พิชญนรีมาทำงานตามปกติ แต่ก็อดระแวงไม่ได้ ตั้งแต่เจอเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอคอยระวังตัวมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพียงกับนิพัฒน์เท่านั้น กับลูกค้าที่เข้ามาใกล้เธอก็คอยระวังเหมือนกัน เรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดคือส่วนใหญ่ที่มาจีบเพราะอยากได้เธอเป็น “เมียน้อย” เสียมากกว่า
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ไมรู้ทำไมเธอถึงได้มีเสน่ห์ต้องตาหนุ่มใหญ่นักนะ ทั้งที่เธอก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ยั่วยวนใคร ไม่ได้แต่งตัวเซ็กซี่ด้วย หากไม่ใช่ชุดฟอร์มของโรงแรมแล้ว เธอก็ใส่เพียงเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆ แค่นั้นเอง แถมยังไม่ค่อยไปเที่ยวกลางคืนที่ไหนกับใครอีก ถึงจะทำงานเป็นพนักงานต้อนรับ แต่พอจบหน้าที่แล้วเธอมักไม่ค่อยไปสรรสรรค์กับเพื่อนร่วมงานนัก นอกจากวาระพิเศษอย่างเลี้ยงวันเกิดอะไรแบบนั้น เธอชินกับชีวิตแบบนี้แล้วและไม่คิดว่าตัวเองมีปมด้อยอะไร หญิงสาวเลิกงานกะดึกในเวลา7.00น. หลังจากเปลี่ยนชุดฟอร์มพนักงานเป็นเสื้อผ้าฝ้ายกับกระโปรงยาวแล้ว เธอก็โบกมือลาเพื่อนที่เข้ามาทำหน้าที่แทน เดินออกไม่ไกลนักมีรถขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง เธอแวะซื้อสามไม้กับข้าวเหนียวหนึ่งห่อ เดินมาได้อีกสักระยะเจ้าหมาแม่ลูกอ่อนก็ร้องครางหงิงๆ ทำหน้าดีใจที่เห็พิชญนรี
“ไง หิวละซิ” เธอทักแม่หมามอมแมม มีลูกหมาตัวอ้วนสองตัวกระดิกหางไปมา
“นั่งก่อน รอก่อน เดี๋ยวทำให้กิน”
เธอสั่งและมันก็รู้ความนั่งรอ แต่เจ้าลูกหมาส่ายหางไปมาอยู่ไม่สุกเอาเสียเลย ใบหน้าสวยยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ มือเรียวรูดเอาเนื้อหมูปิ้งออกจากไม้แล้วบิเป็นชิ้นเล็กๆ กับข้าวเหนียวคำน้อยๆ ป้อนใส่ปากหมาทั้งสามที่ละตัว
“ค่อยๆกินน่ะ เดี๋ยวติดคอ”
เธอคุยกับเจ้าหมา แม่หมากินน้อยราวกับยอมให้ลูกตัวเองได้กินเยอะกว่า เห็นแล้วเธอก็อดคิดถึงแม่ตัวเองไม่ได้ เพราะตัวคนเดียวและไม่มีแฟนหรือคนรัก เธอไม่ได้สนใจวันหยุดวันพักของตัวเองนัก หากเพื่อนมาขอแลกเวรเธอก็เต็มใจ งานที่โรงแรมวันหยุดของคนอื่นคือวันที่ทำงานหนักของเธอ แต่เอาเถิด เธอยังมีเรี่ยวแรงอยู่ วันหยุด วันลาป่วย วันลาพักร้อน เธอก็ยังไม่ได้ใช้เสียที ทำงานมาสองปี เธอไม่ค่อยเจ็บป่วยอะไรนัก อย่างมากก็แค่เป็นหวัดหรือปวดหัวนิดๆหน่อยๆ
แต่หญิงสาวก็นึกถึงเมื่อหลายวันก่อน ที่เธอโทรศัพท์ไปบอกแม่ที่โอนเงินไปให้ แม่เปรยๆว่าอยากไปเที่ยวเมืองจีน
“พั้นซ์ไม่มีวันหยุดยาวๆบ้างหรือลูก”
“หนูเพิ่งทำงานได้ไม่นาน ยังไม่กล้าใช้วันหยุดยาวคะแม่”
“ลองปรึกษาหัวหน้าดูนะ แม่อยากไปเที่ยว อยากเห็นอะไรแปลกหูแปลกตาบ้าง”
“ค่ะแม่”
หญิงสาวเข้าใจแม่ตัวเองดี แม่เหนื่อยและจมอยู่กับความเศร้ามานาน แม่ควรมีชีวิตที่ได้ดีเหมือนตอนที่พ่อยังอยู่ แม่ทำงานหนักไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน เธอเองก็เหมือนกัน ห่วงแต่เรื่องเรียน อยากเรียนให้จบเร็วๆจะได้หางานทำแบ่งเบาภาระของแม่ กลายเป็นว่าเธอเองก็ไม่เคยไปเที่ยวไหนไกลๆ เหมือนกัน สองปีแล้วนะ น่าจะพอหาวันหยุดติดกันได้บ้าง
พิชญ์นรีมองดูแม่หมากับลูกกินข้าวเหนียวหมูปิ้งหมดเกลี้ยงแล้ว เจ้าลูกหมาทำหน้าเหมือนไม่อิ่ม หญิงสาวหัวเราะแล้วเอานิ้วจิ้มหน้าผากของลูกหมาเบาๆ
“กินจนพุงปลิ้นแล้ว ไม่ต้องมาอ้อนขอกินอีกเลย”
เธอลุกขึ้นยืน เปิดกระเป๋าแล้วหากระดาษทิชชู่เพื่อจะเช็ดมือของตัวเอง เสร็จแล้วส่งยิ้มให้ลูกหมา
“อย่าซนให้มันเยอะนัก แถวนี้รถยิ่งเยอะๆอยู่ด้วย” เธอสั่ง อยากจะเอาไปเลี้ยงแต่ก็ไม่มีที่เลี้ยง เธอเจอครอบครัวหมาน้อยที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง เธอเองก็คิดอยู่ว่าจะจัดการอย่างไรดี จะหาบ้านที่อบอุ่นให้หมาเหล่านี้ได้อย่างไร
หญิงสาวถอดหายใจเบาๆ หมุนตัวเดินออกมาอย่างใจลอย นั่นซิ ใครๆ ก็อยากมีบ้านที่อบอุ่นทั้งนั้น เธอเองก็อยากได้บ้านที่อบอุ่นกลับคืนมา ไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่ทิ้งแม่ไว้แบบนั้น คนพวกนั้นอันตรายหรือจริงใจกันแน่ ร่างเพรียวเดินห่างออกมาได้ไม่เท่าไหร่ รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็แล่นหลบรถติดขึ้นฟุตบาธ หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบ แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็ได้ยินหมาร้องเสียงหลง
เอ๋งงงงงงงง
พิชญ์นรีสะดุ้งเฮือก รีบหันกลับไปมอง ภาพที่เห็นคือแม่หมากระเด็นไปทางหนึ่ง รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นจอดแล้วทำท่าจะเตะลูกหมาที่สับสันจะวิ่งไปหาแม่ของตัวเอง
“หยุดนะ!” พิชญนรีตวาดเสียงดังแล้วรีบวิ่งไปดูแม่หมาทันที ไม่มีเลือดออก ไม่รู้ว่าบาดเจ็บตรงไหน เห็นเพียงร่างกายของแม่หมาสั่นระริก
“หลบไป!กูจะเตะมัน มันมาขวางรถกู! วิ่งตัดหน้ารถกูเกือบล้ม”
“นี่มันทางคนเดินไม่ใช่ทางรถวิ่ง!” พิชญ์นรีเถียงกลับด้วยความโกรธ
“อีบ้า!มึงเป็นเจ้าของหมาหรือไงวะ! กูจะได้เรียกค่าเสียหาย!”
“คุณขับรถบนทางเดินนี่ก็ผิดกฏหมายแล้วนะ นี่ขับชนแม่หมาไม่คิดจะมาดู ยังจะเตะลูกมันอีก บอกมาซิว่าแบบนี้ใครผิดกันแน่”
น้ำเสียงราบเรียบดังมาจากผู้ชายในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ เขาสวมแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าเจ้าของน้ำเสียงคิดอะไรอยู่ คนขับมอเตอร์ไซค์เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นเป้าสายตา มีบางคนหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิป มันเห็นท่าไม่ดีรีบขับรถออกไป พิชญนรีไม่มีเวลาสนใจคนตัวใหญ่ที่เข้ามาช่วยนัก เธอเป็นห่วงแม่หมาและลูกๆ ที่เข้ามาคลอเคลียไม่ยอมห่าง
“คุณเป็นเจ้าของหมาเหรอ”
“เปล่าคะ แต่...” หญิงสาวพยายามตั้งสติ
“เอาเถอะ รถผมจอดตรงนั้น ผมจะอุ้มแม่ไปหาหมอ คุณจะเอาตัวเล็กไปด้วยกันก็ได้นะ”
“ค่ะ ค่ะ”
พิชญ์นรีทำตามที่เขาบอก เขาอุ้มหมาแม่ลูกอ่อนง่ายดายและไม่กลัวเสื้อผ้าจะเปื้อนเปรอะ เธออุ้มเจ้าตัวเล็กวิ่งตาม เพราะเขาขายาวแค่เดินเร็วๆ ก็เท่ากับเธอวิ่งแล้ว เธอตกใจเล็กน้อยที่เห็นรถเก๋งคันหรูสีดำมันวาวจอดอยู่ เขากดรีโมทกุญแจแล้วพยักหน้าให้เธอเปิดประตู
“คุณนั่งเบาะหลังแล้วกัน จะได้ช่วยดูหมาๆด้วย”
“ค่ะ” หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็วแล้วเขาก็ส่งแม่หมาไว้บนตักเธอ เขาเดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับแล้วขับรถออกไปทันที
“มีโรงพยาบาลสัตว์อยู่ใกล้ๆ นี่ใช่ไหม”
“แค่ เลยสี่แยกไฟแดงหน้าไปประมาณห้าสิบเมตร”
“ครับ”
มือเรียวลูบหัวแม่หมาอย่างปลอบโยน เป็นห่วงหมาจรจนลืมไปว่าเธอนั่งอยู่ในรถของคนแปลกหน้า ไม่กี่นาทีต่อมารถก็จอดหน้าโรงพยาบาลสัตว์ เขาจอดรถแล้วก็มาอุ้มแม่หมาลงจากรถ เธอต้องอุ้มลูกหมาตัวอ้วนน่ารักในวงแขนสองตัวตามเขาเข้าไปด้วย
“หมอครับ หมาโดนรถชนครับ”
“ทางนี้เลยค่ะ”