Devil candy seika xx look-om 02
ฉันตื่นอีกทีตอนบ่ายโมง แต่เวลาที่นอนจริงๆเกือบหกโมงเช้าแต่มันก็คุ้มนะการการที่ปิดต้นฉบับได้ วันนี้ฉันจะไปกินเครปเค้กให้หนำใจเลย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวสบายอารมณ์ฉันก็เตรียมตัวจะออกไปทานข้าวข้างนอกรวมถึงไปกินเค้ก ฉันร้านเค้กที่ไปทานประจำด้วยแหละเค้กที่นั่นอร่อยมากแป้งนุ่มลิ้นครีมไม่เลี่ยนเครื่องดื่มที่นั่นก็อร่อยที่สำคัญสามารถนั่งได้ทั้งวัน ฮ่าๆๆๆ ก็ฉันต้องหาที่ทำงานนี่นาก็ต้องหาที่สิงสถิตเป็นธรรมดาพอเจอที่นี่ฉันก็กลายเป็นลูกค้าประจำไปเลยล่ะ พนักงานที่นั่นบริการดีทุกคนเลยนะเป็นกันเองสุดๆ
“หายไปนานเลยนะคะ”
“ต้องเคลียงานน่ะค่ะ” ฉันตอบพนักงานที่ร้านก่อนจะสั่งเค้กและเครื่องดื่ม เค้กหลายชิ้นถูกนำมาวางบนโต๊ะ วันนี้ฉันได้นั่งมุมร้านที่เป็นโต๊ะยกสูงดีไซน์สวยเก๋
“เครื่องดื่มได้แล้วครับ”
ไขอบคุณค่ะ” ฉันเอ่ยขอบคุณพร้อมกับยิ้ม แต่พอเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นว่าเป็นใครฉันก็หุบยิ้มลงทันที
“ไหนบอกจะโทรมาไงล่ะ” เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามฉัน สายตาที่มองมาอย่างตำหนินั่นไม่ได้ทำให้ฉันกลัวเลยแม้แต่นิด ฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเขาแล้วทานเค้กต่อ
“แล้วนี่กินข้าวมาหรือถึง” คนที่นั่งร่วมโต๊ะอย่างถือวิสาสะถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกได้
“กินแล้ว”
“มาสเตอร์คะ เชิญทางนี้หน่อยค่ะ” เสียงหวานๆของพนักงานดังขึ้นข้างๆโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ ฉันจะไม่สงสัยเลยถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ตอบผู้หญิงคนนั้น
“อือ เดี๋ยวตามไป”
“...” ฉันองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ทำไมพนักงานที่ร้านเรียกเขามาสเตอร์ล่ะ หรือว่าเขา...
“เดี๋ยวพี่มา อย่าไปไหนล่ะ”
คนตัวสูงย้ำเสียงเข้มก่อนจะลุกขึ้นท่อนแขนยาวยื่นมือมาลูบผมฉันเบาๆแล้วเดินไปทานด้านหลังฉัน เขาเป็นเจ้าของร้านเหรอทำไมพนักงานถึงได้เรียกเขาแบบนั้น แต่พอคิดไปคิดมาเขาน่ะเหรอที่จะเป็นเจ้าของร้านเบอร์เกอร์รี่แสนอร่อยอะไรแบบนี้ เขาน่ะน่าจะเหมาะกับร้านเหล้าร้านผับแบบนั้นมากกว่า อย่างครั้งแรกที่ฉันเจอเขาไง ก็เจอที่ร้านเหล้า
“ซ้อคะ มาสเตอร์ให้มาตามค่ะ”
“คะ?”
พนักงานเดินมากระซิบบอกฉันเบาๆ แต่กลับเป็นฉันที่งง คือฉันไม่รู้ไงว่าพนักงานเรียกใครซ้อ ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆให้พนักงานไม่เข้าใจจริงๆว่าเธอจะสื่ออะไร
“ซ้อคะ รบกวนเข้าไปพบมาสเตอร์หน่อยนะคะ พวกเรากลัวมาสเตอร์หงุดหงิดค่ะ”
“เอ่อ”
“เชิญทางนี้ค่ะ”
พนักงานไม่รอให้ฉันได้ตอบหรือพูดอะไรเพราะเธอดึงมือฉันให้เดินไปที่หน้าร้านก่อนจะพาเดินเข้าไปข้างๆเคาน์เตอร์ กระทั่งพามาหยุดที่ประตูหลังร้าน เสียงคนพูดคุยกันดังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินและฉันก็คุ้นเสียงนั้นมากเหมือนกัน
“เข้าไปเถอะค่ะ”
พนักงานคนนั้นบอกมือก็ยกเคาะประตูสองที ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก เขาคนนั้นทำหน้าตกใจก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มมอบมาให้ฉัน มือใหญ่คว้ามือฉันไปจับไว้แน่นพร้อมกับดึงให้เข้าไปยืนข้างๆเขาในห้อง ห้องอบขนม แต่เธอคนนั้นพาฉันมาที่นี่ทำไมให้ฉันนั่งกินเค้กอยู่ที่โต๊ะไม่ดีกว่าเหรอ
“ร้อนเหรอ?”
“อือ”
ฉันพยักหน้าบอกคนที่ถาม ตอนนี้เหงื่อฉันออกเยอะขึ้นเรื่อยๆแถมยังรู้สึกแสบและคันตามร่างกายอีก นับว่าดีที่คนข้างๆยังพอจะสังเกตอยู่บ้าง เขารีบพาฉันออกจากห้องอบขนมร้อนๆนี่
“รออยู่ตรงนี้แปบนึง” เขาบอกเสียงรีบร้อนฉันพยักหน้าเข้าใจแล้วยืนรอเขาอยู่ไม่ถึงห้านาทีเขาก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายของฉัน เขาวางเสื้อสูทคลุมร่างฉันแล้วจูงมือออกจากร้านอย่างรีบร้อน ทันทีที่ขึ้นรถเขาก็เปิดแอร์จนสุดไม่นานในรถก็เย็นสบายแต่มันก็แค่เย็นเพราะตามร่างฉันยังมีผื่นแดงๆอยู่ สงสัยล่ะสิว่าฉันเป็นอะไร ที่จริงเวลาเหงื่อออกเยอะฉันจะรู้สึกแสบผิวและมีผื่นขึ้นตามร่างกายน่ะ
“ยังคันอยู่ไหม” เขาที่ขับรถอยู่ถามขึ้นอย่างเห็นห่วง น้ำเสียงของเขานั้นฟังดูกังวลจนน่าขำ
“คันอยู่ค่ะ เค้าไม่ได้เอายามาด้วย”
ฉันเริ่มจะงอแงเพราะรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เป็นอยู่มันคันยิบๆไปทั้งตัวอยากจะเกาแต่ก็กลัวเป็นรอยเป็นแผล ฮื่อ!! แบบนี้มันทรมานมากจริงๆนะ
“ทนหน่อยนะ จะถึงบ้านพี่แล้ว”
“เค้าคันอ่ะ อยากเกาด้วยแต่กลัวมันเป็นรอย” ฉันเข้าโหมดงอแงไม่ฟังอะไรแล้วตอนนี้ น้ำตาเริ่มคลอที่ขอบตาพร้อมจะไหลทุกเมื่อ ไม่นานรถที่นั่งอยู่ก็เลี้ยงเข้าไปยังบริเวณบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งที่มีกำแพงสูงล้อมรอบตัวบ้าน นี่เขาพาฉันมาที่ไหนอีกเนี่ย
“ที่นี่ที่ไหน!?”
“บ้านพี่เอง อย่าเพิ่งงอนน่ารีบไปอาบน้ำก่อนจะได้กินยาคันอยู่ไม่ใช่เหรอ” ใช่! ฉันคันอยู่นี่
“ฮื่อ!!”
“จริงๆเล้ย งอแงจัง” คนที่บ่นเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถทันที ร่างสูงเดินอ้อมมาฝั่งฉันก่อนจะเปิดประตูให้มือใหญ่หยิบร่มมากางให้อย่างเอาใจ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาซึ้งหรอกนะฉันคันตามร่างกายจนตอนนี้ร่างจะแตะออกเป็นเสี่ยงๆอยู่แล้ว
“เซกะ! แกพาใครมาน่ะ” เสียงผู้หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นดุๆ ข้างๆเธอนั้นมีชายวันไล่เลี่ยกับเธอยืนอยู่ ด้วยความที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครฉันเลยยกมือไหว้พวกเขาอย่างกลัวๆปะปนกับความเกรงใจ
“ค่อยถามได้ไหมครับ น้องแพ้เหงื่อผมจะพาน้องไปอาบน้ำ”
“แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน! รีบพาน้องขึ้นไปอาบน้ำเลยเดี๋ยวนี้”
“ครับ เอ่อ ให้แม่บ้านเอายาแก้แพ้กับคารามายไปให้ผมด้วยนะครับ”
“ได้ๆ รีบพาน้องขึ้นไป”
ฉันได้แต่มองพวกเขาสลับกันไปมา แต่สงสัยอยู่ไม่นานฉันก็ถูกดึงมือให้เดินเข้าไปในบ้านเขาพาฉันเดินขึ้นไปยังชั้นสองและเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่ถูกจัดเป็นโทนสีดำน้ำเงินคล้ายๆกับห้องนอนของฉันที่คอนโด
“อ่ะนี่เข้าไปอาบน้ำ เดี๋ยวพี่หาชุดให้ห้องน้ำอยู่ทางนั้นนะ”
ร่างสูงยื่นเสื้อคลุมสีเทามาให้ฉันรับมาก่อนจะเดินทางที่เขาบอก ครีมอาบน้ำแบรนดังอย่างของวิคตอเรียถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ นี่เขาจะใช้ของแบรนทั้งตัวเลยหรือยังไงกัน
หลังจากอาบน้ำเสร็จฉันก็รู้สึกสบายตัวขึ้นเพียงแค่นิดหน่อยเพราะยังคันตามแผ่นหลังอยู่ พอเปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินไปยังคนที่บอกจะหาเสื้อผ้าให้ ฉันก็ต้องชะงักเท้าไว้เพราะนอกจากเขาแล้วยังมีผู้หญิงที่ยืนถามเราอยู่หน้าบ้านด้วย
“อ่ะนี่ เขาไปสวมก่อนแม่บอกว่าให้คนออกไปซื้อชุดมาให้แล้ว”
“ไม่ๆ ไม่ต้องซื้อก็ได้”
“เอาน่าอย่าไปขัดใจท่านเลย เข้าไปแต่งตัวได้แล้วจะได้ออกมาทายา”
ร่างสูงดันหลังฉันให้เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำฉันออกมาอีกครั้งด้วยชุดเสื้อยืดตัวย้ายใหญ่บวกกับกางเกงบ็อกเซอร์ที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นของเจ้าของห้องนี่แหละ
“อ่ะนี่ยา แล้วก็นั่งจะได้ทายาให้”
เขาดึงฉันให้นั่งลงบนเตียงมือก็ยื่นเม็ดยาสีขาวกับแก้วน้ำมาให้พอฉันรับมาแล้วทานยาเสร็จเขาก็ดึงแก้วน้ำไปวางที่โต๊ะข้างๆเตียงนอน
“ลูกอม นี่แม่พี่กับพ่อพี่เอง”
“คะ?” ฉันหันไปมองคนที่เพิ่งเอ่ยประโยคเมื่อกี้ออกมาอย่างไม่เข้าใจ นี่พ่อกับแม่เขาเหรอ ฉันหันไปมองท่านทั้งสองก่อนจะยิ้มอย่างขอโทษที่เสียมารยาทแล้วกมือไหว้ท่านทั้งสองอีกรอบ
“ไม่ต้องกลัวแม่หรอกลูก อืมถ้ายังไงให้พี่เขาทายาให้แล้วหนูก็นอนพักนะลูก ตอนเย็นเราค่อยออกไปทานข้าวกัน” แม่เขาบอกพี่เสียงอบอุ่น ยิ่งพอเห็นรอยยิ้มถูกส่งมอบมายิ่งทำให้ฉันคิดถึงแม่ตัวเอง ไม่รู้แม่จะเป็นยังไงบ้างเหมือนกัน
“มาทายาก่อน เดี๋ยวก็งอแงอีก” คนที่นั่งซ้อนหลังฉันเอ่ยดุ แต่มือก็ทายาตามแขนตามหลังให้ มือร้อนของเขาจับสำลีที่ชุบยาแล้วทาไปทั่วแผ่นหลัง แต่ทายังไงมันก็ยังคันเหมือนเดิมนะ ฮื่อ! ฉันอยากจะเอาเล็บยาวๆของตัวเองเกาที่แผ่นหลังจริงๆ ทำไมมันทรมานแบบนี้ หลังจากพ่อกับแม่เขาเดินออกจากห้องฉันก็นอนคว่ำตัวไปบนเตียงดีดดิ้นไปมาด้วยความงอแง เขาจะเป็นใครฉันไม่สนแล้วตอนนี้ ฉันไม่สนแล้ว!!
“นี่ๆ เกาหลังให้หน่อย” ฉันยกมือไขว้หลังทั้งที่นอนคว่ำหน้ากับเตียงอยู่ไม่แน่เหมือนกันว่ามือที่ยื่นไปสะกิดใครอีกคนจะโดนตรงไหน เอาน่าอย่าซีเรียสสิ
“เรียกใครนี่ พี่ไม่ได้ชื่อนี่” โว๊ะ อะไรอีก
“แล้วชื่ออะไรจะได้เรียกถูก”
“ลูกอม!!” คนที่ถูกถามชื่อเรียกฉันเสียงเข้ม นี่ฉันทำอะไรผิดทำไมต้องทำเสียงดุใส่กันด้วย
“อย่าบอกนะว่าสองสามันมานี่จำชื่อพี่ไม่ได้” คนที่แทนตัวว่าพี่ถามเสียงเข้ม ฉันพยักหน้าเบาๆก่อนจะเริ่มรู้สึกมึนๆงงๆเมื่อความง่วงเริ่มกระแซะฉันอีกครั้ง แถมในห้องยังเปิดแอร์เย็นฉ่ำอย่างกับอยู่ขั้นโลกแบบนี้
“พี่โกรธเรา!”
“เฮ้! จะไปไหนน่ะกลับมาก่อนสิ”
ฉันตะแคงหน้ากลับไปเมื่อได้ยินเขาบอกว่าโกรธ ร่างสูงลุกแล้วเดินออกไปนอกห้องนอน ฉันผิดอีกแล้วเหรอ แล้วนี่ฉันมานอนทำอะไรบนเตียงคนอื่น ฉันฝืนตัวลุกนั่งบนเตียงแต่ด้วยความที่ว่าเวียนหัวปนกับความง่วงที่เกิดขึ้นทำให้ฉันล้มตึงนอนอยู่บนเตียงเหมือนเดิม บ้าจริง ฉันควรจะออกจากที่นี่ได้แล้วนะ
“จะไปไหน”
“กลับบ้าน” ฉันตอบคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาโดยที่ฉันกำลังลุกนั่งด้วยความยากลำบาก ทำไมฉันถึงได้อ่อนแอแบบนี้นะ
“นอนลงไปเลย ตอนเย็นค่อยกลับ”
คนตัวสูงเดินเข้ามาใกล้แล้วดันไหล่ให้ฉันนอนลงเหมือนเดิมแถมยังใจดีดึงผ้าห่มมาคลุมร่างฉันไว้ด้วย เขาไม่พูดอะไรอีกนอกเดินทิ้งตัวนั่งพิงหัวเตียงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆฉัน ในมือเขามีโทรศัพท์อยู่
“จะไม่บอกจริงๆเหรอว่าชื่ออะไร” ฉันตะแคงตัวไปฝั่งเขาก่อนจะถามเสียงเรียบๆ แต่ไม่รู้ทำไมคนที่ถูกถามถึงได้หน้าแดงแบบนั้นจะว่าร้อนก็ไม่ใช่เพราะในห้องเย็นมาก
“บอกไปแล้วไง จำไม่ได้เอง” เขาบอกเสียงเรียบแต่กิริยานี่บอกได้ชัดเจนเลยว่างอน
“ตอนไหน? ไม่ได้บอกจำผิดหรือเปล่า”
“ชิ! พอเลยไม่ต้องมาหลอกถามนอนได้แล้ว” มือใหญ่ยกมาวงที่ศีรษะฉันเบาๆก่อนจะลูบอย่างนุ่มนวล ไม่นานความเงียบก็เข้าครอบคลุมในห้อง ฉันคุ้นหน้าเขาจริงๆนะแต่นึกไม่ออกและอีกอย่างเวลาอยู่ใกล้เขามันให้ความรู้สึกเหมือนคนที่สนิทคุ้นเคยกันมานานทั้งที่ฉันเพิ่งเคยเจอเขา
*“พี่ชื่อเซกะ ยัยบื้อ จำไว้ด้วย”*
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบถามเบาๆ ฉันพยักหน้าตอบรับเบาๆ ก่อนจะเบิกตามองไปรอบๆ นี่มันไม่ใช่ห้องฉันนี่ โอ๊ย ฉันลืมไปได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ห้องคนอื่น ฉันนุ่งลุกแบบงงๆก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ตอนนี้ในห้องมีเพียงแสงไปจากโคมไฟที่ตั้งอยู่โต๊ะตรงหัวเตียง
“กี่โมงแล้ว” ฉันหันไปถามคนที่นอนเล่นมือถืออยู่ข้างๆ
“หกโมงครึ่ง ว่าแต่เราหายคันยัง”
“อือ หายแล้ว ขอบคุณนะแต่ฉันต้องกลับแล้ว” ฉันบอกเขาก่อนจะก้าวลงจากเตียงแต่คนที่นอนอยู่บนเตียงกระตุกมือให้หันกลับไปมอง เขาค่อยๆลุกนั่งทั้งที่ยังจับมือฉันอยู่
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง จะพาออกไปทานข้าวด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวกลับไปกิน...”
“มาม่า? พี่บอกแล้วไงว่าลดไอ้มาม่านั่นลงบ้าง” เขาเอ่ยแทรกก่อนที่ฉันจะพูดจบ
“เซกะน้องตื่นยังลูก แม่ให้คนตั้งโต๊ะแล้วนะ” เสียงเคาะห้องบวกกับเสียงตะโกนที่ดังอยู่ข้างนอกยิ่งทำให้ฉันกลัว ฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย
“ครับแม่ เดี๋ยวลงไปครับ”
“ชื่อเซกะสินะ อายุเท่าไหร่เหรอ” ฉันมองคนที่กำลังลุกจากเตียงเขาจูงมือฉันออกจากห้องนอนแล้วพาเดินไปชั้นล่าง
“เยอะกว่าเราห้าปีน่าจะได้มั้ง แล้วอยากไปไหนไหมจะพาไปก่อนกลับบ้าน”
“ได้เหรอ?”
“หึหึ ได้สิ เอาไว้ก่อนกลับจะพาไปนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“นั่นไงมาพอดี! เซกะพาน้องมานั่งได้แล้วลูก” เสียงแม่พี่เซกะเอ่ยขึ้น ฉันเลยเงยหน้ามองไปรอบๆ ห้องอาหารกว้างนี้นอกจากจะมีพ่อกับแม่พี่เซกะแล้วยังมี ชายหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่รวมถึงผู้หญิงคนหนึ่งดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าฉันนะ หล่อนมองฉันตาไม่กระพริบเลยล่ะ
“ขอโทษที่ลงมาช้าครับ”
“ไม่เป็นไรลูก พาน้องมานั่งข้างแม่สิแม่อยากคุยกับน้อง” แม่พี่เซกะเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ เขาจูงมือฉันเดินผ่านสามคนนั้นก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ที่ว่างข้างๆแม่เขาแล้วดันไหล่ให้ฉันนั่งลงส่วนเขาก็เลื่อนเก้าอี้นั่งลงข้างๆฉัน
“ใครเหรอครับพี่”
“แฟนไอ้ลูกชายตัวดีน่ะ ซุ่มเงียบตั้งนานกว่าจะยอมพามาบ้าน” พ่อพี่เซกะเอ่ยติดแซวคนข้างๆฉัน
“ทานข้าวกันดีกว่าค่ะ” เราเริ่มทานข้าวกันเงียบๆ คนข้างๆก็คอยดูแลฉันรวมถึงแม่พี่เซกะท่านคอยตักอาหารมาใส่จานให้ฉันจนตอนนี้ฉันเริ่มจะเกร็งจนไม่กล้าจะหยิบช้อนแล้วด้วยซ้ำ
“ไม่อร่อยเหรอลูก แม่ทำอย่างอื่นให้เอาไหม” แม่ของพี่เซกะถามอย่างไม่สบาย แต่ฉันสิที่ต้องเป็นฝ่ายไม่สบายใจ ฉันไม่เคยรู้จักพกเขาด้วยซ้ำแต่จู่ๆก็ให้มาร่วมโต๊ะทานข้าวคุณแม่ถึงจะนั่งใกล้ฉันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเกร็งเท่ากับสองแม่ลูกที่นั่งฝั่งตรงข้ามเลย นี่มันเหมือนละครหลังข่าวเลยนะ
“เปล่าค่ะ คือหนู”
“ก็แม่ตักแต่ผักให้น้องอ่ะ น้องไม่ชอบกินผัก” พี่เซกะเอ่ยบอกกับแม่ ท่านมองฉันยิ้มๆก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบผมฉันอย่างอบอุ่น ท่านทำให้ฉันคิดถึงแม่ตัวเองอีกแล้ว
“งั้นเหรอ อืมหนูชอบอะไรจ๊ะเดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะทำให้ใหม่”
“ขอบคุณนะคะ แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะหนูเกรงใจ”
“เกรงใจอะไรลูก หนูก็เหมือนลูกแม่อีกคนนะ” ฉันยิ้มให้ฉัน พอไม่รู้จะตอบอะไรเลยทำได้แค่ยิ้มกลับ
“ถ้าอย่างนั้นคุณพี่ก็ให้น้อง***เจน***เป็นลูกอีกสักคนสิคะ” ผู้หญิงที่ใส่สร้อยเส้นเท่าเสาบ้านจีบปากจีบคอพูดกับคุณแม่ (ไรท์ = เรียกซะสนิทเลยนะ)
“พออยากรับแต่หนูลูกอมน่ะค่ะ ต้องขอโทษด้วย” คุณตอบก่อนจะยิ้มพิมพ์ใจให้อีกฝ่าย ตอนนี้เหมือนฉันนั่งอยู่กลางสงครามเย็นเลยล่ะ
“ลูกอม พรุ่งนี้ไปทำบุญกันนะคะลูกคืนนี้ก็ค้างกับแม่ก่อนนะคะ” รอยยิ้มที่ท่านส่งมาให้ เหมือนการบังคับกลายๆว่าฉันต้องอยู่และต้องไปกับท่าน
“หนูต้องกลับไปทำงานค่ะแม่...”
“ใช้คอมพี่ทำก่อนก็ได้ คืนนี้ก็นอนที่นี่แล้วกัน”
“เซกะ”
ฉันหันไปดุคนที่แสดงความคิดเห็นเมื่อด้วยความหงุดหงิด เขาแกล้งยิ้มให้ก่อนจะแสร้งตักอาหารมาใส่จานฉัน ฉันเอื้อมมือลงไปหยิบต้นขาเขาเต็มแรง เขาสะดุ้งแต่ก็ไม่ได้ร้องอะไรออกมาแต่สีหน้าเจ็บปวดนั่นทำให้ฉันจำต้องเลิกหยิบเขา ทำไมเขาไม่มองฉันบ้างล่ะว่าอึดอัดหรือเปล่า
“พรุ่งนี้จะไปทำบุญเหรอคะคุณพี่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอไปด้วยนะคะไปทำบุญร่วมกัน”
“ได้สิคะ ลูกอมทานข้าวเสร็จเราไปร้อยมาลัยกับแม่นะลูกหนูทำเป็นไหม” ไม่อยากจะบอกท่านเลยว่าฉันน่ะ
“ทำไม่เป็นค่ะ” กรี๊ด! ทำไมฉันปากพร่อยตอบเร็วแบบนี้ล่ะ ฉันได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้ท่านไป จริงๆนะงานผู้หญิ้งหญิงฉันแทบจะทำไม่เป็นเลยไม่สิทำไม่เป็นเลยต่างห่าง
“หึหึ แม่ชอบหนูจังตรงไปตรงมาดี เดี๋ยวไปนั่งดูแม่ทำก็ได้”
“เดี๋ยวเจนช่วยนะคะคุณป้า”
“ได้สิจ๊ะ”
“ลูกอม”
“คะ?” ฉันสะดุ้งหันไปหาคนที่นั่งข้างๆ พี่เซกะบอกให้ฉันทานข้าวต่อ แต่ฉันทานไม่ลงนี่นามันอึดอัดนี่ หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเสร็จเราก็นั่งทานผลไม้กันต่อก่อนที่แม่พี่เซกะจะดึงมือฉันให้ไปที่ห้องรับแขก บนโต๊ะกระจกกลางห้องมีถาดใส่ดอกมะสิวางอยู่เต็มไปหมดแล้วก็ยังมีดอกกุกลาบวางอยู่ด้วย แต่ดอกกุหลาบสวยดีนะดอกใหญ่สีสวยด้วย
“หนูนั่งข้างแม่นะลูกอม ถ้าอยากลองทำบอกแม่ได้เลยนะ”
“ค่ะแม่”
“ทำไม่เป็นแล้วจะยังมานะคนเรา” เสียงเชิดๆของผู้หญิงคนนั้นคนที่อาสาจะมาช่วยคุณแม่ท่านร้อยมาลัย พอคุณแม่เดินออกจากห้องรับแขกไปผู้หญิงคนนั้นก็เอ่ยมาติดน้ำเสียงเย้ยหยัน หล่อนสวยนะแต่กิริยาไม่ผ่าน
“คนเราใช่ว่าจะต้องทำทุกอย่างเป็นหมดนี่คะ” ฉันตอบกลับเสียงนิ่ง มองหล่อนจนอีกฝ่ายโกรธจนตัวสั่น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
เสียงคุณแม่ดังขึ้นที่หน้าก่อนที่ท่านจะก้าวเข้ามาในห้องรับแขก ในมือท่านถือหนังสือมาเมหนึ่ง ข้างหลังท่านคือพี่เซกะ คุณแม่ท่านเดินมาหยุดอยู่ข้างๆฉันตวัดสายตามองสองแม่ลูกตรงหน้าอย่างตำหนิ
“เจนถามพี่เขาแล้วพี่เขาก็ดุเจนค่ะคุณป้า ฮึก!” โอ้ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอผู้หญิงแบบนี้ในชีวิตจริงปกติจะเจอแต่ในนิยาย
“แล้วเจนถามอะไรพี่เขาล่ะ พี่เขาถึงได้ดุ” คุณแม่ถามกลับเสียงนิ่งๆ
“เอ่อ คือ เอ่อ”
“น้องเขาบอกว่า *ทำไม่เป็นก็ยังจะมานะคนเรา* หนูเลยตอบกลับไปว่า *คนเราใช่ว่าจะต้องทำเป็นทุกอย่าง* แล้วน้องเขาก็เป็นอย่างที่เห็นค่ะคุณแม่” ฉันเอ่ยขึ้นพรางมองปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ยัยนั่นโกรธจนตัวสั่นหน้าแดง ไม่รู้หรือไงว่าหล่อนเก็บสีหน้าไม่เก่งน่ะ ใครเห็นก็รู้ว่าหล่อนโกรธ
“อย่าให้มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีก” คุณแม่เอ่ยขึ้นแต่ไม่ได้มองมายังฉันเพราะสายตาท่านจ้องมองสองแม่ลูกอยู่ พี่เซกะนั่งลงที่โซฟาข้างหลังฉัน คุณแม่ท่านก็นั่งลงบนโซฟา พอฉันยังนั่งนิ่งพี่เซกะเลยดึงฉันเข้าไปนั่งข้างๆเขา คุณแม่ท่านหันมามองฉันแล้วยิ้มอย่างดีใจมือท่านก็ยื่นหนังสือมาให้ ฉันรับมาก่อนจะยิ้มเขินๆ เพราะหนังสือที่ท่านยื่นมาให้คือหนังสือที่ฉันแต่ง
“แม่กลัวหนูเบื่อเลยไปเอาหนังสือที่แม่ชอบมาให้อ่านรอ นี่นะแม่ติดตามเขาตั้งแต่เล่มแรกเลยอันนี้น่ะเล่มล่าสุดแม่ซื้อมาวันก่อนแต่แม่อ่านจบแล้วล่ะสนุกมากเลย” ฉันยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินท่านพูดแบบนั้น เป็นครั้งแรกที่ได้ยินกระแสตอบรับจากคนที่อ่านจริงๆไม่ใช่คอมเม้น
“แม่ครับ จะให้คนแต่งมานั่งอ่านหนังสือตัวเองมันก็ยังไงๆอยู่นะครับแม่”
“หือ? แกว่ายังนะเซกะ” ท่านหันไปมองคนข้างๆฉัน
“หึหึ ก็นี่น่ะเป็นหนังสือที่น้องแต่งขนหนังสือแม่มาให้ลูกสะใภ้แม่เซ็นได้เลย” พี่เซกะบอกคุณแม่กลั้วเสียงหัวเราะ คุณแม่มองฉันอย่างตกใจก่อนจะโผเข้ามากอดฉันไว้แน่น ฉันหัวเราะเบาๆหลังจากที่ท่านผละออกแล้วเอ่ยบอกอย่างน่ารัก
“หนูเซ็นให้แม่หน่อยนะลูก”
“ได้ค่า”
“คุณคะ ให้คนไปเอาหนังสือในตู้มาให้ฉันหน่อยค่ะทุกเล่มเลยนะคะ” คุณแม่ท่านหันไปบอกคุณพ่อที่เพิ่งเดินเข้ามา คุณพ่อมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยอมสั่งให้คนไปเอาหนังสือลงมา
“ไม่ร้อยมาลัยเหรอครับแม่”
“ร้อยสิยะ แกนี่ไม่ยอมบอกแม่เลยนะ” ท่านทำท่าทางงอนๆใส่ลูกชายตัวเองก่อนจะหันไปร้อยมาลัย สองแม่ลูกนั้นนั่งร้อยมาลัยอย่างสงบ ไม่นานหนังสือเก็บร้อยเล่มถูกลำเลียงมาวางบนโต๊ะกระจกอีกฝั่งทุกเล่มจริงๆ คุณแม่มีหนังสือฉันทุกเล่ม ฉันดีใจจนพูดอะไรไม่ออกเลยตอนนี้
“คุณแม่ชอบเรื่องไหนที่สุดเหรอคะ” ฉันย้ายตัวเองลงไปนั่งที่พื้นเพื่อที่จะใช้เซ็นหนังสือให้คุณแม่ พี่เซกะย้ายลงมานั่งซ้อนหลังเขากดมือถืออยู่ไม่นานก่อนจะยื่นมือถือไปวางพิงกับแก้วน้ำที่อยู่กลางโต๊ะ ฉันไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่หรอกว่าเขาทำอะไร เขาน่ะชอบว่าฉันติสท์แต่เขาไม่มองตัวเองเลยว่าติสท์แค่ไหน
“แม่ชอบ เรื่องที่ให้หนูเมื่อกี้แหละ แม่อ่านจนจะขาดอยู่แล้ว” คุณแม่บอกยิ้มๆ
“แม่เราน่ะอ่านก่อนนอนลูกคืนเลยนะลูก ถ้าไม่ติดว่าฟินอยู่คงอ่านออกเสียงให้พ่อฟังด้วย” คราวนี้คุณพ่อเอ่ยแซวคุณแม่อย่างน่ารัก
“ลูกอมทักทายคนดูหน่อย” พี่เซกะวางคางที่ไหล่ฉันก่อนจะบอกเสียงนุ่ม ฉันมองตามสายตาเขาถึงได้รู้ว่าเขากำลังเล่นแอปอยู่ตอนนี้เขาไลฟ์สดอยู่ในเฟสบุ๊ค คนดูเกือบพันแล้วนี่เขาเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่
“เล่นตั้งแต่เมื่อไหร่” ฉันหันไปถามเขาเสียงเบาๆเพราะเกรงใจผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ในห้อง แต่ไอ้คนที่วางคางบนไหล่ฉันนี่สิไม่ให้ความร่วมมืออะไรเลยแถมยังไม่สนใจใครด้วย
“ห้านาทีได้แล้วมั้ง”
“แม่กูขอลายเซ็นลูกสะใภ้ตัวเองว่ะ ฮ่าๆๆๆ” พี่เซกะน่าจะตอบเม้นของใครสักคน แต่ฉันก้มหน้าก้มตาเซ็นหนังสือให้คุณแม่เก็บเล่มที่ท่านชอบไว้เซ็นสุดท้ายว่าจะเขียนขอบคุณท่านสักหน่อย จะว่าไปก็เขินๆนะที่รู้ว่าท่านชอบผลงานตัวเอง
“อ้าวคุณน้องคะไม่ขอลายเซ็นหนูลูกอมเหรอคะ ชอบผลงานเหมือนกันนี่คะ” ฉันเงยหน้าทันทีเมื่อได้ยินคุณแม่เอ่ยชื่อฉัน สายตาท่านมองไปยังผู้หญิงคนนั้นคนที่เป็นแม่ยัยน้องเจนอะไรนั่นน่ะ คนถูกถามทำหน้าอึกอักลำบากใจฉันเลยก้มหน้าเซ็นหนังสือต่อ
“มีคนถามว่าเรื่องใหม่จะออกตอนไหน”
“น่าจะสองเดือนนะคะ” ฉันตอบพี่เซกะและไม่ยอมเงยหน้ามองหน้าจอเลย
“ประมาณสองเดือนนะครับ แต่ทำไมทุกคนถามแต่เรื่องหนังสือแฟนผมล่ะ ไม่มีใครถามเรื่องรถบริษัทผมเลย”
“หนังสือเค้าร้อยสองร้อย รถตัวเองคันละล้าน เหอะ” ฉันเอ่ยแซวพี่เซกะเบาๆ แต่เหมือนจะคิดผิดที่แซวเขาเพราะเขาสามารถน็อกฉันด้วยคำพูดประโยคเดียว
*“ที่ขายแพงเพราะจะเก็บตังค์ไปขอเราไง”*