Love’ s so hot รักรสเผ็ดร้อน
บทที่
6
สวรสตัดสินใจรับปากจะไปงานแทนรัดดา เพราะทนแรงขอร้องจากลายไทยไม่ไหว เฉินหมิงพอรู้ว่าสวรสตกลงจะมางานก็รีบหาเสื้อผ้า ช่างแต่งตัวให้โดยลืมไปว่าแม่นักจิตวิทยาสาวคนนี้ไม่ได้ชอบการกระทำแบบนี้นักแต่ก็ใช่ว่าเธอจะปฏิเสธอะไรได้ ชุดราตรียาวสีดำเงาวับจากแบรนด์ดังแขวนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่สวรสถูกช่างแต่งหน้าทำผมรุมทึ้งแต่งเติมเสริมความงาม ผิวพรรณที่ดีจากการบำรุงของเจ้าของเรือนร่างขับส่งให้ใบหน้านวลสวยสง่ายิ่งได้ช่างแต่งตัวระดับท็อปมาแต่งหน้าทำผมให้ก็ยิ่งสวยขึ้นไปอีก
“ไม่ต้องแต่งอะไรมากเลยนะคะเนี่ย เครื่องหน้าคุณน้องมันสวยลงตัวดีอยู่แล้ว”
ช่างแต่งหน้าสาวสองเอ่ยปากชม นี่ไม่ใช่การเยินยอแต่คือการพูดไปตามความจริง
“ขอบคุณนะคะ”
สวรสเพียงแค่เอ่ยบอกขอบคุณตามมารยาทของคนที่มีความนอบน้อม
“ผมก็สวย สงสัยจะดูแลอย่างดี”
ช่างทำผมว่าขึ้นบ้าง
“ไม่หรอกค่ะ ปกติรสไม่ได้ทำอะไรกับผมเลย”
ผ่านมานานพอสมควรทุกอย่างก็จบสิ้นลง ชุดราตรีถูกสวมใส่บนเรือนร่างบางระหง มันช่างลงตัวเหลือเดิน
“นี่เป็นเครื่องเพชรที่คุณเฉินหมิงส่งมาให้คุณน้องใส่ไปงานนะคะ”
ช่างแต่งหน้าเดินเข้ามาหาสวรสพร้อมกับกล่องเครื่องเพชรชุดใหญ่ ตากลมจ้องมองเพชรบนสร้อยตาลุกวาว ไม่ใช่เพราะความอยากได้ แต่ตกใจมากกว่าที่เขาเอาของมีค่าขนาดนี้มาให้เธอ ไม่ว่าจะให้ยืมหรือยกให้ก็ตาม เป็นตายยังไงเธอก็ไม่ยอมใส่แน่ เกิดไปทำของเขาหายต้องชดใช้เท่าไหร่กัน
“ไม่เป็นไรค่ะ รสมีสร้อยของตัวเอง เดี๋ยวใส่อันนั้นดีกว่า”
“ไม่ได้ค่ะ คุณเฉินหมิงกำชับมากว่ายังไงก็ต้องให้น้องใส่สร้อยเส้นนี้ให้ได้ ยอมใส่เถอะนะคะ ไม่งั้นพวกพี่ซวยกันหมดแน่”
ความเป็นคนขี้เกรงใจของสวรสพาให้เธอต้องใจอ่อนไปเสียทุกที สร้อยเพชรน้ำงามถูกสวมอยู่ที่คอยาวระหงทั้งที่เจ้าตัวไม่พอใจนัก หลังทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว รถที่เจ้าของงานจัดเตรียมไว้ก็แล่นมารับแขกสุดพิเศษแล้วไปที่งานทันที ทันทีที่มาถึงความตระการตาก็พาให้สวรสต้องตะลึงตั้งแต่ยังไม่ได้ลงรถ บ้านหลังโตราวปราสาทราชวังหลังกำแพงสูงถูกประดับตกแต่งด้วยไฟแสงสีสุดอลังการ
“เชิญครับ”
เสียงเชื้อเชิญจากนอกประตูพาให้หญิงสาวหลุดจากความสนใจการประดับประดาต่างๆ เฉินหมิงลงทุนออกมารอรับแขกคนพิเศษด้วยตัวเองถึงหน้าประตู
“ขอบคุณค่ะ จริงๆ คุณไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้นะคะ”
“ขนาดไหน”
“ก็ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม ไหนจะเพชรในคอฉันอีก ฉันเกรงใจ”
สวรสพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างชัดเจน คนฟังเองก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้นเช่นกัน
“ผมคงต้องพูดว่าขอโทษอีกครั้ง ผมแค่คิดว่ามันเหมาะกับคุณ”
เขารู้สึกท้าทายกับการเดาใจแม่สาวคนนี้เหลือเกิน ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งนี้ ยังไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาทำอะไรไปให้แล้วรู้สึกว่าเธอถูกใจ
ร่างสูงพาแขกคนพิเศษเดินเข้ามาในงานใจจริงอยากให้เธอเดินควงใจแทบขาด แต่สวรสนั้นเลือกที่จะเดินห่างจากเขาราวกับไม่ได้เดินมาด้วยกัน ภายในงานถูกตกแต่งด้วยดอกบัวนานาชนิด ทั้งไฟ ทั้งดอกบัวที่ถูกตั้ง หรืออ่างบัวที่ถูกสั่งให้นำมาตกแต่ง ทั้งสิ้นล้วนแล้วแต่จะเอาใจคนที่เดินตามหลังอยู่แต่แอบมองดูปฏิกิริยากลับรู้สึกว่าหล่อนเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรแม้แต่น้อย
"สวัสดีค่ะบอส"
ระหว่างที่บทสนทนาของเฉินหมิงและสวรสนั้นดูจะจูนกันยากเย็น ผู้หญิงคนหนึ่งได้เดินเข้ามาทักทายเจ้าของงานอย่างสนิทสนมทำให้เขาต้องละสายตาจากการชื่นชมความงดงามของหญิงสาวตรงหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับคนที่เข้ามาทักทาย
"อืม สวัสดีนิต้า"
เราตอบรับตามมารยาทและฟังดูห่างเหินจนอีกฝ่ายถึงกับหน้าเสีย สาวลูกครึ่งอดีตเลขาฯ ของเฉินหมิงจินแอบมองคนที่ยืนสง่าอยู่ข้างๆ ของเฉินหมิงจิน ออร่าความเป็นเหยื่อแผ่รัศมีให้แม่อดีตเลขาฯ มองออกอย่างชัดเจน ครั้งหนึ่งนิต้าเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา หลังถูกทารุณอย่างหนักก็ทนไม่ได้บวกกับเจ้าตัวเองก็เริ่มจะเบื่อ แม้ได้เงินจนเหลือกินเหลือใช้แต่ร่างกายก็แทบแหลกสลายอยู่ทุกทีที่ร่วมรักกัน
"นี่สวรสเพื่อนผม คุณรสนี่นิต้าพนักงานในบริษัทของผม"
การแนะนำตัวที่แสนห่างเหินยิ่งทำให้ คนที่เข้ามาทักทายเริ่มรู้ตัวว่าเขากำลังไล่เธออย่างอ้อมๆ
"งั้นนิต้าขอตัวนะคะ"
เฉินหมิงไม่แม้แต่จะหันไปรับรู้ว่าอีกฝ่ายล่ำลาแต่กลับหันมาให้ความสนใจกับคนตรงหน้าต่อ กลับเป็นสวรสเสียอีกที่มองตามหญิงสาวในชุดราตรีสีขาวเดินจากไป
"ทำไมคุณไม่สนใจเธอเลย"
"คุณเป็นนักจิตวิทยา แถมเป็นผู้หญิงอีก น่าจะมองออกนี่ว่าเขาเข้ามาทำไม"
สวรสรู้ดีว่าความหมายของเฉินหมิงคือ นิต้าเข้ามาอ่อย แต่ด้วยมารยาทก็ควรสนใจเธอสักนิด
"ผมมีอะไรอยากให้คุณดู พอมีเวลาสักนิดมั้ยครับ"
เฉินหมิงเอ่ยปากถามสวรสที่เริ่มจะทำหน้าเบื่อหน่าย โดยพื้นฐานเธอไม่ได้ชอบงานรื่นเริงแบบนี้อยู่แล้ว การที่ต้องทนอยู่นานๆ ก็รู้สึกเบื่อเป็นธรรมดา
