8.เด็กคนนั้น

3899 Words
อีกด้านที่ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่กับการตามหาตัวเด็กชายวัย 7ปี ที่ตอนนี้ไม่ทราบชื่อและหน้าตาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ก็รู้เพียงคราวๆไม่ได้ระเอียดถึงขนาดที่จะสามารถชี้ตัวเจ้าตัวได้เลย ตั้งแต่ที่ทำงานมาพวกเขาเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าท่านชายหรือท่านลอร์ดจะมีคนรักอีกคนด้วยแถมยังมีลูกด้วยกันแล้วและนั้นทำให้เขาต้องมาทำหน้าที่ตามหาตัวนายน้อยหรือลูกของนายท่านของเขานั้นเอง หลังจากที่ได้ไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเขาก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ต่ออาจจะเพราะท่านลอร์ดทรงไว้ใจในตัวเขาว่าจะต้องหานายน้อยมาให้ท่านลอร์ดได้อย่างแน่นอน หลังจากที่เดินทางมาได้ 3-4 วันก็มาถึงเมืองนาบัส เมืองที่คนรักของท่านลอร์ดของเขาอาศัยอยู่ที่นี่และเสียชีวิตจากการคลอดบุตรได้ไม่นาน หมู่บ้านที่นายน้อยของเขาเคยอยู่ตัวเขาเองก็ได้ไปดูให้เห็นกับตามาแล้วว่าฐานะนะทางฝ่ายหญิงเป็นยังไงจนได้มารู้จากคนรอบข้างว่านายน้อยของเขาค่อนข้างที่จะถูกใช้แรงงานทาสมากพอสมควรเพราะหลังจากที่เรน่ามารดาของนายน้อยของเขาเสียชีวิตทางฝ่ายพี่สาวก็ต้องรับเลี้ยงนายน้อยอย่างจำใจ ส่วนทางฝ่ายพี่สาวเองก็มีสามีและลูกน้อยอยู่ด้วยทำให้ไม่ค่อยจะสนใจนายน้อยของเขาสักเท่าไรนัก “หัวหน้าเรามาถึงหมู่บ้านแล้ว ทำอย่างไรต่อดีขอรับ” เสียงทหารอีกคนที่แต่งกายเหมือนชาวบ้านเดินเข้ามาถามด้วยท่าทีองค์อาจที่ไม่สามารถตบตาชาวบ้านหรือสายตาของผู้คนได้เลย “เราจะดูสถานการ์ณไปก่อนเพื่อจะเห็นนายน้อยแถวนี้ ส่วนข้าจะไปดูครอบครัวนั้นว่ามีอะไรทีเราจะต้องรู้บ้างเพื่อจะได้รู้ข้อมูลว่านายน้อยไปที่ไหน แยกย้าย” ชายร่างสูง สมส่วนใบหน้าคมคายสะดุดตาสาวน้อยสาวใหญ่พูดก่อนที่จะเดินออกไปจากบริเวณนั้นไป เจ้าตัวเดินไปที่หมายที่ตนจะสืบดูโดยแกล่งไปนั่งที่แพนั่งใกล้ๆบ้านสองสามีภรรยาที่เคยเลี้ยงดูนายน้อยมา หลังจากนั่งไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากในตัวบ้านคงเพราะเปิดประตูบ้านเอาไว้ทำให้เสียงที่พูดคุยกันดังออกมาให้คนอื่นในระแวงนั้นได้ยิน “อีกไม่นาน เอียนลูกชายของเราก็จะได้เข้าเรียนโรงเรียนเซเดรียแล้ว ฉันล่ะดีใจจริง ๆเลย ดีนะที่บ้านเราไม่ต้องไปเลี้ยงไอเด็กนั้นอีกแล้วนะ” เสียงผู้หญิงพูดกับสามีของตน “ใช้ พี่ก็บอกไปแล้วว่าให้ไล่มันไป ต้องแต่แรกเราจะได้ไม่ต้องแบกเอาไอเด็กนั้นไปปล่อยให้เหนื่อยเปล่าๆ แบบนี้” “ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่า