บทที่ 10อย่าคิดว่าร้ายไม่เป็น

1800 Words
เมื่อได้ยินเสียงผู้เฒ่าเอ่ยถาม ตงเหวินหมิงที่มีความสัมพันธ์อันดีกับบ้านหม่าอยู่แล้ว จึงตอบกลับมาตามที่นัดแนะกับหยางเหมยจินไว้ พร้อมกับรู้สึกผิดและขอโทษเธออยู่ในใจที่ทำให้ต้องมาออกหน้าในเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ “ผู้หญิงคนนี้ชื่อหยางเหมยจินครับปู่หม่า เธอคือคู่หมั้นของผม ส่วนเรื่องที่ผมและอาเหมยหมั้นหมายกันได้อย่างไรและเมื่อไร ผมขอไม่ขยายความนะครับ ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนเรื่องแต่งงาน เรามองกันว่ากลางปีหน้าจะจัดงานอย่างถูกต้องครับ” “ละ แล้ว ทำไมนังคนนี้ถึงได้มาอาศัยในบ้านของพี่ล่ะ เป็นแค่คู่หมั้นไม่ใช่เมียพี่เสียหน่อย” ซูหว่านเอ่ยถามอีกครั้งด้วยอาการที่จ้องจะจับผิด แต่กลายเป็นหยางเหมยจินที่รั้งแขนของตงเหวินหมิงไว้ และตอบคำถามประโยคนี้ด้วยตัวเอง ใครจะมองว่าเธอเป็นหญิงน่ารังเกียจเธอก็ไม่สนใจแล้วในตอนนี้ ขอแค่ช่วยให้ชายหนุ่มหลุดออกจากมือของผู้หญิงคนนี้ก็พอ “การที่หญิงชายอยู่ด้วยกัน แม้ว่ามันจะไม่เหมาะสมหรือไม่คู่ควร ในเมื่อฉันและพี่หมิงเป็นคู่หมั้นกันแล้ว เรื่องในมุ้งของเราสองคนคงไม่ต้องให้ใครมายุ่งวุ่นวาย อีกทั้งเรื่องนี้อาหยวนกับลี่ลี่ก็รับรู้แล้ว ดังนั้นหากถึงวันแต่งงานของเราสองคน อย่างไรเราทั้งสองขอเชิญทุกคนมางานด้วยนะคะ ส่วนเธอ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอกำลังวางแผนอะไร แต่ผู้ชายคนนี้คือว่าที่สามีของฉัน ห้ามเธอมายุ่งเกี่ยวด้วย!!” หากจะมองว่าเธอร้ายไม่เป็นนั้นคงไม่ใช่ แต่ที่ผ่านมาเพราะรักคำเดียวเลยไม่อยากทำกิริยาแบบนั้น อีกทั้งยังมีตำแหน่งหวางเฟยค้ำคออยู่อีกด้วยจึงต้องเป็นหญิงเรียบร้อย ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงประกาศความสัมพันธ์ระหว่างหยางเหมยจินและพ่อม่ายตงอย่างตงเหวินหมิง ก็ได้แต่ตกใจในความกล้าของหญิงสาวตรงหน้า อีกทั้งเวลานี้รัฐเคร่งเครียดความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง การที่ทั้งสองประกาศว่าอยู่ด้วยกันโดยที่ยังไม่แต่งงานนั้นอาจจะถูกทหารแดงทำโทษได้ “แล้วเรื่องที่พ่อม่ายตงพาคนนอกเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน ทำไมถึงไม่แจ้งหัวหน้าหมู่บ้านล่ะ ปล่อยให้เรื่องราวบานปลายจนถึงตอนนี้ อีกอย่างแม้จะเป็นคู่หมั้นแต่มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไรที่จะมาอยู่ชายคาเดียวกัน” ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นอย่างสงสัยและตำหนิออกมาเล็กน้อย “เรื่องนี้ผมรู้ว่ามันไม่ควร แต่เพราะบ้านของอาเหมยเกิดภัยพิบัติครับ ตอนที่อาเหมยเดินทางมาหาผมที่นี่ ก็โดนโจรปล้นชิงเอากระเป๋าเงินและทุกอย่างไปหมด แต่เราก็ไม่นิ่งนอนใจเรื่องเอกสารยืนยันตัวตน ผมและเธอเพิ่งเข้าเมืองไปจัดการเรื่องเอกสารเมื่อไม่กี่วันก่อน ตั้งใจว่ารอให้ได้เอกสารยืนยันตัวตนเสียก่อน ค่อยแจ้งท่านผู้นำหมู่บ้านครับ” ตงเหวินหมิงอธิบายเรื่องราวให้ทุกคนเข้าใจ พร้อมกับแต่งเติมเรื่องราวต่าง ๆ ให้ดูสมจริง ทันทีที่ชาวบ้านได้ยินว่าหยางเหมยจินพลัดถิ่นฐานมาแถมยังโดนโจรปล้นชิงเงินและของทุกอย่างไปหมด จึงเกิดความสงสารอย่างห้ามไม่อยู่ “เอาเถอะ ถือว่าพวกเราเข้าใจในความจำเป็นของเธอ แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่จะให้หญิงสาวอาศัยบ้านเดียวกันกับชายหนุ่ม แม้ว่าทั้งสองคนจะมีการหมั้นหมายกันแล้ว มันก็ดูไม่เหมาะ ไม่ควรเท่าไร เช่นนั้นให้หยางเหมยจินไปอาศัยอยู่ในกลุ่มของยุวปัญญาชนหญิงก่อนก็แล้วกัน ส่วนบ้านตงยังมีพื้นที่เหลืออยู่ อย่างไรค่อยเกณฑ์คนมาช่วยสร้างห้องพักเพิ่มอีกสักห้อง อย่างน้อยก็ยังดีกว่าให้อยู่ร่วมในห้องเดียวกัน” ผู้นำหมู่บ้านเดินผ่านมาทางนี้พอดีเลยตัดสินใจพูดขึ้นเพื่อยุติคำครหา “เช่นนั้นให้พี่สาวคนนี้มาอาศัยอยู่กับฉันก็แล้วกัน อย่างไรฉันก็อยู่คนเดียว” ยุวปัญญาชนที่ชื่อเกาซื่อหลินยกมือขึ้นมา พร้อมกับอาสาที่จะให้หยางเหมยจินไปอาศัยอยู่ด้วย หากมีใครสังเกตสักนิด จะรู้ได้ว่าเสียงของเธอนั้นสั่นเล็กน้อยในเวลาที่พูดออกมา อีกทั้งแววตายังเปล่งประกายความดีใจออกมาอีกด้วย “แล้วเธอล่ะจะว่าอย่างไร หยางเหมยจิน” เมื่อมีคนเสนอให้ไปอยู่ด้วย ผู้นำหมู่บ้านจึงหันมาถามเจ้าตัวอีกครั้ง “ฉันจะไปพักอาศัยอยู่กับเธอค่ะ” หยางเหมยจินไม่มีทางเลือกอื่นจึงตอบกลับไป อย่างไรคิดว่ารอให้บ้านสร้างเสร็จก่อนแล้วค่อยกลับมาที่บ้านตงก็คงไม่เป็นไร อีกทั้งหยางเหมยจินยังเห็นแววตาของผู้หญิงคนนั้นที่มองมา แววตาของเธอคนนั้นไม่ต่างกับดีใจและคล้ายจะเทิดทูนตนเอง หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่ส่งมาอย่างน่าประหลาด ตงเหวินเมิงเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเธอก็จับจูงมือมาอีกมุมหนึ่งของบ้าน ก่อนจะพูดกับเธอเบา ๆ แต่หนักแน่นว่า “ทำตามนั้นก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเข้าเมืองไปดูวัสดุก่อสร้าง แล้วจะรีบมาสร้างบ้านให้ คุณก็อย่าเผลอตัวเอาอะไรออกมาจากมิติล่ะ อีกทั้งเกาซื่อหลินคนนี้เป็นยุวปัญญาชนจากเซี่ยงไฮ้ มาอยู่ที่นี่น่าจะประมาณสามปีได้แล้ว เธอไม่ค่อยสุงสิงกับใคร คุณน่าจะอยู่กับเธอได้ดี” ตงเหวินหมิงคิดว่านี่คือทางออกที่ดีแล้ว แต่ก็ไม่วายกำชับการวางตัวของอีกฝ่าย และบอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวจากบ้านเกาให้หยางเหมยจินฟังเท่าที่พอจะรู้เรื่องราว แต่สีหน้าของเธอก็ยังไม่ดีขึ้นเขาจึงพูดขึ้นอีก “แต่อย่างไรคุณก็มากินอาหารที่นี่ก็แล้วกัน ส่วนเรื่องที่ต้องทำงานในคอมมูนนั้น ผมจะคุยกับหัวหน้าให้เองว่าคุณไม่ต้องไปทำเพราะถือว่าบ้านตงมีผมทำงานอยู่แล้ว” เขาเข้าใจดีว่าอดีตของหยางเหมยจินนั้นไม่ใช่คนที่ทำงานแบบใช้งาน เรื่องในคอมมูนนั้นเขาจัดการให้เอง และคิดว่าการก่อสร้างบ้านหลังเล็กคงใช้เวลาไม่นาน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็พอจะมีเงินอยู่ เมื่อพบว่าชาวบ้านหลายคนเริ่มเห็นใจและเข้าข้างมารหัวใจ ซูหว่านเลยจงใจถามถึงเอกสารยืนยันตัวตนว่ามีจริงหรือไม่ “แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าหญิงสาวตรงหน้าพวกเรามีเอกสารยืนยันตัวตนจริง ๆ ไม่ใช่เพราะพี่เหวินหมิงหลงเสน่ห์ผู้หญิงคนนี้เลยพยายามปิดบังและแต่งเรื่องราวให้พวกเราฟังหรอกหรือ” เมื่อได้ยินคำถามเกี่ยวกับตัวเอง หยางเหมยจินจึงเดินกลับมาและตอบคำถามด้วยตัวเอง โดยมีตงเหวินเมิงเดินมายืนอยู่ข้างๆ “แม้ว่าฉันจะเป็นคนแปลกหน้าในหมู่บ้านนี้ และการที่พวกคุณหวาดระแวงฉันมันก็ไม่ผิด แต่พี่หมิงอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนทุกคนน่าจะรู้จักเขาดี และน่าจะรู้จักนิสัยเขาดีว่าเป็นอย่างไร คิดว่าพี่หมิงจะหลงเสน่ห์ฉันถึงขั้นที่ปั้นเรื่องให้ทุกคนฟังหรือคะ เช่นนั้นพวกคุณก็พาฉันส่งทางการแล้วให้เขาตรวจสอบได้เลย หากฉันเป็นโจรหรือผู้ร้าย ก็ดำเนินการตามเห็นสมควร แต่ถ้าฉันไม่ผิด ฉันจะฟ้องกลับทุกคนในที่นี่ ทุกคนจะยินยอมหรือเปล่าคะ” อาจจะเพราะเคยเป็นชายาอ๋องมาก่อน เมื่อพูดเรื่องนี้ทำให้หยางเหมยจินดูมีอำนาจบางอย่างขึ้นมา ทำให้ชาวบ้านหลายคนในที่นี่ถอยหลังด้วยความตกใจ แม้กระทั่งตัวของซูหว่านเอง เธอไม่คิดว่าท่าทางของผู้หญิงคนนี้จะดูน่าเกรงขามแบบนี้ “นั่นสิ แม่หนูเหมยจินพูดแบบนี้ถูกต้องที่สุด แม้ว่าเธอจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเรา ตาพ่อม่ายตงอยู่หมู่บ้านนี้มาร่วมสิบปี พวกเราจะไม่รู้นิสัยใจคอของเขาเลยหรืออย่างไร” เมื่อมีคนหนึ่งพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็มีอีกหลายคนที่เห็นด้วย “เอาเถอะ อย่างไรเรื่องนี้ฉันรับประกันให้เอง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเพราะพี่สาวคนนี้ ฉันจะรับผิดชอบเอง” เมื่อเกาซื่อหลินออกหน้ามารับประกันให้ บวกกับเสียงมากมายของชาวบ้านและความดีของบ้านตง ทำให้ทุกคนยินยอมให้หยางเหมยจินอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ต่อไปได้ แต่ตงเหวินหมิงยังไม่วางใจ เขาต้องรีบจัดการข้อแลกเปลี่ยนให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะเอกเอกสารยืนยันตัวตนของหยางเหมยจินมาให้เธอ หากกลุ่มทหารแดงที่ยังหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านรู้ข่าว เรื่องราวคงวุ่นวายกว่าวันนี้แน่ พอพูดอะไรไม่ได้ซูหว่านจึงสะบัดหน้าเดินจากไปทันที ปล่อยให้ทุกคนมองตามด้วยสายตางุนงง ก่อนจะทยอยเดินจากไป จนเหลือเพียงสามคนเท่านั้น “พี่สาวเหมยจิน พี่อยู่ที่นี่ไปก่อน ฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะ เย็นนี้ค่อยให้พี่ชายตงไปส่งที่บ้านของฉันก็แล้วกัน” เกาซื่อหลินพูดขึ้น แม้ในใจนั้นอยากจะพาหยางเหมยจินกลับบ้านของตนเวลานี้เลยก็ตาม “ขอบคุณมากนะครับ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคู่หมั้นผมในวันนี้ บุญคุณนี้ผมจะไม่ลืม อย่างไรก็ขอฝากอาเหมยไว้ชั่วคราวเท่านั้น” ตงเหวินหมิงหันมาขอบคุณที่อีกฝ่ายช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่เขาคาดไม่ถึง แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเกาซื่อหลิน ก็ทำให้หยางเหมยจินและตงเหวินหมิงต้องสบสายตากันด้วยความตกใจ “หากพี่สาวเหมยจินเป็นคู่หมั้นของพี่ชายตงจริง ๆ ฉันอาจจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง แต่พี่สาวเหมยจินกับพี่ชายตง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันไม่ใช่หรือคะ” เพียงแค่ประโยคนี้ ทำให้หยางเหมยจินตัดสินใจลากแขนของเกาซื่อหลินเข้าบ้านทันที โดยมีตงเหวินหมิงรีบปิดประตูและเดินตามเข้ามาด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD