่คนอื่นลือกันตอนนี้กำลังนั่งย่างผลที่เด็ดมาจากเหล่าต้นไม้พฤกษาที่อยู๋บริเวณบ้างจนส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วบริเวณนั้น “ใกล้สุกแล้วล่ะ หอมกำลังดีเลยเนอะสกับบี้” จิมที่ตอนนี้กำลังนั่งย่างผลต่างๆที่ตัวเองเด็ดมาจากต้นด้วยความหิว ด้วยสีหน้าสบายใจแบบอิ่มเอ็มเมื่อได้กลิ่นของความหอมและเมื่อนึกถึงรสชาติที่มีความหวานอมเปรี้ยวนิดๆ โดยที่ไม่ได้สังเกตถึงสิ่งต่างๆรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ‘กลิ่นอะไรนะ’ เสียงของต้นไม้ต้นหนึ่งที่พึ่งได้กลิ่นไม่ไกลมากนักพูดด้วยน้ำเสียงสงสัยพร้อมมองหากลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้พร้อมมองไปทางซ้ายทีขวาที โดยที่เหล่าพฤกษารอบๆก็เริ่มได้สติจากการพักผ่อนก็เริ่มถามหากลิ่นนี้ด้วยเช่นกัน จนมีต้นไม้ที่สวยงามที่ชวนให้หน้าหลงไหลอยู่ต้นหนึ่งที่ออกผลออกมาเป็นดวงดาวเห็นจิมกำลังนั่งมองบ้างอย่างอยู่ก็เริ่มสนใจจึงถามด้วยความอยากรู้ ‘ทำอะไรอยู่รึ เด็กน้อยเห็นนั่งอยู่อยู่นานแล้วมีอะไรหรือเปล่า’ เสียงนุ่มที่ฟังแล้วชวนให้อบอุ่นหัวใจถามกับเด็กชายที่กำลังหันหลังให้อยู่ไม่ไกล จิมที่พอได้ยินก็รู้แล้วว่าพวกพี่ๆทั้งหลายตื่นจากการนอนกลางวันแล้วจึงหันกลับไปด้วยรอยยิ้มกับดวงตาที่เปล่งประกายคล้ายกับตั้งตารออะไรบ้างอย่างอยู่ในขณะนั้น “ผมกำลังย่างของกินอยู่ฮะ ดูสิ กลิ่มห๊อมหอม…” จิมพูดพร้อมสูดกลิ่นให้ดูว่ากลิ่นหอมแค่ไหน แต่พอคนที่ได้ยินกลับไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นเลยแม้แต่น้อยแต่กลับไปโฟกัสที่เปลวไฟที่กำลังให้ความร้อยอยู่ในเตาขนาดเล็กที่หาได้ในบ้านเก่าหลังนี้ ‘ไฟ!!! ไฟ ไฟไหม้ ไฟ…’ เหล่าต้นไม้ไม่กี่ต้นที่พอได้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ใกล้กับเด็กน้อยเป็นอะไรก็ร้องออกมาอย่างตกใจ ‘อะไรนะ ไฟ ไฟ!!!ไฟไหม้ ไฟตะไหม้พวกเราแล้ว เราจะตายกันหมด ไฟ…’ เสียงของต้นไม้อีกต้นที่ตะโกนออกมาอย่างกลัวตายแบบสุดขีด นั้นยิ่งทำให้ต้นอื่นๆที่ได้ยินก็แตกตื่นกันเข้าไปอีกต่างจากจิมมากที่ตอนนี้มองด้วยสายตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ‘ไฟ!!! ฮะ ไฟ ไฟมายังไง เกิดอะไรขึ้น เราจะตายกันหรือเปล่า ไฟอยู่ไหน ดับมันเร็วเข้าดับไฟก่อนที่เราจะตายกันหมด’ เสียงชุนมุนวุ่นวายเต็มไปหมดแต่นั้นมันก็แค่เสียงที่ร้องออกมากับต้นไม้ที่สั่นไหวไปมา ถ้าใครที่นึกไม่ออกให้นึกถึงต้นไม้ที่มีกิ่งไม้เต็มไปหมดกำลังดิ่นไปมา สั่นไหวและตีกันไปหมดจนเกิดความวุ่นวายนั้นแหละคือภาพที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ ซึ่งต่างจากจิมที่มองด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อจิมเห็นอาหารที่ตัวเองย่างสุกแล้วจึงค่อยๆหยิบขึ้นมาด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจขัดกับด้านหลังที่กำลังกรีดร้องอย่างไม่สนใจอะไรเลย สุกแล้ว…กลิ่นห๊อมหอม น่ากินจัง ‘ไฟจะไหมพวกเรากันหมดแล้ว….’ เสียงกรีดร้องของเหล่าพฤกษาทั้งหลายที่เหมือนกำลังแข่งกันร้องเพลงมากกว่าที่จะร้องขอความช่วยเหลือ “เสร็จแล้ว น่ากินขึ้นเยอะเลยเนอะ” ‘ฮะ! ไฟ ไฟนี้มาจากเจ้ารึจิม’ อีกฝ่ายที่เห็นจิมยืนผลงานที่ตัวเองทำให้ดูด้วยความภูมิใจ พร้อมกับความวุ่นวายที่ถูกยุติลง “ฮะ มีอะไรกันหรือเปล่าฮะ ทำไมมองผมแบบนั้นละทีเมื่อกี้ยังร้องเพลงกันอยู่เลย ร้องต่อสิฮะเดี๋ยวผมช่วยร้อง มาสิ” จิมพูดด้วยสีหน้าอย่างตั้งตารอ จนทำเหล่าพี่ทั้งหลายไปกันไม่เป็นกับสิ่งที่ได้ยิน ‘เมื่อกี้ไฟมาจากเจ้าเหรอ’ "ฮะ นี้ไงไฟ อยู๋ในเตานี้ไงฮะผมเก่งไหมล่ะ ก่อไฟได้ด้วย' ‘ฮึก ไฟนั้นมาจากเจ้านี้เอง เหอะ เหอะ’ เสียงจากอีกต้นที่อยู่ไม่ไกลหัวเราะแห้งๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อไม่นานจนหมดลุครุ่นพี่ที่น่าเคารพ ‘แล้วใครเป็นคนร้องอย่างกับเกิดไฟป่าวะ’ เสียงไม่พอใจที่ดูก็รู้ว่าเป็นเสียงใครดังมาจากต้นไม้แถวหน้าสุดที่ต้นอยู่ใกล้กับต้นราชันนั้นก็คือต้นจาชานนั้นเอง ‘ฮะๆๆ ไฟ ฮะๆ เมื่อกี้หน้าเจ้ากับกับคนเห็นวิญญาณแนะ นึกแล้วก็ขำ ฮะๆๆ’ ต้นราชันพูดไปหัเราะไปจนทำจิมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น “เมื่อกี้ มีอะไรกันหรือเปล่าฮะ” ‘เปล่าหรอก แค่เจ้าสองต้นนี้เล่นกันเฉยๆนะ’ “เหรอฮะ อืม…อร่อย” จิมที่ถามแล้วได้คำตอบก็ก้มหน้าลงกินอาหารที่ตัวเองเป็นคนทำให้เกิดความวุ่นวายนี้อย่างมีควมสุขซึ่งต่างจากเหล่าพฤกษาที่ทำได้แค่ยิ้มแห้ง ไม่ก็หัวเราะแห้ๆออกมาก็เท่านั้น หมดกัน ความน่าเคารพของเราถูกทำลายด้วยไฟในเตาที่แทบจะมองอะไรไม่เห็นเลยว่าเป็นไฟ เมื่อจิมกินผลต่างๆจนรู้สึกได้ว่าอิ่มแล้วก็เริ่มไปเรียนต่อ เพราะหลายวันมานี้จิมต้องเรียนจากเหล่าพฤกษาทั้งหลายเพื่อการใช้พลังธาตุของตัวเองอย่างถูกวิธีและรวมถึงการควบคุมและประวัติศาสตร์ต่างๆของป่าวาเทนด้าที่พวกเขาเป็นคนสอนรวมทั้งเรื่องต้นไม้อะไรที่อันตรายหรืออะไรที่เป็นมิตรหรือไม่เป็นมิตรในป่าทั้งสองระหว่าป่าวาเทนด้ากับป่าซาเคีย เหล่าพฤกษาที่ดูเหมือนจะพึ่งอะไรไม่ได้แต่เวลาท่สอนก็สามารถสอนได้อย่างเข้าใจและไว้ใจได้รวมทั้งการสอนก็ทำให้จิมมองเห็นภาพได้ว่าถ้าเกิดเหตุการ์ณนั้นจริงๆจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหล่าต้นไม้ที่เป็นครูที่ดีพอสมควรสอนหลายๆอย่างให้กับจิมไม่ว่าจะเป็นแผนที่ของป่าวาควรจะไปทางไหนเพื่อไม่ให้เจออันตราย หรือจะเจอสัตว์อสูรระดับไหนบ้างที่จะเจอในป่า และควรวางตัวยังไงถ้าเจอพวกมัน ‘ที่ป่าซาเคียนั้นจะมีต้นไม้หลายหลายสายพันธ์มีทั้งต้นไม้ทีมีพิษและต้นไม้ที่ขยับไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระแต่ที่ขยับได้ก็เพียงแค่ลำต้นกับกิ่งก็เท่านั้นแต่รากของมันไม่สามารถขยับไปไหนได้ก็เท่านั้น ในป่าซาเคียมักจะมีสัตว์อสูรมากกว่าที่ป่าวาเทนด้ามากและก็อันตรายมากเพราะสัตว์อสูรพวกนั้นอาศัยอยู่ทุกทีของป่า ทำให้เวลาที่สัตว์อสูรพวกนั้นถูกจับมาขายก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เข้าใจหรือเปล่าจิม’ “ฮะ” เด็กชายพยักหน้าเพื่อให้รู้ว่าที่สอนมาหลายชั่วโมงเข้าไปในสมองของเด็กชายแล้ว ‘และอีกอย่างหนึ่งที่เจ้าควรรู้และเป็นเรื่องที่เจ้าจะต้องระวังให้มาก นั้นก็คือไฟ’ ‘ใช้แล้ว ไฟนะมันร้อนมากเลยนะ อีกทั้งมันยังสามารถทำให้ใครก็ตามที่สัมผัสมันต้องมีความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดแล้วมันก็ทำให้คนตายได้ และไฟก็ไม่ดีกับเจ้าและสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยเช่นกัน จำเอาไว้นะ ต้องออกห่างจากไฟให้มากๆเข้าใจไหม’ “ฮะ ออกห่างจากไฟ” ‘เจ้านี้สอนอะไรก็ไม่รู้ให้จิม มานี้ข้าสอนเอง จิมเวลาเจ้าเจอไฟเจ้าจะต้องรีบดับไฟนะ อย่าให้มันลุกลามแล้วทำร้ายคนอื่นได้ จำไว้ไฟคือสิ่งไม่ดี’ ชีวิตประจำวันของจิมไม่ได้มีอะไรมากนักเพราะวันๆก็อยู่แต่กับต้นไม้หรือไม่ก็บีนท์บ้างในบ้างครั้งที่บีนท์จะมาเล่นด้วยเพราะตอนนี้เด็กชายไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองแล้วเพราะหลังจากได้เงินในส่วนกองมรดกจากครอบครัวของพ่อตัวเองเขากับแม่ก็ไม่ได้ลำบากมากนักเพราะฝ่ายแม่กับพี่ชายเริ่มทำอาชีพสร้างเนื้อสร้างตัวแล้วและแม่ขอบีนท์ที่ตอนนี้เปิดร้านอาหารอยู่ในตลาดแล้วโชคดีที่เป็นทางผ่านของนักเดินทางทำให้ร้านขอายดีพอสมควรและเวลาที่บีนท์มาหาก็ไม่ลืมที่จะเอาของติดไม่ติดมือมาด้วยส่วนทางด้านของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังลังเลใจว่าจะตัดสินใจที่จะไปเรียนดีหรือเปล่าเพราะถ้าจะไปเรียนที่เซเดรียนั้นไม่ได้แล้วเพราะอายุเกิดแต่ถ้าจะไปเรียนที่เฉพาะเลยก็มีบ้าง ที่นั้นจะมีแต่คนที่มีแต่พลังธาตุแสงโดยเฉพาะ ด้วยความที่ว่าธาตุแสงถือเป็นธาตุที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้และยังเป็นธาตุที่ถูกพูดกันว่าเป็นธาตุที่มียศเพราะถ้าใครก็ตามที่มีธาตุนี้จะถูกจัดว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ บีนท์ส่วนใหญ่ที่มาก็มาเพราะสกับี้ทั้งนั้นเพราะบีนท์ดูจะชอบเจ้าสกับบี้เป็นพิเศษต่างจากเจ้าตัวที่ไม่ค่อยจะชอบให้บีนท์ถูกเนื้อต้องตัวสักเท่าไร “นี้ นี้ ไม่อยากได้เหรอ อุสาเอาของฝากมาให้ไม่ดีใจเหรอไงฮืม” บีนท์พูดพร้อมหยิบของฝากมายืนให้ดูนั้นคือนม เดี๋ยวนี้เจ้ากับบี้ชอบเอาตัวไปแช่ในน้ำนมที่คนชอบให้กินทัน ไม่รู้เพราะอะไร แต่พอหลังจากที่เจ้าสกับบี้พูดได้ถึงจะไม่ได้มากเเต่เจ้านี้ก็มักจะพูดไม่อยู่ “ไม่ ไม่” สกับบี้พูดพร้อมปัดมือของบีนท์ให้ออกไปห่าง “ไม่อยากินเหรอ ทุกทีก็ชอบนี้น่า…” บีนท์พร้อมพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มไปที่ตัวเจ้าสกับบี้ด้วยสีหน้าเศร้าใจก่อนจะหันมาทางจิมอย่างขอความช่วยเหลือ “จิมดูสิ สกับบี้ไม่สนใจฉันเลยนะ เป็นอะไรก็ไม่รู้ ฮึก ทำไงดี” จิมที่มองหน้าเพื่อนของตัวเองด้วยความเหนื่อยใจ “คงจะไม่ชอบให้นายถูกตัวล่ะมั่ง” “ได้ไง ที่ฉันมาก็เพราะคิดถึงสกับบี้หรอกนะแต่ถ้ามาแล้วให้มองด้วยตาเปล่าแบบนี้มันเจ็บปวดนะรู้ไหม” “จริงเหรอ” (+_+) “จริงสิ อีกอย่างที่ฉํนมาวันนี้ก็เพราะหลังจากที่ฉันเจอนายก็ไม่เห็นนายมาหาเลยนิน่า ฉํนก็เลยมาหาเองนี้ไงเป็นยังไงล่ะ อีกอย่างนะฉันคนนี้ก็จะมาบอกเรื่องอะไรให้ฟังด้วยนะนั้นก็คือ คือ” บีนท์พูดเว้นเอาไว้เพื่อให้เพื่อนของตัวเองลุ่นแต่ดูเหมือนจิมจะไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไรจึงมองตาแป้วแหวว “คือ คืออะไรละพูดมาสิ” “ก็คือว่า ฉันไปตรวจธาตุของฉันมาเพือจะมีพรสวรรค์ที่จะได้เข้าเรียนที่เซเดรียบ้างไงล่ะแล้วสรุปว่าอะไรรู้หรือเปล่า พอฉันไปที่ที่เขาตรวจกันนะ ชื่อว่า…ชื่อว่าอะไรน่า อืมชื่อว่า ช่างมันถอะ พอถึงคิดฉันนะ ฉันก็ยืนมือไปแบบนี้ไปจับที่ลูกแก้วแล้วลูกแก้วบอกว่าฉํนมีธาตุดินละ เป็นยังไงล่ะดีใจหรือเปล่าฉันมีพรสวรรค์ล่ะ พอลุงของฉันรู็เรื่องนี้ลุงบอกว่าจะให้ฉันไปเรียนทีเซเดรียด้วยนะตอนนี้คุณลุงก็กำลังไปสมัครเรียนให้อยู่นะ ว่าแต่นายละจิมนายไม่ไปตรวจธาตุของตัวเองเหรอเด็กทุกคนก็ไปที่นั้นนะ อีกอย่างฉันก็ยังไม่รู้เลยว่านายธาตอะไรเพื่อว่าเราจะได้ไปเรียนที่นั้นด้วยกันไง” “ออ ฉันไม่ต้องไปตรวจหรอกเพราะฉันรู้อยู่ก่อนแล้วนะ” จิมพูดพร้อมหยิบผลที่เด็ดมาจากต้นพี่ๆขึ้นมากิน “จริงเหรอ นายธาตุอะไรละ” บีนท์ที่พอได้ยินก็ทำสีหน้าดีใจก่อนที่จะถามเพื่อของตัวเอง “ธาตุพฤกษานะ เป็นธาตุเก่าแก่ที่ไม่มีใครจะมีกันนะ นายไม่รู้เหรอฉันนึกว่าเคยบอกนายแล้วแล้วซะอีก” จิมพูดจบก็มีต้นไม้ไม่ไกลนักยื่นกิ่งไม้ไปหาจิมเพื่อที่ให้จิมกินอาหารจากต้นพวกเขา บีนท์ที่เห็นเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้แตกตื่นที่ต้นไม้ขยับได้อะไรมากนักเพราะเขาเห็นจนชินตาไปแล้ว อีกอย่างบีนท์ที่เห็นเรื่องพวกนี้จนชินตาก็นึกแอบบอิจฉาที่จิมมีเหล่าต้นไม้คอยดูแลอีกทั้งยังพูดกับพวกมันจนเหมือนสื่อสารกันรู้เรื่องเลยก็ว่าได้ “แต่พวกนักบวชที่ฉันไปตรวจเขาบอกว่าธาตุพฤกษาเป็นธาตุที่ไร้ประโยชน์ไม่รู้ว่าพูดแบบนี้ทำไมเหมือนกันนะ แต่ฉันเห็นคนที่มีธาตุเหมือนนายด้วยนะชื่อว่าเค เคอะไรนี้แหละ” “อืม พี่ๆบอกฉันแล้วละว่ามนุษย์คนอื่นไม่ชอบธาตุนี้มากนักเพราะเห็นว่าเป็นธาตุไร้ประโยชน์นะ อีกอย่างธาตุนี้ก็มีจำนวนไม่มากนะ” “ไม่เห็นจะจริงเลยธาตุของนายก็ออกจะเจ็งดีออกดูสิ พูดกับต้นไม้ได้ด้วยจะปลูกอะไรก็ได้แบบไม่ต้องรอเวลาแค่ใช้มือเเปปเดี๋ยวก็กินได้แล้วออกจะดี” “นั้นสิเนอะ ดีจะตายจะกินอะไรก็ได้จะไปไหนก็ไม่ต้องกลัวหลงแค่ถามพี่ๆต้นไม้ก็รุ้แล้วดีจะตาย” “ใช้ๆ แล้วนายจะไปเรียนที่เซเดรียหรือเปล่า” บีนท์ถาม “ไม่รู้สิ แล้วทำไมต้องไปเรียนที่นั้นด้วยเพราะทุกๆวันพี่ๆต้นไม้ก็สอนฉันอยู่แล้วไม่เห็นจะต้องไปเรียนถึงที่นั้นเลย อีกอย่างฉันต้องไปตามหาพ่อด้วย” “จริงด้วย” บีนท์ที่ได้ยินก็ทำหน้าเศร้า “จริงด้วยนี้อะ เอาไปฝากแม่ของนายด้วยนะพี่ๆบอกฉันว่าต้องให้ของฝากไปให้แม่ของนายด้วยเดี๋ยวมันจะดูไม่ดีนะ ของพวกนี้พึ่ปลูกสดๆเลยนะ อุสาไปขอจากพวกลป้าๆแถวๆป่ามาโชคดีที่ป้าเข้าใจดีให้เมลฌดมาปลูกด้วย” จิมพูดพร้อมหยิบตะกร้าที่ทำจากเถาวัณล์อย่างดีของด้านในเป็นผลไม้และผักที่ก่อนหน้าที่จิมไปขอมาเพื่อทดลองการใช้ธาตุตามที่เหล่าพฤกษาสอนมา “อืมๆ ฉันไปก่อนนะแล้วจะมาหาใหม่” “อืม โชคดีน่า…” บีนท์พูดพร้อมโบกมือลาเพื่อนของตัวเองและไม่ลืมที่จะเอาของฝากไปกลับด้วย ด้วยความที่บีนท์ไม่ค่อยจะเพื่อนวันเดียวกันมากนัก เพราะเวลาส่วนใหญ่จะช่วยแม่ทำงานหรือไม่ก็หาสมุนไพรมาดูแลพี่ชาย และนิสัยของเจ้าตัวจะนั้นออกจะไปทางร่าเริงมากกว่าคนปกติทำให้เพื่อนคนอื่นๆ ไม่ค่อยจะอยากจะคบค้าสมาคมด้วย ทำให้พอมีเพื่อนนั้นก็คือจิมเข้ามาเจ้าตัวเลยสนิทมากขึ้นยิ่งพอรู้ว่าตัวเองจะได้ไปเรียนที่เซเดรียด้วยเจ้าตัวยิ่งเครียดหนักเพราะกลัวว่าจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ถึงแม้จะมีลุงของเขาคอยดูแลเวลาที่บีนท์จะไปเรียนที่นั้นก็ตาม ด้วยนิสัยของบีนท์จะเป็นคนง่ายๆและร่าเริงตลอดเวลา มีความสนุกสนานตลอดจนทั้งสองคนสามารถเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ยิ่งมีสกับบี้เพิ่มเข้ามาด้วยแล้วยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ‘เด็กนั้นไปแล้วสินะ ช่างเป็นเด็กที่ร่าเริงได้ตลอดเวลาซะจริง’ “ใช้ บีนท์จะนิสัยดีมากๆเลยนะ ก่อนหน้านั้นก็เอาอาหารมาให้ผมกินด้วยนะฮะ อร่อยมากเลยล่ะ” จิมเสริมพร้อมมองไปที่ของฝากที่แม่ของบีนท์ให้มาด้วยสีหน้ามีความสุขเมื่อนึกถึงของกิน ‘ถ้าอย่างนั้นพอกินเสร็จก็มาฝึกต่อได้แล้วนะ’ “ฝึกอีกแล้วเหรอ เราฝึกมาตั้ง 2 อาทิตย์แล้วนะ เบื่อจะแย่อยู่แล้วเนี่ย” (-_-) ‘ใช้ๆ เจ้านะสอนจิมของข้าหนักเกินไปแล้วนะ ’ “ใช้ขนาดบีนท์ยังไม่เห็นต้องเรียนเรื่องพวกนี้เลยนะ แล้วดูผมสิวันๆเอาแต่เรียนแล้วก็กินกับนอน มันไม่ดีนะรู้ไหมเด็กอย่างผมต้องการการเจริญเติบโตนะ” เรานี้ฉล้าดฉลาด…พอพูดไปแบบนี้เราก็จะได้ไม่ต้องเรียน ฮะ ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องเรียนแล้ว…ทีนี้เราก็จะได้ไปเดินเล่น ไปเที่ยว ไปเดินป่าตามประสาเด็กๆ ฮิ ฮิ ‘เจ้านั้นแหละที่จะหาเรื่องไปฝึกมากกว่าคิดว่าข้ารู็ไม่ทันหรือไงเด็กน้อย อีกอย่างเจ้าก็ไม่เหมือนคนทั่วไปที่จะไปฝึกกับมนุษย์ทั่วไปได้เพราะเจ้ามีธาตุที่คนอื่นไม่ยอมรับอย่าลืมสิ เพราะอีกไม่ถึงอาทิตย์นี้เจ้าก็จะได้ทำอะไรตามใจเจ้าแล้วนะ’ “หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่ถึงอาทิตย์นะ” ‘ก็หมายความว่าพอเราสอนจิมเสร็จ เจ้ก็ไม่ต้องเรียนกับเราเรื่องการใช้ธาตุในกายของตัวเองแล้วไงล่ะ’ ต้นไม้อีกต้นเสริม “จริงเหรอ” (0_0) จิมทำหน้าแตกตื่น ‘จริงสิ’ ฮุเล่ ฮุเล่ ไม่ต้องเรียนแล้ว ดีใจจังเลย ไม่ต้องเรียนแล้วจะทำอะไรก็ได้ทำ เย้ๆๆ ‘แต่เจ้าจะต้องไปเรียนเรื่องการควบคุมสัตว์แทน ข้าพอรู้ว่าเจ้ามีพรสวรรค์เรื่องการควบคุมสัตว์อยู่ในตัวถ้าเราให้เจ้าไปเรียนกับผู้เชียวชาญพรสวรรค์ที่คนอื่นคิดว่าเป็นแค่ของธรรมดาก็จะกลายเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง’ พฤกษาที่อยู่ไม่ไกลจากที่จิมนั่งฟังอยู่พูดด้วยอารมณ์ที่พอใจในความคิดของตัวเองเพราะทุกๆอย่างที่ไม่ว่าจะสอนอะไรหรือจะเรียนแบบไหน พวกเขาได้ประชุมกันแล้วและได้ข้อมติว่าจิมจะต้องไปเรียนเรื่องนี้เพื่อการที่ตัวเองจะได้เอาตัวรอดจากโลกภายนอกเพื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น เพราะกว่าที่จะเขาจะแย่งชิงความดีความเด่นจากต้นอื่นๆแล้วนั้นก็เป็นเรื่องยากที่ต้นไม้ต้นอื่นๆจะเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้เพราะพฤกษาบ้างต้นก็ไม่ชอบสัตว์อสูรเท่าไรนัก บ้างต้นถึงกับไม่อยากเข้าใกล้เลยก็ว่าได้เพราะสัตว์อสูรบ้างจำพวกจะมีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป อย่างเช่นสัตว์อสูรบ้างตัวมักชอบทำตัวเกเรจนทำให้พฤกษาบ้างต้นไม่พอใจกับความซุกซนของมันก็มี “ไม่เอาอะ ผมไม่อยากเรียนอะไรแล้ว ไม่เห็นสนุกเลยกะว่าจะไปเดินเล่นในป่าเเท้ๆเชียว” ในป่านี้เป็นสถานที่เดินเล่นตั้งแต่เมื่อไรล่ะเนี่ย เจ้าเด็กนี้นับวันยิ่งจะมีนิสัยเหมือนพวกเราเข้าไปทีแล้วนะ เห็นแล้วเหนื่อยใจจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนโตเลยว่าจะเป็นยังไงเพราะดูจากการสอนของแต่ละตนนั้น คิดแล้วก็อยากจะมีสมองให้คิดบ้างจัง ต้นสะเกร็ดดาวคิดในใจเมื่อมองไปเห็นต้นไม้ต้นอื่นๆกำลังหลอกล่อให้จิมสนใจในการเรียน บ้างตนถึงกับปลอบใจเพราะด้วยความที่เหล่าพฤกษาทั้งหลายไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนทำให้การที่จะทำอะไรหรือสอนยังไงก็จะไม่รู้นั้นยิ่งทำให้พวกเขาคิดว่าสอนในแบบที่ตัวเองเป็นอยู่ทุกวันนี้เช่น ต้องนอนเวลาไหนในช่วงกลางวันถึงจะรับแดดได้ดีที่สุดหรือการดื่มน้ำต้องเลือกน้ำแบบไหนถึงจะอร่อยและมีคุณประโยชน์มากที่สุดทำให้เด็กน้อยที่กำลังอยู่ในวัยเรียนรู้จำได้ขึ้นใจและทำตามอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อยทำให้การทำอะไรก็ตามในชีวิตประจำวันพวกนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ‘จิมเจ้าอย่าเสียใจไปนะ ที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพื่อเจ้านะคิดซะว่าได้เจอของแปลกก็ได้เพราะยังไงจิมก็อยากจะไปเดินเล่นในป่าไม่ใช้เหรอและการที่จิมจะเรียนเรื่องการควบคุมสัตว์หรือดูแลพวกมันก็ต้องสอนโดยสัตว์และสัตว์ก็ต้องอยู่ในป่าทีนี้จิมก็ได้ไปเดินเล่นแล้วไงล่ะ ดีไหม’ อีกฝ่ายพูดหลอกล่อเด็กชายไม่ให้หมดหวังในการเล่นสนุกทางด้านจิมเองที่ได้ยินก็เงยหน้ามองด้วยแววตาเปล่งประกายวิววับเมืองจินตนาการถึงสัตว์ป่าทั้งหลายมาเล่นกับตัวเอง ขนนุ่มๆ ฟูๆ ตัวใหญ่ๆ พอเด็กชายจินตนาการถึงขนของสัตว์ป่าที่มีขนยาวนุ่มฟูก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้เป็นเจ้าของสัตว์น่ารักที่มีขนนุ่มนิ่มเต็มตัว “สู้เพื่อขนนุ่มนิ่ม” จิมพูดด้วยน้ำเสียงตั้งหมั่นพร้อมกับกำหมัดชูแขนจนสุดแขน ‘สู้ๆ จิมสู้ๆ’ ‘จิมของข้านี้เก่งที่หนึ่งเลยนะเนี่ย สู้ๆนะจิมน้อย’ เหล่าพฤกษาที่คอยดูแลประคบประหงบดูแลเด็กน้อยมาจนถึงตอนนี้และยังเป็นคนที่ทำให้เด็กชายเคยตัวพูดด้วยความดีใจและให้กำลังใจเด็กชายจนทำให้เหล่าต้นไม้ที่เห็นแบบนั้นถึงกับต้องถอนหายใจเพราะพฤกษาที่มีนิสัยน่าเคารพและมีความเป็นผู้ใหญ่มีอยู่แค่ 20 เปอร์เซ็นของเหล่าต้นไม้ทั้งหมดที่เหลือจะเป็นเหล่าพฤกษาที่คอยประคบประหงบดูแลและสอนเรื่องการใช้ชีวิตในแบบต้นไม้จนจิมเริ่มมีนิสัยเหมือนต้นไม้เข้าไปทุกทีและคนที่ให้ท้ายเด็กน้อยจนไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไม่มีมนุษย์คนไหนทำกันเลยแม้แต่คนเดียวก็คือต้นไม้เหล่านี้ที่เป็นคนสอนเอง อีกทั้งยังพูดอย่างภูมิใจว่าจิมน้อยช่างเป็นคนที่เรียนรู้เร็วอะไรอย่างนี้ เห็นแล้วเหนื่อยใจ อยากจะถอนหายใจสักหลายร้อยรอบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD