เธอทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงนะ เพราะเมาเหรอ? เธอถามตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้ง จะเรียกว่าเมาก็พูดได้ไม่เต็มปาก เธอยังมีสติพอตัดสินใจในการกระทำของตัวเอง แต่เธอก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าถูกผู้ชายคนนั้นจับพลิกคว่ำพลิกหงายไปกี่รอบและถึงจุดสุดยอดไปกี่ครั้ง ร้องครางจนเสียงแหบไปเลย แต่เธอกลับจำไม่ได้แน่ชัดว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร เหมือนเขาจะบอกเธออยู่นะ ส่วนเธอก็มั่นใจว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้เขา เธอเพลียจนผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่รู้สึกตัวตื่นตอนที่พี่ก้องภพโทรหา เธอจึงรู้ว่าไม่ได้นอนที่ห้องตัวเอง หลังจากตั้งสติได้ก็รีบพาร่างเปลือยเปล่าสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและหิ้วรองเท้ากับกระเป๋าสะพายออกมาจากห้องนั้น หลังจากกลับมาที่ห้องตัวเองก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่นึกขึ้นได้ เธอไม่มั่นใจว่า...เขาใช้ถุงยางอนามัยหรือเปล่าทำให้เธอต้องตาลีตาเหลือกไปซื้อยาคุมฉุกเฉินป้องกันไว้ก่อน
นัวเนียกันขนาดนั้น เธอกลับจำหน้าเขาไม่ได้ จะเรียกว่าจำไม่ได้ก็ไม่ใช่ เหมือนมันเลือนรางเสียมากกว่า
“ลูกหมิว?”
“คะ!” ธีรยาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ “แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ หมิวทำบัญชีให้เสร็จพอดี นี่หมิวว่าจะไปเช่าชุดใส่ไปงานแต่งพี่หมอก้องนะคะ”
“หมอก้องจะแต่งงานแล้วเหรอ” คุณแม่เพ็ญนภาถาม รู้จักคุ้นเคยเพราะเด็กๆที่นี่เวลามีเรื่องด่วนไปโรงพยาบาลก็ได้เจอหมอก้องภพอยู่บ่อยๆ แต่นางก็ดูไม่แปลกใจกับเรื่องที่ได้ยินนัก
“แล้วหมิวละลูก”
“เรื่องอะไรคะ” เธอถามอย่างงงๆ
“ไม่มีคนที่อยากแต่งงานด้วยเหรอ”
“หมิวยังทำงานใช้ทุนอยู่เลย ยังไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ”
“ถ้าหมิวไม่มีใคร ไม่ลองพิจารณาลูกชายของเพื่อนแม่ดูล่ะ”
“ลูกชายเพื่อนแม่? คนไหนคะ?” ธีรยาทำหน้างง ตอนเรียนเธอก็ทุ่มเทกับการเรียนไม่ได้สนใจเรื่องอื่น อีกอย่างเพื่อหาเงินทุนมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านเด็กกำพร้าทำให้คุณเพ็ญนภารู้จักคนมากมายหลายระดับ
“ก็คนที่เป็นลูกครึ่งจีน-ไทยไงล่ะ ชื่ออะไรนะ โจ โจ อะไรสักอย่าง”
ธีรยายิ้มแหย ส่ายหน้าไปมา “ไม่คุ้นเลยค่ะแม่ แม่ก็อย่าไปเชื่ออะไรมากนะคะ พวกต้มตุ๋นหลอกลวงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นจีนเทามาหลอกตีสนิทกับเราก็ได้”
“ไม่หรอก” คุณเพ็ญนภาส่ายหน้าไปมา “อีกอย่างแม่เขาก็เป็นเพื่อนแม่ด้วย หมิวจำคุณกานดาได้ไหมล่ะ แม่เคยพาไปกินข้าวด้วยกันนะ คุณกานดาเป็นอีกคนที่ให้ทุนการศึกษาของหมิวด้วยนะ ตอนนี้กานดากลับมาเมืองไทยแล้ว”
“เพื่อนแม่มีตั้งหลายคน หมิวจำไม่ได้ทุกคนหรอกค่ะ”
“ถ้าจำไม่ได้งั้นวันนี้ไปข้างนอกกับแม่ เดี๋ยวเจอหน้าก็จำได้เอง”
“อ้าว! แม่จะออกไปไหนเหรอคะ”
“พอดีเพื่อนแม่โทรมาชวนไปกินข้าวเย็น ลูกก็ว่างนี้ ออกไปเป็นเพื่อนแม่สักชั่วโมงแล้วกัน”
“แต่แม่คะ...แม่จะไปไหนไม่บอกล่วงหน้าแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ให้แม่ไปคนเดียว หมิวไม่เป็นห่วงแม่หรือไง”
แม่เพ็ญนภาทำท่างอนและเวลางอนจะง้อยากเสียด้วย ธีรยาถอนหายใจแล้วตัดสินใจยอมออกไปพบเพื่อนของคุณแม่ด้วยกัน เธอจัดเก็บเอกสารต่างๆให้เรียบร้อยซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก เช่นเดียวกับคุณเพ็ญนภาที่เหมือนเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว จะให้ไปคนเดียวเธอก็เป็นห่วง แค่นั่งเล่นสักชั่วโมงค่อยกลับก็แล้วกัน