บอกดีๆมันจะไปแบบนี้ เลี้ยงมาก็เหนื่อยอะไรก็ไม่ได้สกอย่างนังน้องเลวนั้นก็ดันมาตายอีกทิ้งให้ฉันเลี้ยงลูกมันตั้งหลายปี ชิ” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “แต่ตอนนี้เราก็ไม่ต้องเหนื่อยหรือเปลืองข้าวแล้ว เราเอาเวลาไปดูแลลูกชายของเราที่จะต้องได้เรียนในโรงเรียนที่ดี โรงเรียนที่มีชื่อเสียงจะดีกว่านะน้อง” “จริงด้วยเนอะพี่ ถ้าลูกของเราได้ไปเรียนที่นั้นลูกของเราก็จะอยู่กับคนรวยๆ คนที่มีฐานะหลังจากเรียนจบลูกของเราก็อาจจะได้งานดีๆ มีเงินทองไหลมาเทมา ไหนจะลูกสะใภ้ในอนาคตอีกดีจริง ๆเลย ” ทั้งสองคนพูดคุยกันโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีคนที่กำหมัดด้วยความโมโหเมื่อได้ยินที่สองผัวเมียพูดคุยกันอยู่ แต่เจ้าตัวก็ต้องนิ่งเข้าไว้เพราะจะไปหาเรื่องคนพวกนี้ไม่ได้เพราะสองคนนี้อาจจะรู้เรื่องของนายน้อยของเขาก็ได้เพราะอย่างนั้นเขาจะต้องสงบอารมณ์และสงบท่าทีไปก่อน “เฮอ…สงสารจิมจริง ๆ เลยไม่รู้ตอนนี้จะไปอยู่ที่ไหนแล้ว” เจ้าของบ้านที่เป็นผู้หญิงอายุ 50 ปีพูดด้วยน้ำเสียงสงสารเด็กชาย เมื่อยินที่สองสามีภรรยาพูดคุยกัน คำพูโของยายแก่ทำให้คนที่นั่งฟังอยู่หันกลับไปมองด้วยความสนใจเมื่อได้ยินที่ยายพูดเหมือนกับว่ารู้จักนายน้อยของเขามาก่อน “ยายรู้จักเด็กที่เคยอยู่ที่นี่ด้วยเหรอขอรับ” “ทำไม่จะไม่รู้ล่ะ ก็ต้องรู้อยู่แล้วบ้านก็อยู่ใกล้กันแค่นี้เองไม่รู้นะสิแปลกว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าเห็นมานั่งที่หน้าบ้านข้าตั้งนานแล้วไม่ยอมไปไหนเสียที หรือว่าจะมาหาตัวจิมหรือยังไงกัน” พอยายแก่พูดจบก็ทำเอาชายหนุ่มอึ่งไปสักพักเพราะไม่รู้ว่ายายคนนี้จะรู้เรื่องที่เขามาตามหาตัวนายน้อยด้วย “เอ่อ ยายรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน” “อ้าว! มาตามหาจริงรึเนี่ย” ยายพูดด้วยน้ำเสียงอย่างคาดไม่ถึงเพราะยายก็แค่พูดไปมั่วๆเท่านั้น “คือ ยายพอรู้หรือเปล่าว่าเด็กที่อยู่บ้านนี้ไปไหน หรือว่าเดินทางไปที่ไหนนะขอรับถ้ายายรู้ผมสามารถให้ค่าตอบแทนได้นะขอรับ” พูดจบชายหนุ่มก็หยิบถุงเงินขึ้นมา “ข้านะรึจะรู้ ข้าไม่รู้หรอกถ้าจะหาคนที่รู้ก็บ้านนั้น นั้นแหละที่รู้” ยายพูดพร้อมยื่นหน้าไปทางบ้านหลังข้างหน้าซึ่งเป็นบ้านของสองผัวเมียคู่นั้นหรือก็คือ ลุงกับป้าของนายน้อยของเขานั้นเอง อีกฝ่ายที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ฟังที่ยายแก่เป็นคนบอกเพราะเขาไม่อยากที่จะไปถามตรงๆ เพราะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไปถามหาตัวนายน้อยตรง เพราะถ้าไปถามเจ้าสองคนนี้ก็จะเรียกเก็บเงินเขาและอ้างว่าเป็นค่าเลี้ยงดูยังไงล่ะ แต่จะยังไงก็เถอะยิ่งรู้เร็วก็จะยิ่งตามหาตัวนายน้อยของเขาเจอเร็วๆ เมือพูดจบชายหนุ่มก็ส่งสัญญาณไปให้ทหารคนอื่นๆที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่เพื่อบอกว่าเขาจะไปถามสองผัวเมียคู่นี้เอง หลังจากที่เหล่าต้นไม้หรือพฤกษาทั้งหลายเถียงกันไปเถียงกันมาจนได้ข้อตกลงว่าพวกเขาจะช่วยกันสอนเด็กชายเพื่อที่วันข้างหน้าจะได้ใช้พลังของตัวเองเป็นในอนาคต เพราะจิมอยู่กับพวกเขามาสักพักแล้วแต่พลังธาตุในตัวไม่ได้พัฒนาเลยถึงจะพัฒนาขึ้นมานิดหน่อยจากการที่กินผลของเหล่าพฤกษาไปก็เถอะ แต่ทางด้านการใช้เจ้าตัวกลับใช้ไม่เป็นเลยแบบนี้ถ้าคนอื่นรู้ว่าจิมอยู่กับพวกเขาแต่ใช้พลังเองไม่เป็นรู้ถึงไหนอายถึงนั้นเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังไม่รวมถ้าเหล่าพฤกษากลับยังป่าวาเท็นด้าชั้นในแล้วเหล่าต้นไม่อาวุโสถามถึงจิมขึ้นมาพวกเขาจะตอบไปว่าอะไร ‘พลังธาตุในตัวของเจ้านั้นมีอยู่มากและมากกว่าเด็กทั่วไปเสียอีกนะเด็กน้อย นี้ยังไม่รวมธาตุในตัวของเจ้าที่ได้กินผลของพวกเราไปอีกนะ ตลอดเวลาที่พวกเราให้เจ้ากินผลของพวกเราทีละผลและจะเปลี่ยนไปในแต่ละวันก็เพราะเพื่อฝึกร่างกายและธาตุในตัวของเจ้าให้เข้าที่และสามารถที่จะรับพลังธาตุจากพวกเราเพิ่มได้ยังไงล่ะ’ เสียงพูดจากต้นไม้ที่กำลังคายฟองอากาศจากดอกไม้พูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล “ยังไงนะ ผมเข้าใจเลย” ‘ที่ต้นดอกไม้นี้จะสื่อก็คือว่า เมื่อเจ้ากินผลของพวกเราไปทุก ๆวัน เพื่อที่ร่างกายและพลังธาตุในตัวของเจ้าดีขึ้นและจะประสานกันได้ดีอย่างไรเล่า เพราะถ้าเป็นมนุษย์คนอื่นกินเข้าไปโดยที่ร่างกายยังไม่พร้อมหรือร่างกายต่อต้านละก็ร่างกายของมนุษย์คนนั้นก็จะทนไม่ไหวและตายลงยังไงล่ะ แต่ที่เจ้ากินผลของเราไปทีละมาก ๆแล้วยังไม่เป็นอะไรอีกนั้นก็หมายความว่าร่างกายของเจ้าตอบสนอกกับพลังของพวกเราได้ดียังไงล่ะ’ เมื่ออธิบายจบจิมที่นั่งฟังอย่างตั้งใจก้พยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ “แล้วที่ผมเอาผลของพวกท่านไปขายคนที่กินจะไม่เป็นอะไรเหรอฮะ” จิมที่พึ่งนึกถึงผลที่ตัวเงอเอาไปขายก็นึกถึงคนที่กินเข้าไปแล้วจะเสียชีวิตอย่างที่เหล่าพฤกษาพูดหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะตอบก็มีต้นไม้ใหญ่ที่มีเถาวัลณยาวไปมาพูดแทรกก่อน ‘คนพวกนั้นไม่เป็นอะไรหรอกเพราะ เจ้าหั่นเป็นชิ้นๆให้พวกเขาไม่ใช้รึถ้ารับไปในปริมาณที่พอดีและน้อยร่างกายของผู้ที่กินเข้าไปก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนักหรอกแต่สำหรับคนไหนที่กินเข้าไปมากๆ ก็ต้องรอรับผลที่ตามมาเพราะไม่ใช้ทุกคที่จะสามารถรับพลังจากผลของพวกเราได้ทุกคนหรอกนะเจ้าหนู’ “อย่างนี่ นี้เอง” ‘เอาละเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะ ข้าจะอธิบายถึงกระแสพลังธาตุในตัวของมนุษย์ว่า กระแสที่ธาตุไหวเวียนก็เหมือนกระแสเลือดหรือกระแสประสาทนั้นแหละยิ่งมากก็ยิ่งดี กระแสธาตุจะมีอยู่ทั่วร่างกายของมนุษย์และการที่จะสามารถใช้ได้ทั่วร่างกายก็จะต้องมีการฝึกเพราะไม่ใช้ทุกคนที่จะเกิดมาแล้วสามารถใช้ธาตุที่กำลังไหวเวียนไปทั่วร่างกายได้ทุกคน’ ‘ใช้แล้ว เพราะกว่าจะใช้ได้จะต้องมีการฝึกเพื่อให้กระแสธาตุไหวเวียนได้พอที่เจ้าจะสามารถใช้ได้ยังไงล่ะ อย่างเช่นถ้าเจ้าอยากให้ต้นไม้ต้นหนึ่งเติบโตได้รวดเร็วจะจะต้องทำยังไงเด็กน้อย’ ต้นราชันที่อยู่ดี ๆก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างมีส่วนร่วม ทางด้านจิมที่พอได้ฟังคำอธิบายของทั้งสองก็นิ่งและทำสีหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่แต่ไม่นานจิมก็ตอบออกไปด้วยความมั่นใจ “ใช้มือ ผมจะใช้มือสำผัสไปที่เมล็ดเพื่อที่กระแสพลังธาตุตัวของผมจะไหลเวียนไปที่มือส่วนนั้นที่ผมจะใช้” ‘ดีมากเลย เจ้าหนูนี้ตอบได้เร็วดีจริงๆเลยนะ ฉลาดไม่เบาเลย’ ‘เจ้าก็ถามแปลกๆ จะไม่ให้เจ้าหนูนี้ตอบได้ยังไงในเมื่อพวกเราก็ถูกจิมใช้ธาตุในตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตของพวกเรานะ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นพวกเราคงจะยังเป็นต้นอ่อนอยู่เลยมั่ง ถามอะไรแปลกเจ้านี้มันสอนคนไม่เป็นเอาซะเลยนะ’ อีกฝ่ายใช้กิ่งไม้ของตนไปตีเข้าที่ลำต้นของอีกฝ่าย ‘นี้เจ้า ว่าข้ารึ’ ‘ก็ใช้นะสิ ถ้าไม่ว่าเจ้าจะให้ว่าใคร ชิ’ ทั้งสองที่อยู่ดีๆก็เข้าเรื่องทะเลาะกันได้ตลอดเวลาเลยจริง ทั้งคู่ทะเลาะกันอยู่โดยทีมีสายตาของจิมกับสกับบี้ที่กำลังมองไปทางทั้งสองคนแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ “เฮอ…” หลังจากที่จิมกับสกับบี้นั่งฟังที่ผู้ที่มนุษย์คนอื่นต่างก็ต้องการและเห็นว่าวิเศษแต่จิมกลับคิดต่างออกไปเพราะถ้าใครมานั่งฟังที่เหล่าต้นไม้ทั้งหลายสอนไปทะเลาะไปด้วยก็จะรู้ซึ้งถึงความสามารถของตนว่า ตนไม่น่ามีความสามารถที่คนอื่นไม่มีเลยเพราะจะมีแค่จิมเท่านั้นที่สามารถนั่งฟังที่เหล่าพฤกษาพูดคุยและสื่อสารได้แต่นั้นยังไม่รวมถึงการทะเลาะวิวาทกันที่พอถึงเวลาที่พวกเขาทะเลาะกันที่ไรคนที่จะเหนื่อยก็คงจะหนีไม่พ้นจิมเด็กชายวัย 7 ปี อยู่ดีเพราะเวลาพวกเขาตีกันหรือทะเลาะกันที่ไรจะต่างจากคนหรือมนุษย์มากพอสมควรนั้นก็คือ ตอนที่พวกเขาตีกันจะมีใบไม้หรือไม่ก็กินก้านใบทั้งหลายตกลงมายังไม่รวมถึงผลต่างๆ ที่เกาะอยู่ตามกิ่งก้านต่างๆ ก็ร่วงลงมาด้วยเช่นกัน ‘เจ้านั้นและที่ไม่มีสมอง’ พูดไม่ทันไรเจ้าตัวก็ใช้กิ่งของตัวเองตีไปที่ผลสีสดที่ยังเป็นลูกเล็กอยู่จากการที่ยังไม่เจริญเติบโต เมื่อถูกแรงกระแทกก็ให้ผลเหล่านั้นตกลงมาสู่พื้นหญ้าเขียวขจี ‘เจ้า! เจ้าทำอะไรลงไปฮะ ไม่รู้หรือไงว่ากว่ามันจะโตได้ต้องใช้เวลาแค่ไหนนะฮะ ผลจากต้นของข้ามีค่ามากว่าของเจ้าตั้งหลายเท่านะ’ อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงโมโห ก่อนที่จะให้กิ่งจากลำต้นของตัวเองยกสูงขึ้นเพื่อบังแสงแดด เพื่อไม่ให้แสงแดดตกกระทบมาสู่ต้นข้างๆเพื่อการแก้แค้น สรุปว่าเราจะได้เรียนไหมเนี่ย เฮอ… นึกในใจไม่ทันไรเสียตีกันจากสองต้นก็กลายมาเป็นสามและสี่ตามมา ทำให้เด็กชายที่ไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วยต้องย้ายที่ทางมาทางต้นไม้ใหญ่ที่มีเถาวัณลขนาดใหญ่เกี่ยวไปมา เมื่ออีกฝ่ายที่พอเห็นเด็กน้อยเดินมาด้วยดวงตาใกล้ที่จะปิด ต้นไม้ใหญ่จึงทำเปลจากเถาวัณลของตนเองให้เด็กชายได้พักผ่อนเมื่อมาไม่ทันไรจิมก็ปีนขึ้นไปนอนพร้อมกับเจ้าต้นไม้จิ๋วแล้วหลังลงในที่สุดทรามกลางเสียงตีกันไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ‘นี้! พวกเจ้าว่าเจ้าหนูนี้จะเจอพ่อของตัวเองหรือเปล่า’ เมื่อเด็กชายหลุบลงไปพร้อมกับต้นไม้ตัวจิ๋วที่หลับอยู่บนอก ก็มีเสียงจากต้นไม้อีกต้นพูดขึ้น ‘ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเจอไหม แต่ข้าก็หวังว่าจะได้เจอเพราะนับวัน เจ้าหนูนี้ก็ยังเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้นนะ’ ‘ข้าถามที่อื่นมาแล้วว่ามีคนกำลังตามหาเจ้าหนูนี้อยู่ที่เมืองนาบัส คงจะอีกไม่นานก็น่าจะมาถึงแล้วล่ะนะ’ ‘แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนนะ ตัวเจ้าเองก็ไม่มีขาสักหน่อย’ ต้นราชันพูดพร้อมทำท่าทีไม่สนใจ ‘ไม่มีใครโง่เหมือนเจ้าหรอกนะ ข้าก็แค่สื่อสารพืชจากี่อื่นก็รู้แล้ว เจ้าไม่รู้หรือไงว่าพื้นดินจะมีรากของพราอยู่ใต้ดินและต้นไม้รวมถึงพืชเองก็มีรากอยู่ใต้ดินเช่นกันนั้นก็หมายความว่า’ อีกฝ่ายเว้นให้ต้นที่กำลังทำทีเป็นอวดรู้ตอบ ‘ว่า ว่าอะไรอีกล่ะเจ้าจะมาหยุดพูดตอนนี้ทำไมกัน จะพูดก็พูดให้มันจบประโยคสิ’ ‘เฮอ…ก็ว่ารากของเราจะสามารถสื่อสารกับพืชที่อื่นได้เช่นกัน ถึงจะสื่อสารกันได้แต่ก็ต้องใช้เวลานั้นแหละ’ เสียงจากต้นไม้อีกต้นอธิบาย อีกด้าน หลังจากที่พวกเขาเดินทางเพื่อหาสมุนไพรที่คนอื่นๆต่างก็พูดกันว่าที่เมืองเอ็กซ์ตร้าของทางท้ายเมืองสุดที่ขึ้นชื่อเรื่องของแปลกมี ผลวิเศษที่ไม่มีใครก็ได้หามันเจอหรือสามารถไปเอามาได้จากในป่า ทำให้หมู่บ้านที่ห่างไกลเมืองหลวงมีผู้คนผ่านไปมาจนเป็นที่ขึ้นชื่อไปแล้ว แต่พอชายหนุ่มเดินทางมาก็พบว่าไม่ได้ดีอย่างที่คนอื่นลำลือกันเพราะของที่ขายที่นี่ที่คนอื่นบอกว่าเป็นของจริงแต่เกือบทั้งตลาดเป็นของเก๊หรือของปลอมที่เลียนแบบตามในหนังสือที่เล่าถึงผลที่มาจากป่าวาเทนด้าทั้งนั้น ที่เขาต้องมาถึงที่นี่ก็เพราะน้องสาวของเขาป่วยและไม่ว่าหมอคนไหนก็รักษาให้ไม่ได้ทำให้เขาต้องจ้างคนเพื่อไปหาผลที่มาจากป่าวาเทนด้าเพื่อนำมารักษาน้องสาว ถึงจะต้องจ่ายเงินจ้างแพงแค่ไหนก็ไม่สมารถทำให้เขาจนได้หรอกเพราะเขาเป็นถึงลูกชายของท่านดยุกที่เป็นคนสนิทของท่านลอร์ด ถึงจะต้องใช้เวลากว่า 3วันกว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ได้อะไรมาเลยเพราะทั้งเขาและทหารคนสนิทก็ไปเดินทั่วตลาดมาหลายรอบเพื่อที่จะหาซื้อะไรก็ได้ที่ว่าดีมาหมายอย่าง แต่พอเดินทางกลับมาถึงและลองเอาไปให้หมดที่มีชื่อเสียงดูว่ามันคือยาหรือผลวิเศษที่ทุกคนต่างก็อยากได้มาหรือเปล่า “ไม่ใช้ขอรับ นายน้อยข้าตรวจสอบมาแล้วว่าของพวกนี้ไม่ใช้ยาหรือผลวิเศษที่มาจากในป่าวาเทนด้ามันก็แค่ผลไม้ที่เกิดมาเป็นรูปร่างแปลกตาแล้วเอามาย้อมแมวขายก็เท่านั้นขอรับ” ชายแก่อายุเกือบจะ 60 ปีพูดพร้อมใช้แว่นในมือส่องไปที่ผลที่มีสีแปลกตาที่กำลังถืออยู่ “จะไม่ใช้ได้ยังไง พวกเขาเลือกเองกับเมืองเลยนะและพ่อค้ายังบอกอีกว่ามาจากในป่าเลยนะมันจะไม่ใช้ได้ยังไง!” เสียงชายที่มีใบหน้าคมคายพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ใช้มันจะไม่ใช้ได้ยังไง พวกเราไปเลือกมากับมือหมอนั้นแหละที่แก่จนดูอะไรไม่ออกแล้ว” “พอๆ ถ้าหมอบอกว่าไม่ใช้ก็คือไม่ใช้ ของในตลาดนั้นใช้ว่าจะมีของจริงขายอยู่ทั่วไปสักที่ไหนกัน แต่หมอดูอันนี้ก่อนได้ไหมพอดีข้าเก็บเอาไว้นะดูให้ข้าหน่อย” พูดจบชายหนุ่มที่มีใบหน้านิ่งก็ยื่นผลที่มีรูปร่างประหลาดที่ถูกหั่นเป็นชิ้นบางๆ ส่งไปให้หมอแก่ดูลักษณะของผลว่าตรงตามในตำราหนังสือหรือเปล่า “โถ นายน้อย นี้นายน้อยของข้าถึงกับคิดว่าไอเด็กนั้นขายผลที่วิเศษแบบนั้นได้หรือขอรับ” ชายคนที่สามพูด “ยังไงก็เถอะ ให้ท่านหมอดูลักษณะก่อนก็ได้ขนาดพวกนายไปเลือกมาแล้วยังบอกกับฉันเลยว่ามันต้องเป็นของจริงแน่ๆ แล้วเป็นยังไงละ” ชายหนุ่มถาม เมื่อชายทั้งสามได้ยินก็ถึงกับเงียบ ชายแก่ใช้เวลานานกว่าผลอันอื่นมาก ทั้งดูแล้วดูอีก ดูตรงนั้นเสร็จก็มาดูตรงนี้ต่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยในใจ “นายน้อยไปเอาผลนี้มาจากไหนรึขอรับ” “ไปซื้อมาจากเด็กในตลาดนะเห็นว่าน่าสงสารเลยซื้อมาเฉยๆแต่ระหว่างทางที่กลับผลนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยทั้งไม่แห้งหรืเหี่ยวเหมือนผลอื่นเลยลองเอามาใหดูนะสรุปว่าเป็นยังไงบ้าง” “จะเป็นยังไงละขอรับ นายน้อยก็ต้องของเก๊อยู่แล้วนั้นแหละขอรับ” ชายคนที่สองที่ยืนตรงกลางพูดจบชายหนุ่มผู้ซึ้งมีใบหน้าที่นิ่งหันไปมองเพื่อบอกเป็นเชิงว่าให้เงียบปากซะ เมื่อชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็ก้มหน้าลงพร้อมทำท่ารูดซิปปาก “คือมันแปลกมาก ทั้งซ้ายและขวาเหมือนในตำราไม่มีผิดแต่ที่ข้าแปลกใจคือทำไมมันมีแค่นี้” “เห็นว่าเด็กนั้นขายเป็นชิ้นๆนะขอรับ คงเพราะอยากจะได้เงินเท่าทีได้ยินจากเด็กนั้นพูดว่าของมาจากป่าส่งตรงมาจากต้นเลยนะท่าน” ชายคนโตสุดที่ดูจะรู้กาละเทสะตอยชายแก่ไป “แล้วสรุปว่ามันคืออะไร” “อย่างนี้ข้ากูรู้แล้วว่าทำไม ทีนี้ข้าจะบอกกับนายน้อยแล้วว่าอันนี้คือมันคือผลจาชานผลที่มีลักษณะพิเศษตามตำราเขียนเอาไว้ว่ามันสามารถรักษาผู้ที่มีอาการป่วยหนักหรือผู้ที่มีอวัยวะผิดปกติอย่างเช่นพิการ ส่วนผลสีขาวนี้ชื่อว่าสะเกร็ดดาว ถึงจะผลเล็กไปสักหน่อยอีกทั้งยังถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ แต่ผลของมันก็ยังสามารถใช้ได้อยู่มันสามารถรักษาอาการป่วยได้จากภายในเพียงแค่แช่ลงไปในในแล้วดื่ม แต่ในตำราบอกว่าการที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านั้นจะต้องแช่ในเวลาลางคืนเพื่อผลของมันจะส่องสว่างเหมือนดวงดาวยังไงละ” เมื่อชายแก่อธิบายจนจบก็เงยหน้าออกจากตำราแล้วหันไปมองชายทั้งสี่คนที่ยืนฟังด้วยความเงียบ “ท่านจะบอกว่าไอผลที่นายน้อยซื้อมาจากเด็กที่ไหนก็ไม่รู้คือผลของจริงอย่างนั้นรึ” “ใช้ นี้เจ้าไม่เชื่อข้าหรือยังไง ข้าต่างหากที่ต้องเป็นคนถามนะว่าไปเอามาได้ยังไง” “คือ พอดีเราไปเจอเด็กคนหนึ่งกำลังตะโกนขายของอยู่เลยนึกสงสารเลยซื้อมาแบบไม่ได้คิดอะไรก็เท่านั้นเอง” “นายน้อยนี้ช่างตาดีอะไรอย่างนี้นะ ขนาดมองคนยังมองออกขนาดข้าที่อายุขนาดนี้ยังไม่เคยเห็นของจริงมาก่อนเลยในชีวิต ข้าทำได้เพียงแค่อ่านจากในตำราเท่านั้นแต่นายน้อยกลับโชคดีมากที่ได้มันมา ทีนี้เราก็มีทางรักษาน้องสาวของท่านแล้ว ยังไงข้าคงต้องขอตัวก่อน ข้าจะไปรายการท่านดยุกว่านายน้อยได้ผลวิเศษมาแล้ว ท่านไปพักเถอะเดินทางมาเหนื่อยๆก็ควรจะพักบ้าง ข้าคงต้องลาก่อน” พูดจบชายแก้กูปิดตำราแล้วรีบร้อนเดินออกไปอย่างเร็งรีบ “เด็กนั้น เด็กนั้นไม่ได้โกหกหรอกหรือไง ข้า ข้าคิดว่าเด็กนั้นหลอกขายซะอีก” ชายคนที่สองและสามพูดพร้อมกับพรางนึกใบหน้าของเด็กชายที่พูดกับพวกเขา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD