เมื่อเห็นว่าทั้งคู่คล้ายกับจะลืมตนเองไป เกาซื่อหลินเลยเอ่ยปากขึ้นมาเรื่องที่พักถาวรของหยางเหมยจิน
“เรื่องการค้าฉันว่าค่อยคิดดีหรือไม่ เอาเรื่องที่อยู่ถาวรของพี่สาวเหมยจินก่อนดีกว่า ในเมื่อพี่สาวเหมยจินและพี่ชายตงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน หากจะอยู่ด้วยกันมันจะเหมาะสมหรือ แล้วเท่าที่ฉันพอจะรู้มาสองแฝดลูกของพี่ชายตงนั้นหวงพี่ชายตงไม่น้อย แล้วแบบนี้จะมีปัญหาหรือไม่”
เกาซื่อหลินแม้จะต้องการให้นายสาวอยู่ไปกับเธอตลอดไป แต่เพราะเวลานี้ชาวบ้านรับรู้เพียงว่าหยางเหมยจินนั้นเป็นคู่หมั้นของพ่อม่ายตงโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ เธอจึงชักชวนนายสาวไปอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะจะเกิดความสงสัยในหมู่ของชาวบ้าน อย่างไรเรื่องนี้ก็ค่อยแก้ปัญหาที่หลังก็ยังไม่สาย
อีกทั้งร่างที่เธอมาอาศัยอยู่ก็มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา เท่าที่ความทรงจำที่มีอยู่เต็มเปี่ยม เกาซื่อหลินคนนี้มีฐานะไม่ต่างจากสายลับ แต่ก็ยังมีอีกฐานะนั่นคือลูกสาวจากภรรยาคนเดิมของนายพลในเมืองเซี่ยงไฮ้ เหตุผลที่ได้เดินทางมาเป็นยุวปัญญาชนที่เมืองนี้ เป็นเพราะแม่เลี้ยงต้องการให้ลูกเลี้ยงตัวเองมาใช้แรงงานนั้นเอง
แต่ระหว่างเดินทางกลับโดนลอบทำร้าย ทำให้เกาซื่อหลินที่มีความสามารถด้านการต่อสู้อยู่บ้างได้ต่อสู้สุดชีวิตและเดินทางมาถึงที่นี่ จากนั้นเธอเลยไม่คิดจะกลับไปยังคฤหาสน์สกุลเกาและใช้ชีวิตที่นี่มาตลอดสามปี แต่เพราะเธอไม่ชอบอยู่ร่วมกับใครและมีปัญหากับยุวปัญญาชนหญิงด้วยกันบ่อยครั้ง หัวหน้าคอมมูนเลยแยกบ้านพักให้เธอพักเพียงคนเดียว เพราะยังเกรงใจพ่อของเธอที่เป็นนายพลใหญ่
ต่อมาเธอก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยอาการหัวใจวายอย่างเดียวดาย เป็นเวลาเดียวกันกับที่ลู่จิงจิงข้ามเวลามาและได้เข้ามาสวมร่างนี้แทนพอดิบพอดี และเมื่อวิญญาณเธอมาสวมร่างนี้ก็ได้รับรู้ความทรงจำของเจ้าของร่างทุกอย่างเลยไม่คิดจะกลับไปยังคฤหาสน์สกุลเกาเช่นกัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น เพราะเด็กทั้งสองคนเข้าใจในความจำเป็นของอาเหมยและไม่ขัดข้องอะไร เรื่องบ้านผมก็จะเร่งให้เขามาต่อเติมให้โดยเร็ว” ตงเหวินหมิงพูดขึ้นเพื่อไม่ให้เกาซื่อหลินกังวลใจในเรื่องของลูกแฝดของเขาที่จะมีปัญหากับหยางเหมยจิน
“อย่างนั้นก็ดี แต่ก่อนจะสร้างบ้านใหม่ พี่สาวเหมยจินสามารถไปอยู่กับฉันก่อนได้นะ เพราะชาวบ้านล้วนรับรู้แล้วว่าฉันชวนพี่สาวไปอยู่ด้วย แต่คงเป็นการอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะแม้ว่าฉันจะอยู่บ้านหลังนั้นเพียงคนเดียว แต่บ้านก็ยังเป็นของคอมมูน หากพี่สาวเหมยจินไม่ได้ทำงานที่คอมมูนคงอยู่ถาวรลำบาก” เกาซื่อหลินพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ความสะดวกใจของอาเหมยเลย ส่วนเรื่องที่อยู่ถาวรของอาเหมย คงต้องจัดการเหมือนเดิม และต้องอยู่ภายในรั้วบ้านเดียวกัน แต่ความจริงเรื่องนี้ปีหน้าเราก็ต้องแก้ปัญหากันอีกครั้ง เพราะเราทั้งสองได้พูดไปแล้วว่าจะจัดงานแต่งงาน ตอนนี้อย่างมากแค่ต่อเติมห้องออกมา เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะคุยกับผู้นำหมู่บ้านอีกครั้ง โดยใช้ข้ออ้างเรื่องแต่งงานปีหน้า เพราะถ้าสร้างบ้านเป็นหลังมันจะสิ้นเปลือง เมื่อแต่งงานแล้วส่วนหลังจากนั้นค่อยคิดกันอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไร”
ตงเหวินหมิงกล่าวขึ้นมา เรื่องนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาห่วงแต่ว่าคนต่างถิ่นอย่างหยางเหมยจินนั้นจะอยู่อย่างไรเสียมากกว่า และเรื่องที่เขาและเธอเป็นคู่หมั้นกันนั้นชาวบ้านต่างก็รู้หมดแล้ว จึงไม่น่าเกลียดมากนักถ้าจะไปมาหาสู่กันบ้าง
“เอาอย่างที่พี่หมิงพูดมาก็ได้ค่ะ อย่างไรเวลานี้เราทั้งสองต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว แต่ฉันอยากค้าขายจริง ๆ นะคะ อย่างน้อยจะได้ช่วยหาเงินเข้าบ้าน สองแฝดยังต้องใช้จ่ายอีกเยอะ ฉันมาพึ่งพาบ้านตงก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะหันมาสนใจเรื่องการค้าเพื่อหาเงินเข้าบ้านตงทันที
เธอไม่รู้เลยว่าคำพูดนี้ซึมซับเข้าในความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยที่ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ตัว เขาไม่พูดอะไรออกมานอกจากมองสบสายตากันกับหญิงสาวเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้พี่สาวเหมยจินก็ไปอาศัยอยู่กับฉันก่อน หรือไม่หากต่อเติมห้องพี่เสร็จแล้ว ฉันอาจจะมาขออาศัยอยู่ด้วย เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ไม่นินทามากนัก” เกาซื่อหลินเห็นทั้งสองคนสายตาให้กันก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ขอบใจนะซื่อหลิน”
หยางเหมยจินหันมายิ้มให้กับเกาซื่อหลิน
ตงเหวินหมิงรู้สึกตงิดในใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองถึงข้ามเวลามาในสภาพที่ต่างกัน แล้วแบบนี้คนยุคโบราณจะมีใครข้ามเวลามาอีกหรือไม่ เลยเอ่ยถามกับทั้งสองคนออกไป
“ผมมีปัญหาอยากจะถามทั้งสองคน ในเมื่ออาเหมยและคุณหนูเกาข้ามเวลามาได้ แล้วไม่คิดบ้างหรือว่าคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นจะไม่ข้ามเวลามาด้วยเหมือนกัน”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของตงเหวินหมิง สองสาวจึงวิตกกังวลขึ้นมาทันที เพราะถ้าเกิดทั้งสองข้ามเวลามาได้ แล้วคนอื่นในครั้งนั้นล่ะ จะมีใครข้ามเวลามาเหมือนกันหรือไม่ ทั้งสองวิตกกังวลไม่น้อยเพราะกลัวคนที่ข้ามเวลามาด้วยจะเป็นอ๋องต้วนและถังจินเยว่นั่นเอง
ตงเหวินหมิงไม่อยากให้ทั้งสองคนคิดมาก และเพื่อป้องกันอะไรหลาย ๆ อย่าง เขาเลยตั้งใจว่าเดินตามแผนเดิม หลังจากนั้นหากเกาซื่อหลินจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยก็คงไม่มีปัญหาอะไร แค่บอกว่าทั้งสองสนิทกันหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจึงขอมาอยู่ด้วยก็ตงจะได้
เมื่อเกาซื่อหลินคือคนข้างกายในอดีต หยางเหมยจินจึงเล่าเรื่องมิติให้เธอฟังอย่างไม่ปิดบัง เพราะถ้าเกิดเธอเอาอาหารและของใช้ออกมาอีกฝ่ายจะได้ไม่ตกใจ ซึ่งเรื่องนี้เกาซื่อหลินยินดีที่จะเก็บเป็นความลับ และบอกลู่ทางในการหาเงินให้นายสาวทันทีที่รู้ว่านายสาวมีมิติที่สามารถนำของออกมาได้
จากนั้นทั้งสองก็คุยกันถึงวิธีหาเงินเข้าบ้านตง จนกลายเป็นว่าวันนี้เกาซื่อหลินอยู่บ้านตงจวบจนถึงเวลาเลิกโรงเรียนของสองแฝดเลยทีเดียว
“กลับมาแล้วค่ะ / กลับมาแล้วครับ”
สองแฝดกลับมาถึงบ้านก็ส่งเสียงบอกมาแต่ไกล เพราะคิดว่าพ่อของตนนั้นไปทำงานยังไม่กลับมาและบ้านนี้คงเหลือเพียงน้าเหมยของพวกเขา แต่เมื่อเดินเข้ามาด้านใน กลับเห็นพ่อของตนและยังมีพี่สาวอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย
“สวัสดีค่ะน้าเหมย พ่อ...”
ตงฟางลี่ทักทายน้าเหมยและพ่อของตนเองออกไป แต่ชะงักเมื่อไม่รู้จะทักทายอีกคนอย่างไรดี
“สวัสดีจ้ะ น้ามีชื่อว่าเกาซื่อหลิน หรือจะเรียกน้าหลินก็ได้นะ น้าเป็นยุวปัญญาชนของที่นี่ ว่าแต่เราชื่ออะไรกันบ้าง”
พอเห็นว่าสองแฝดมีท่าทีแปลกใจเมื่อเห็นเธอเข้ามาอยู่ในบ้านตง เกาซื่อหลินจึงได้เอ่ยทักทายและแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มก่อนจะถามทั้งสองคนออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“สวัสดีครับ ผมแซ่ตง ชื่อจี้หยวน หรือน้าหลินจะเรียกว่าอาหยวนก็ได้ครับ” ตงจี้หยวนแนะนำตัวแกไปเป็นคนแรกเพราะเขาเป็นพี่ชาย
“สวัสดีค่ะหนูชื่อฟางลี่หรือจะเรียกลี่ลี่ก็ได้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะน้าหลิน” ตงฟางลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหมือนกัน
แม้ว่าจะอายุเพียงสิบปีก็ตาม แต่ทั้งสองรู้ดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เหมือนเรื่องที่หยางเหมยจินตกลงมาจากฟ้า ทั้งสองก็ไม่คิดที่จะแพร่งพรายบอกใคร ในใจของเด็กหญิงนั้นคิดว่าคงมีเรื่องอะไรอีกแน่ ไม่อย่างนั้นน้าหลินคนนี้คงไม่เข้ามาในบ้านของเธอ
เมื่อเห็นสายตาของเด็กทั้งสองคน หยางเหมยจินจึงตัดสินใจบอกเรื่องสำคัญออกไป “น้าหลินมาจากที่เดียวกันกับน้า แต่มาคนละรูปแบบ”
เพียงเท่านี้สองแฝดก็พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะรีบเดินเข้าบ้านเพื่อเอากล่องข้าวไปเก็บและรีบเข้าห้องไปทำการบ้านทันที
“สองแฝดรู้เรื่องพี่สาวเหมยจินด้วยหรือคะ”
พอทั้งสองเดินออกไปแล้ว เกาซื่อหลินจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ เพราะดูเหมือนว่าเด็กทั้งสองคนจะรู้เรื่องนายสาวอย่างดี
“อืม เรื่องที่ฉันมาจากไหนนั้นทั้งสองคนรู้ดี ว่าแต่นี่ใกล้จะถึงมื้อเย็นแล้ว รีบไปเตรียมอาหารกันดีกว่า พี่หมิงไม่ต้องช่วยทำอาหารหรอกนะ ฉันพอจะทำอาหารได้แถมยังตอนนี้ยังมีซื่อหลินมาช่วยอีก ฉันอยากทำอาหาร ลองดูว่าพี่กับลูก ๆ กินกันได้หรือเปล่า”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะชักชวนอีกคนไปทำอาหาร โดยบอกให้ชายหนุ่มว่าไม่ต้องช่วยเธออยากลองทำอาหารเองโดยมีเกาซื่อหลินคอยช่วยก็พอ
“เอาอย่างนั้นเหรอ งั้นผมขอตัวกลับไปสะสางงานที่คอมมูนก่อนนะ จะได้บอกกล่าวผู้นำหมู่บ้านเรื่องจะต่อเติมบ้านด้วย แล้วจะรีบกลับมา”
ชายหนุ่มไม่อยากขัดใจ เลยให้ทั้งสองคนช่วยกันทำอาหารเย็นนี้ ส่วนตนเองนั้นจะไปจัดการเรื่องงานที่คั่งค้าง และบอกกล่าวผู้นำหมู่บ้านเรื่องจะต่อเติมบ้านอีกหนึ่งห้องเพื่อให้หยางเหมยจินอาศัย ดูเหมือนว่าไม่แน่ว่าเกาซื่อหลินน่าจะตามมาอยู่ด้วย
“ค่ะ” หยางเหมยจินยิ้มรับ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินจากไป
“หวางเฟย เอ้อ..พี่สาวเหมยจินแน่ใจแล้วหรือที่จะทำแบบนี้ แล้วถ้าหากไม่ใช่แค่เราสองคนที่ข้ามเวลามา ถ้าเกิดท่าน...เอ่อ..คนคนนั้นข้ามเวลามาด้วยละคะ พี่สาวจะทำอย่างไร”
เมื่ออยู่กันสองคนแล้ว จิงจิงในร่างของเกาซื่อหลินก็เริ่มต้นเรียกนายสาวด้วยตำแหน่งเดิม ก่อนจะรีบเปลี่ยนทันทีที่นายสาวส่งสายตามาอย่างไม่พอใจ จากนั้นเธอก็ถามในเรื่องที่เป็นกังวลใจทันที โดยที่คนคนนั้นที่เกาซื่อหลินหมายถึงคืออ๋องต้วนพระสวามีของหวางเฟยนั่นเอง
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยางเหมยจินได้แต่แสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นดูแคลนไปถึงบุคคลที่ทั้งสองกล่าวถึง
“ชายผู้นั้นน่ะหรือจะยอมตายเพื่อภรรยาที่ไม่ได้รักด้วยการกระโดดตามลงมา ไม่มีทางเสียหรอก นอกเสียจากฝ่าบาทจะจับพวกก่อกบฏได้แล้วถูกประหารจะกลายเป็นวิญญาณ แต่ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าเขาจะตามมา หรือต่อให้ตามมาถึงที่นี่ฉันก็ไม่สนใจ เธออย่าลืมสิว่าที่นี่คืออนาคตหลายร้อยหลายพันปี ต่อให้ฉันจะมีใบหน้าเหมือนเดิม แต่หากฉันปฏิเสธว่าฉันไม่ใช่หวางเฟยก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เชื่อเถอะแค่เราสองคนข้ามเวลามาก็ประหลาดพอแล้ว คงไม่มีใครตามมาหรอก” หยางเหมยจินพูดขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยว
“ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ”
เกาซื่อหลินเอ่ยออกมา เธอหวังไว้ว่าจะไม่มีเรื่องราวชวนปวดหัวหลังจากนี้ แค่การเริ่มต้นใช้ชีวิตในต่างยุคต่างสมัยก็แย่พอแล้ว และเธอยังห่วงว่าคนที่เคยอยู่อย่างสบาย ไม่เคยต้องทำงานอย่างเจ้านายของเธอ จะผ่านพ้นชีวิตในแต่ละวันได้อย่างไร