ธีรยาอาสาขับรถให้ บ้านเด็กกำพร้ามีรถเก๋งมือสองอายุสิบปีไว้ใช้งานอยู่หนึ่งคัน เธอขับรถไปตามเส้นทางที่แม่เพ็ญนภาบอกแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ นี่มันหมู่บ้านคนรวยนี่ ราคาแต่ล่ะขั้นต่ำหลังล่ะห้าสิบล้านเลยทีเดียว
“แม่แน่ใจนะคะว่าหมู่บ้านนี้”
“แน่ใจสิ นี่ไง เพื่อนแม่ส่งมาให้ดู” แม่เพ็ญนภายื่นมือถือให้ดูรูปในโปรแกรมไลน์
ธีรยาขมวดคิ้วยุ่งเหยิง แม้ว่าเธอเป็นหมอก็ไม่ใช่ว่าจะร่ำรวยอะไร ยังทำงานใช้ทุนอยู่เลย ยังดีที่ปีนี้ได้ทำงานในโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ธีรยาแอบกังวลใจกลัวแม่เพ็ญภาจะถูกหลอกทำธุรกิจผิดกฎหมาย หรือพวกนั้นเห็นบ้านเด็กกำพร้าเป็นแหล่งฟอกเงิน หญิงสาวแลกบัตรเพื่อขับรถเข้าไปในหมู่บ้านจนเจอบ้านที่เป้าหมาย ยังไม่ทันลงไปกดกริ่ง ประตูอัตโนมัติก็เปิดกว้างให้ขับรถเข้าไปโดยสะดวก หญิงวัยห้าสิบเศษยืนรออยู่หน้าคฤหาสน์หลังงาม ธีรยาใจชื้นเพราะคุ้นหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอเคยพบเพราะท่านเป็นคนมอบทุนการศึกษาให้
“มากันแล้ว” คุณกานดายิ้มรับ คุณเพ็ญนภาเดินเข้าไปจับมือคุณกานดาด้วยความสนิทสนม
“ขอโทษที่มาเสียเย็นเลย”
“บ้านฉัน เธอจะมาตอนไหนก็ได้” คุณกานดาหัวเราะแล้วอดมองหญิงสาวตัวเล็กน่ารักไม่ได้ “นี่หนูหมิวใช่ไหม ไม่เจอกันหลายปี สวยขึ้นเป็นกอง”
“สวัสดีค่ะ” ธีรยายกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“เข้าไปในบ้านก่อน”
คุณกานดาเดินนำเข้าไปในห้องรับแขก ธีรยาอดเหลียวมอง ‘บ้านคนรวย’ แบบจับผิด ยังไงเธอก็เป็นห่วงกลัวถูกหลอก เธอเองก็ทำแต่งานวุ่นวายทั้งวัน เกิดใครชวนแม่เพ็ญนภาไปทำธุรกิจหรือให้เป็นนอมินีบริษัทขึ้นมา เกรงว่าถึงเวลานั้นจะช่วยไม่ทัน
“ซื้อบ้านใหญ่โตแบบนี้จะกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วเหรอ”
คุณเพ็ญนภาถาม ไม่ได้รู้สึกอิจฉาเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนนี้เลย หากเพื่อนกลับมาอยู่เมืองไทยจริงๆ เธอจะได้มีคนคุยด้วยให้คลายเหงา
“อืม อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายเท่าบ้านเราหรอก” คุณกานดาตอบแล้วมองหน้าธีรยา “เธอนี่โชคดีจริงๆ มีลูกสาวน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ใกล้ๆ ลูกชายฉันสิ บ้างาน แทบไม่เคยเห็นหัวเลย”
“ต่างกันที่ไหน ยัยหมิวเป็นหมอ วันหยุดวันพักก็ไม่ได้เหมือนคนอื่น โชคดีที่ได้ทำงานในกรุงเทพ ไม่งั้นฉันก็แย่เหมือนกัน”
เพราะรักและเอ็นดูเด็กทุกคนเหมือนลูก คุณเพ็ญนภาจะเรียกเด็กทุกคนว่าลูกเหมือนกันหมด เพียงแต่มีบางคนที่พิเศษหน่อยก็อย่างธีรยา อาจเพราะธีรยาแม้จะออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านเด็กกำพร้าแต่ยังวนเวียนมาหามาช่วยงานอยู่เสมอ รวมทั้งโอนเงินให้เธอเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กๆคนอื่นๆในบ้านเด็กกำพร้าอีกด้วย
“ฉันอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร ว่างๆ เธอมาบ้านฉันสิ เรามาทำขนมเหมือนสมัยเรียนดีไหม อ้อ!ถ้าจะมาก็โทรมาบอกได้เลย ฉันให้คนขับรถไปรับเองไม่ต้องเป็นห่วง”
“งั้นก็ดีเลย ฉันขับรถไม่แข็ง จะไปไหนก็พึ่งลูกๆ ตลอด”
“ฉันให้แม่ครัวทำอาหารเย็นอยู่ อีกสักครึ่งชั่วโมงคงเสร็จ รอหน่อยนะ” คุณกานดาพูดอย่างเกรงใจ “หนูหมิวเบื่อไหม อยากเดินเล่นก็ได้นะจ๊ะ”
“คะ?”
ให้เดินเล่นในบ้านคนอื่นนี่นะ ?
“ไม่ต้องเกรงใจ คิดว่าเป็นตัวเอง หนูอยากเดินดูอะไรก็ตามสบาย อีกครึ่งชั่วโมงมากินข้าวกัน”
สองคุณแม่ต่างหัวเราะกันคิกคัก เหมือนว่าคุณกานดาอยากจะอวดบ้านให้เธอดูยังไงไม่รู้
“ค่ะ”