"ไม่น่าถามนะคะ การที่คุณบงการฉันทุกอย่างแล้ว แค่เวลาไม่กี่นาทีอย่างที่คุณว่า คุณคงบังคับฉันได้สบาย"
คำพูดประชดประชันกลับทำให้คนฟังเผลอยิ้มออกมา เฉินหมิงผายมือเชิญให้สวรสเดินไปข้างหน้าแต่หล่อนกลับยืนเฉย
"คุณนำไปสิ ฉันจะรู้หรือไงว่าคุณจะพาฉันไปไหน"
"โอเค"
เฉินหมิงเดินนำหน้าไปก่อน จังหวะเดียวกันขณะที่กำลังจะก้าวขาตาม สวรสมองเห็นบางคนยืนมองอยู่ห่างๆ เขาคือลายไทยที่แฝงตัวเข้ามาเป็นพนักงานเสิร์ฟในงานเขาพยักหน้ารับเพื่อเป็นการบอกกับอีกฝ่ายว่าเขาอยู่ตรงนี้ เขาอยู่ใกล้ๆ และจับตาดูอยู่ไม่ต้องเป็นกังวล
สวรสเดินตามเฉินหมิงออกมาจนไกลผู้คน เสียงดนตรีและเสียงคนเจรจาพูดคุยกันเริ่มเบาลง ความมืดเริ่มปกคลุมเส้นทางที่ทั้งคู่เดินอยู่
"คุณจะพาฉันไปไหน"
เพราะเมื่อนึกถึงคดีฆ่าหั่นศพแล้วบรรยากาศนี้ก็พาให้ขนลุกซู่ขึ้นมา
"ใกล้ถึงแล้ว"
"ไม่ ถ้าคุณไม่บอกฉันว่าจะพาไปไหน ฉันจะกลับแล้ว"
เท้าเล็กๆ บนส้นสูงหยุดเดินและยืนยันว่าจะกลับด้วยความกลัวที่เพิ่งก่อตัวขึ้นในใจ ร่างสูงที่เดินนำมาหยุดเดินและหันมาหาคนเดินตามทันที
"ผมบอกแล้วไงว่าขอเวลาสักหน่อย ใกล้จะถึงแล้ว"
"คุณไม่ยอมบอกฉันว่าจะไปไหน เกิดคุณพาฉันไปฆ่าทิ้งขึ้นมาจะทำยังไง"
สวรสพลั้งปากพูดไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจ เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าเธอจะรังเกียจอาหารซาดิสม์ของเขาด้วย แต่มาตอนนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าท่าทางและอาการดูไม่เปิดใจของเธอนั้นคงมาจากสาเหตุนี้
"ผม...ผมขอโทษ ผมแค่มีของขวัญจะให้คุณดู ผมทำมันเพื่อคุณแต่มันอยู่ไกลจากบ้านหน่อย ไม่คิดว่าจะทำให้คุณกลัวผมขนาดนี้"
"ฉันขอโทษ คือ...ฉัน "
ไปเถอะ จะถึงแล้วจริงๆ "
เขาไม่ฟังสิ่งที่สวรสจะบอกแต่หมุนตัวแล้วเดินต่อไปด้วยความรู้สึกเจ็บจี้ดๆ กลางอกซ้ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อมาถึงจุดหมายสวรสก็ต้องตกตะลึงกับสระบัวขนาดใหญ่ที่ถูกประดับตกแต่งด้วยโคมกระดาษและตะเกียงนับร้อย ปากบางสีชมพูนะเรื่องอ้ากว้างก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือขึ้นมาปิด
"มันสวยมาก"
"ผมออกแบบเองเลยนะ"
เขายืนมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างพอใจ ดวงตากลมโตเปล่งประกายมองเห็นได้จากแสงสลัวของตะเกียงและโคม
"ชอบใช่มั้ย"
เฉินหมิงเอ่ยถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว สวรสพยักหน้ารับอย่างช้าๆ แต่ตายังคงจ้องไปในสระบัว
"มันสวยมาก ฉันรู้แค่ว่ามันสวยมาก"
"อยากขึ้นไปบนสะพานมั้ยล่ะ"
"ไปค่ะ"
สวรสตอบก่อนจะเดินขึ้นสะพานไม้ที่ทอดยาวตัดผ่านตัวสระโดยไม่รอคนที่พามา เขายิ้มเล็กๆ อย่างพอใจ ก่อนจะเดินตามร่างระหงขึ้นไปบนสะพาน
"คุณไม่กลัวผมฆ่าคุณแล้วหรือไง"
เขาแกล้งแซวทั้งที่ยังเจ็บอยู่ลึกๆ ไม่คิดว่าคนที่เขาติดว่าเธอเข้าใจสิ่งที่เขาเป็นมากที่สุดจะหวาดกลัวเขาได้ขนาดนั้น
"ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะคือฉัน...ก็แค่กลัว อยู่ดีดีคุณก็พาฉันเดินมาที่มืดๆ ห่างไกลจากผู้คน มันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา อีกอย่างฉันเป็นผู้หญิงนะ แล้วเรื่องที่คุณถามฉันว่ารังเกียจคุณหรือเปล่า ฉันไม่ได้รังเกียจคุณนะ อาการซาดิสม์ถึงจะจัดอยู่ในกลุ่มความผิดปกติแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรง หรือน่ารังเกียจอะไร"
"ช่างเถอะ แค่คุณบอกว่าไม่ได้รังเกียจผม ผมก็ดีใจมากแล้ว"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและแววตานุ่มละมุน ใครได้เผลอสบตาเป็นต้องเคลิ้มตามทุกคน สวรสเองก็ไม่ต่างกัน
"ขอบคุณนะคะ สำหรับของขวัญ...อันนี้"
"แค่คุณชอบผมก็มีความสุขมากแล้ว แต่..."
"คะ..."
"มันอาจจะฟังดูเร็วไปสักหน่อย แต่ผมชั่งใจดีแล้ว ผมอยากจะขอโอกาสทำความรู้จักกับคุณมากกว่านี้ จะได้หรือเปล่า"
ท่าทางสุภาพ กับบรรยากาศแบบนี้มันพาคนใจแข็งให้เขวได้โดยง่าย ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนช่องชำนาญทางด้านนี้ ผู้หญิงคนธรรมดาคนหนึ่งอย่างสวรสจะไม่เขวไปตามสิ่งที่เขากระทำได้อย่างไรไหว
"เราเพิ่งเจอกันแค่ 2 ครั้งเองนะคะ คุณแทบจะไม่รู้จักฉันด้วยซ้ำ"
"ตลอดเวลาที่ได้คุยกับคุณตั้งแต่ก่อนเราจะเจอกัน ผมเปลี่ยนไปมาก ผมชอบตัวเองตอนนั้นมากๆ และทั้งหมดมันก็มาจากคุณ"
"มันเป็นหน้าที่ค่ะ ถ้าคุณบำบัดกับคนอื่นเขาก็ต้องทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน"
"ผมถึงได้อยากรู้จักกับคุณแบบที่ไม่ใช่นักจิตวิทยาไง ผมชอบความคิด ทัศนคติ การวางตัว สิ่งที่คุณเป็นเท่าที่เราเจอกันมา 2 ครั้ง ถ้าคุณไม่รังเกียจผมจริงๆ ผมขอโอกาสเถอะนะครับ ผมชอบคุณจริงๆ "
คำพูดและแววตาของเขามันทำให้คนที่สร้างกำแพงให้ตัวเองอยากจะออกมานอกกำแพง ความประทับใจจากสิ่งที่เขาทำให้ หรืออะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เธอเคลิ้มไปกับเขาในตอนนั้น คนตัวสูงค่อยๆ เคลื่อนตัวขยับเข้าไปใกล้กับคนที่กำลังยืนงงกับสถานการณ์ ใบหน้าทั้งสองค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันโดยเป็นเฉินหมิงที่เป็นฝ่ายรุก
Rrrrrr~
เสียงเรียกเข้าของสวรสพาให้ทั้งสองตกใจจนต่างฝ่ายต่างถอยออกจากกัน
"ขอโทษนะคะ"
สวรสบอกกับเฉินหมิงก่อนจะก้มหน้าค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถือ
"สวัสดีค่ะ"
เพราะเบอร์ไม่ได้ขึ้นว่าใครเป็นคนโทรมาเจ้าตัวจึงรับด้วยความสุภาพ
"นี่ผมนะ"
"ใครคะ"
อยู่ๆ ปลายสายก็พูดราวกับรู้จักกันด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก
"ลายไทย ผมแอบดูคุณกับไอ้ฆาตกรอยู่ริมสระฝั่งที่คุณหันหน้ามานี่แหละ"
เมื่อได้ยินแบบนั้นสวรสก็เผลอชะเง้อมองไปในความมืดเพื่อหาอีกฝ่าย
"อย่ามองสิเดี๋ยวมันก็รู้ตัว"
"คุณเอาเบอร์ฉันมาจากไหน"
"รู้แค่ว่าผมมีเบอร์คุณก็แล้วกัน อยากจะเมมไว้ก็ได้นะ เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน แล้วที่ผมโทรไปเนี่ย แค่จะเตือนคุณว่าอย่าหลงกลคำพูดหวานๆ มันก็พูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนที่มันอยากได้เป็นเหยื่อนั่นแหละ"
"รู้แล้วน่า"
"รู้อะไร ผมเห็นนะว่าเมื่อกี้คุณ..."
"ไม่ต้องพูดแล้ว แค่นี้นะ!!
"เดี๋ยว...! "
"อะไรอีก"
"ถ้ามีอะไร ร้องดังๆ เลยนะ ผมจะออกไปช่วยคุณทันที"
"อืม"
แม้ว่าสะพานจะอยู่ห่างจากสระพอสมควร แต่เพราะแสงจากตะเกียงทำให้ลายไทยมองเห็นทุกอย่าง สายตาดุดันจ้องมองไปยังร่างบางที่ยืนอยู่กับคนที่เขามั่นใจเหลือเกินว่าเป็นฆาตกร ไม่รู้ความรู้สึกร้อนรนใจมันมาจากความเป็นห่วงเพื่อนร่วมงานหรือความหึงหวงกันแน่ ก่อนจะตัดสินใจบุกไปขอความช่วยเหลือจากเธอ เขาได้แอบติดตามผู้หญิงคนนี้มาสักระยะแล้ว ได้มองเห็นการใช้ชีวิตเรียบง่าย และได้มองเห็นเสน่ห์บางอย่างในตัวของเธอจนบางทีก็เผลอเคลิ้มไปกับรอยยิ้มนั้น
"ขอโทษด้วยนะคะ พอดีเพื่อนโทรมา"
"ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ต้องขอโทษกับเรื่องเมื่อกี้ด้วย"
"ไม่เป็นไรค่ะ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกก็แล้วกัน"
"แล้วเรื่องที่ผมอยากจะรู้จักคุณมากกว่านี้ล่ะ"
"เป็นเพื่อนกันดูค่ะ ถ้ารู้จักกันมากกว่านี้คุณอาจจะไม่ได้คิดแบบที่คิดอยู่ตอนนี้ก็ได้"
"ผมมั่นใจ ว่าผมคิดไม่ผิด และถึงรู้จักกันมากกว่านี้ผมก็คงชอบคุณมากกว่าเดิม"
"คุณเองก็ต้องทำให้ฉันรู้จักคุณมากกว่านี้เหมือนกัน"
สวรสอาศัยโอกาสนี้ตีสนิทกับเขาไปด้วยเลย ถ้าสนิทกันมากขึ้นโอกาสจะหาหลักฐานก็คงจะมากขึ้นไปด้วย แต่ก็ต้องเตือนตัวเองว่าอย่าหลงไปกับคำพูดที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาก่อนก็แล้วกัน
**ฝากคอมเม้นเป็นกำลัวใจให้นักเขียนหน่อยนะคะ ถ้าชอบก็อย่าลืมกดถูกใจ เป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ให้กับนักเขียนน้าาา**