ตอนที่ 3 ฝันจากอดีต

4847 Words
ยุคปัจจุบัน มหานครปักกิ่ง  คอนโดขนาดใหญ่สูงเสียดฟ้ามีความสูงถึง 59 ชั้นตั้งอยู่ในเขตเฉาหยาง ของมหานครปักกิ่งเมืองหลวงของประเทศจีนที่ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในทวีปเอเชียและกำลังก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลกที่แม้แต่ทางโลกตะวันตกยังต้องเฝ้าจับตามองการเจริญเติบโตชนิดที่ว่าก้าวกระโดดทางด้านเทคโนโลยีอันทันสมัยล้ำยุค เจริญก้าวหน้าไปอย่างมีมีที่สิ้นสุด ภายในห้องพักอาศัยขนาดสามห้องนอน มีสมาชิกเข้ามาอาศัยพักอยู่ด้วยกันสามคนล้วนเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นกำลังเรียนในระดับมหาวิทยาลัยด้วยกันทั้งสิ้น หญิงสาวทั้งสามเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ยังเรียนระดับประถมและเติบโตมาพร้อมกัน จนกระทั่งต่างแยกย้ายสอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแต่ก็อยู่ภายในมหานครปักกิ่งทั้งสิ้น หวังจิวเซียน หญิงสาวในวัย 20 ปีลูกสาวเพียงคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ทางการเงิน กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ทางด้านเศรษฐศาสตร์เพื่อรับช่วงต่อของกิจการตระกูลหวังครอบครัวเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีต้นๆ ของจีนที่มีทรัพย์สินมากมายหลายหมื่นล้าน เฉินเสวี่ยม่าน หญิงสาววัย 20 ปีเช่นกัน ครอบครัวเป็นนักการเมืองใหญ่เป็นบุตรสาวคนเล็กของตระกูลเฉิน กำลังศึกษาในคณะประวัติศาสตร์ มีความไฝ่ฝันอยากเป็นนักโบราณคดีระดับแนวหน้าของโลก และลี่มี่มี่หรือมี่มี่ หญิงสาวในวัย19 ปี เพิ่งจะกำพร้าพ่อแม่ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสองปีก่อน เธอศึกษาอยู่ภายในสถาบันศิลปะการแสดง วิชาเอกอุปรากรจีน และการจากไปของพ่อและแม่ทำให้ลี่มี่มี่เคว้งคว้างเป็นอย่างมาก หวังจิ้นเค่อนักธุรกิจใหญ่บิดาของหวังจิวเซียน เอ็นดูและสงสารเพื่อนสนิทของลูกสาวที่พ่อแม่จากไปอย่างกะทันหันเช่นนั้น เขาจึงรับลี่มี่มี่มาอุปการะและให้พำนักอยู่ด้วยกันกับหวังจิวเซียนในคอนโดหรูดังกล่าว สามสาวมารวมตัวกันซึ่งลี่มี่มี่คือตัวแม่ของแก๊งนางร้ายที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้ใคร เธอมีนิสัยประหยัดอดออมเพราะไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง พ่อและแม่ของเธอเป็นเพียงข้าราชการที่มีฐานะปานกลางเท่านั้น จะซื้ออะไรที่อยากได้จะต้องทำงานและอดออมเพื่อแลกเงินจนเพื่อนร่วมแก๊งตั้งฉายาให้ว่านางพญาหน้าเงิน เพราะเธอทำทุกอย่างที่จะได้เงินแต่เป็นงานสุจริตเท่านั้น แต่เงินที่ได้มานั้นลี่มี่มี่ ไม่ได้แสวงหาความสุขใส่ตัวเองแต่อย่างใด และเธอทำทุกอย่างเพื่อรักษาบ้านซึ่งพ่อและแม่ยังผ่อนกับธนาคารไม่หมดเพื่อจะได้มีสิทธิครอบครองอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมายของประเทศ ด้วยเหตุนี้ลี่มี่มี่จึงไม่รีรอที่จะหาขวยขวายหาเงินเพื่อผ่อนบ้านต่อจากพ่อและแม่แม้ว่าจะยังเรียนอยู่ก็ตาม ด้วยสถาบันศิลปะการแสดงที่ลี่มี่มี่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ เธอเลือกเรียนวิชาเอกอุปรากรจีนซึ่งทางรัฐบาลให้การสนับสนุนในส่วนการแสดงงิ้วเป็นอันดับแรก เป็นศิลปะวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าและยกให้เป็นเอกลักษณ์ของแผ่นดินจีน งิ้วปักกิ่งจัดได้ว่าดีที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ จะทำการคัดเลือกนักแสดงจากสถาบันการศึกษาที่มีความสามารถนำมาร่วมแสดงอยู่ในคณะงิ้วปักกิ่ง ซึ่งมีคิวการแสดงแน่นตลอดทั้งปีสร้างรายได้ให้แก่มี่มี่เป็นอย่างมาก และลี่มี่มี่เป็นหนึ่งในนักแสดงนำของคณะงิ้วปักกิ่ง รับบทเด่นเป็นตัวละครหญิงแต่ส่วนใหญ่จะเล่นบทนางเอกบู้ด้วยความสูงที่ 170 เซนติเมตรของเธอและดวงตากลมโตสวยเฉี่ยวแต่เวลามองใครจะมองอย่างดุดัน จิกแรง ร่างระหงของลี่มี่มี่เวลาร่ายรำพร้อมถืออาวุธในมืออ่อนช้อยสวยงามมากจึงทำให้รับบทบาทนั้นเสียเป็นส่วนใหญ่ นานๆ จะรับบทนางเอกสาวสักครั้ง อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการแต่งหน้าเมคอัพเป็นอย่างมาก นอกจากจะแต่งหน้าแสดงงิ้วของตัวเองได้อย่างสวยงามและเพื่อนๆร่วมคณะด้วยแล้ว ยังสามารถแปลงโฉมตัวเองได้หลากหลายนับหลายพันหน้าเลยทีเดียว ด้วยเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่เอื้ออำนวยและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้ลี่มี่มี่แสดงฝีมือการแต่งหน้าที่หลากหลายลงในสื่อโซเชียลจนมีผู้ติดตามหลายล้านคน สร้างรายได้ให้เธอเป็นกอบกำตั้งแต่อายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น และนั่นทำให้หญิงสาวสามารถผ่อนบ้านของพ่อและแม่หมดสิ้น ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปีนับตั้งแต่จากไป ภายในห้องนอนของลี่มี่มี่เปิดหน้าต่างเพื่อรับลมในยามค่ำคืนและให้อากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวกเนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน อากาศในมหานครปักกิ่งยุคปัจจุบันจะอบอ้าวเหลือจะกล่าวเลยทีเดียว แม้จะมีเครื่องปรับอากาศภายในห้องก็ตามแต่เนื่องจากนางเป็นคนขี้งกจึงเลือกที่จะเปิดหน้าต่างรับลมแทนที่จะเปิดแอร์ที่กินค่าไฟอย่างมหาศาล ร่างระหงของหญิงสาวนอนหงายอยู่บนเตียงกว้างแต่เพียงลำพัง เส้นผมสีดำสนิทยาวสยายกระจายเต็มหมอนหนุน เปลือกตาที่กำลังปิดสนิทอยู่ในขณะนั้นเริ่มกลอกกลิ้งไปมา เหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้างามและเสียงพึมพำดังออกมาอย่างแผ่วเบา “เจินเจินเงียบไว้! อย่ากล่าวสิ่งใด..อย่า...อย่า”เสียงพึมพำทวนย้ำกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ซือหม่าเยี่ยคัง! อย่าเผาข้า! อย่าฆ่าข้า! อย่า!...ช่วยด้วย!!!”เสียงร้องเรียกให้ช่วยดังก้องภายในห้องนอนดังกล่าวพร้อมเสียงของฝีเท้าของคนกำลังวิ่งมาทางห้องของเธอก่อนจะเปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว “มี่มี่!!!”หวังจิวเซียนและเฉินเสวี่ยม่านต่างพากันร้องเรียกชื่อเล่นของเพื่อนรักออกมาพร้อมกัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินแต่เสียงเรียกดังกล่าวแต่อย่างใด ร่างของสองสาวรีบตรงเข้าไปหาเพื่อนรักของพวกเธออย่างรีบร้อน ด้วยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือเช่นนี้จากเพื่อนสาวจนดังก้อง ได้ยินไปจนถึงห้องนอนของบรรดาเพื่อนๆ “มี่มี่ตื่น! มี่มี่ตื่นสิมี่มี่!!!”ทั้งสองพยายามส่งเสียงเรียกเพื่อนพร้อมเขย่าตัวไปมาอย่างแรง พรึบ! เปลือกตาที่ปิดสนิทพลันเปิดขึ้นทันใดด้วยแรงเขย่าของเพื่อนรักทั้งสองที่ช่วยกันปลุกให้เธอตื่นจากฝันร้าย พรืดดด!!! ลี่มี่มี่ลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของหวังจิวเซียนและเฉินเสวี่ยม่านต่างพากันนั่งมองหน้าเพื่อนสาวด้วยความรู้สึกหวาดกลัวกัไปบดวงตากลมโตที่แรงกล้าและเบิกกว้างอยู่ในขณะนั้น “มะ...มี่..มี่มี่...เธอเป็นอะไรฝันร้ายเหรอ...มะ..มี่มี่ทำไมมองพวกเราสองคนแบบนี้จำเสี่ยวเซียนกับเสี่ยวม่านไม่ได้แล้วอย่างนั้นเหรอ”หวังจิวเซียนถามเพื่อนเสียงตะกุกตะกัก ควับ! ดวงตาคมเฉี่ยวหันกลับไปมองเพื่อนสาวทั้งสองทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ว้ายยย! ตามี่มี่น่ากลัวเป็นบ้าเลยเสี่ยวเซียน”เฉินเสวี่ยม่านไม่พูดเปล่า ร่างค่อนข้างไปทางผอมกระโดดเข้าไปหลบอยู่ทางด้านหลังของหวังจิวเซียนด้วยความหวาดกลัวต่อสายตาของเพื่อนรักก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหลังกลับพร้อมโผเข้ากอดเพื่อนซุกตัวด้วยความกลัวเช่นกัน เมื่อลี่มี่มี่ยังคงนั่งจ้องหน้าเพื่อนสาวทั้งสองเขม็งราวกับถูกผีเข้าก็ไม่ปาน หากแต่เพียงครู่ดวงตาที่แข็งกร้าวและดุดันค่อยๆ อ่อนลงทันใดเมื่อหญิงสาวเริ่มรู้สึกตัว ดวงตาคู่สวยกลับมาเป็นลี่มี่มี่คนเดิมของเพื่อนๆ อีกครั้ง “เสี่ยวเซียน! เสี่ยวม่าน”เสียงเรียกเพื่อนสนิททั้งสองดังออกมาแผ่วเบา สองสาวแก๊งนางร้ายที่กำลังกอดกันแน่นด้วยความกลัวอยู่ในขณะนั้น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าลี่มี่มี่พร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของเธอทั้งสอง ครั้นเห็นดวงตาคมเฉี่ยวของเพื่อนรักมีแต่แววตาอ่อนโยนเช่นนั้น “มี่มี่”เสียงร้องเรียกชื่อเพื่อนรักพร้อมรอยยิ้มกว้างปรากฏออกมาก่อนจะรีบโผเข้าไปหา “มี่มี่ตัวจริงกลับมาแล้ว...เมื่อกี้เหมือนกับไม่ใช่เธอเลยนะราวกับเป็นคนละคนเลย”เฉินเสวี่ยม่านพูดพร้อมยกมือขึ้นตบแก้มนวลของเพื่อนสาวสลับไปมาทั้งสองข้าง “ใช่! ตาของเธอน่ากลัวมากมองพวกเราสองคนอย่างกับว่าถ้าฆ่าได้คงตายแน่ๆ เลยนะ ตกลงเป็นอะไร! หรือว่าฝันร้ายเห็นร้องเรียกชื่อใครก็ไม่รู้...อะไรคังๆ นี่แหละ”หวังจิวเซียนถามกลับไปด้วยความอยากรู้ ลี่มี่มี่ได้แต่ส่งยิ้มให้กับเพื่อนสนิททั้งสองของเธอก่อนจะยกมือเสยผมยาวสีดำสนิทที่ตกลงมาปรกหน้าอยู่ในขณะนั้น ดวงตาสีอ่อนคู่สวยที่แข็งกร้าวและดุดันเมื่อครู่ที่ผ่านมาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดแต่กลับแฝงเร้นความเศร้าเอาไว้มากมาย “ฉันฝันร้ายแต่มันเหมือนจริงมากเลยเสี่ยวเซียน เสี่ยวม่าน และฝันเห็นมาแล้วหลายครั้งที่น่าแปลกก็คือ ช่วงสี่ห้าเดือนมานี้จะฝันเห็นจวนขุนนางเก่าในสมัยโบราณ เต็มไปด้วยศพคนถูกฆ่าล้างตระกูลไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคน แรกๆ จะฝันเห็นภาพเลือนรางหลังจากนั้นเริ่มชัดขึ้น จนกระทั่งวันนี้ฉันฝันเห็นเด็กผู้หญิงสองคนถูกไฟคลอกตายในบ่อน้ำร้างของจวน ไฟลุกท่วมตัวเต็มไปหมดเลย”ลี่มี่มี่เล่าความฝันให้กับเพื่อนสนิทของเธอ ในขณะที่สองสาวเมื่อได้ยินความฝันดังกล่าวของลี่มี่มี่ต่างพากันหันกลับมามองหน้ากัน “ฝันร้ายจริงๆ ด้วย”สองสาวต่างพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “มันก็แค่ความฝันมี่มี่ไม่ใช่ความจริงเสียหน่อย”เสี่ยวม่านปลอบเพื่อนของเธอกลับไป “จะเป็นไปได้ไหมว่าเธอกำลังท่องบทละครใหม่ที่กำลังจะขึ้นแสดงครั้งล่าสุด รอบนี้เธอได้เล่นเป็นนางเอกไม่ใช่เหรอมี่มี่ ต้องท่องบทและร้องเยอะมากเลยไม่ใช่เหรอ บางทีเป็นเพราะซ้อมหนักก็เลยเก็บเอาไปฝันก็อาจเป็นไปได้นะ”หวังจิวเซียนบอกเพื่อนของเธอ “เรื่องความฝันในหอแดงนี้นะเหรอที่จะทำให้ฉันเก็บเอามาฝันร้าย ฉันแสดงเรื่องนี้มาไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้วอีกอย่างเป็นเรื่องราวความรักในยุคราชวงศ์ชิงแต่ความฝันของฉันเกิดอยู่ในยุคหมิงของจักรพรรดิหย่งเล่อนะพวกเธอ ในความฝันเหมือนฉันกำลังเห็นตัวเองถูกไฟคลอกตายพร้อมกับน้องสาวเลย มันเจ็บปวดทรมานและโคตรแค้นจนบอกไม่ถูก”ลี่มี่มี่อธิบายให้เพื่อนของเธอฟัง อ้าว!!! สองสาวต่างเอ่ยออกมาพร้อมกันเมื่อได้ยินเช่นนั้นพร้อมเสียงของหวังจิวเซียนเอ่ยขึ้น “แล้วทำไมถึงคิดว่าคนที่ถูกไฟคลอกเป็นตัวเธอด้วยละมี่มี่ คิดไปเองหรือเปล่าเป็นไปไม่ได้หรอก”หญิงสาวทักท้วงเพื่อนด้วยเพราะเห็นต่างไปจากเพื่อนรักพร้อมเสียงของเฉินเสวี่ยม่านดังขึ้น “หรือว่าเธอระลึกชาติได้อย่างนั้นเหรอมี่มี่”หญิงสาวพูดพลางมองหน้าเพื่อนรักคล้ายรอคำตอบ ใบหน้าสวยคมเฉี่ยวของลี่มี่มี่ส่ายไปมาติดต่อกันเมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้น “ไม่รู้สิ! มันบอกไม่ถูกแต่ความรู้สึกบอกว่า กำลังมองตัวเองถูกไฟคลอกตายและเด็กที่อยู่ด้วยกันคือน้องสาวคนละแม่ของฉันชื่อเจินเจิน”เธออธิบายกลับไปพลางจ้องหน้าเพื่อนสนิททั้งสองเมื่อสายตาของคนทั้งคู่ต่างพากันมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด “มี่มี่...นี่เธอรู้ขนาดนี้เลยเหรอแม้แต่ชื่อยังบอกออกมาได้ ทำไมชื่อจริงไม่รู้ไปเลยเล่ามีแต่ชื่อเล่นแบบนี้ใครๆ ก็พูดลอยๆ ขึ้นมาได้ทั้งนั้นแหละ”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนรักก่อนจะได้ยินลี่มี่มี่พูดสวนกลับมาทันที “น้องสาวของฉันชื่อเจินเจิน ชื่อจริงหลินซูเจิน ส่วนฉันชื่อหลินลี่ชาหรือช่าช่า จวนขุนนางโบราณที่ฉันฝันเห็นอยู่ในยุคของราชวงศ์หมิงคือจวนตระกูลหลินของเสนาบดีหลินเหยียนเจิ้ง เป็นพ่อของฉันแม่ฉันคือฮูหยินเซียวฉิงเซียง และไอ้คนที่ลงมือฆ่าฉันกับน้องก็คือซือหม่าเยี่ยคัง!!”ชื่อสุดท้ายลี่มี่มี่พูดกระแทกเสียงกร้าว สองสาวเพื่อนซี้พากันนั่งงงงันไปตามๆ กันเมื่อได้ยินลี่มี่มี่บอกรายละเอียดกลับมาได้อย่างชัดเจนเช่นนั้น “ว้าว! พ่นออกเป็นชุดเลยเสี่ยวม่าน ได้ยินเหมือนกันไหม”หวังจิวเซียนพูดพลางใช้ศอกสะกิดเพื่อน ในขณะที่เฉินเสวี่ยม่านพยักหน้าขึ้นลงเป็นการยอมรับ “ได้ยินแล้วไม่ต้องสะกิดเสี่ยวเซียน...ว่าแต่เธอแน่ใจนะมี่มี่ว่าไอ้ที่บอกมาเมื่อกี้คือความฝันเพราะคนที่กำลังพูดถึงมีตัวตนจริงๆ ในยุคแผ่นดินต้าหมิงนะเธอ”เฉินเสวี่ยม่านถามเพื่อนกลับไป ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นลี่มี่มี่มองหน้าเพื่อนสาวของเธอเขม็งจะว่าดีใจก็ไม่ใช่จะว่าเสียใจหรือก็เปล่า “เสี่ยวม่านชื่อของคนที่บอกเมื่อกี้มีตัวตน ในยุคราชวงศ์หมิงจริงๆ นะเหรอ”ลี่มี่มี่ถามกลับไปเพื่อให้แน่ใจ “เอ้า! ก็จริงอะดิ...จะไปหลอกทำไมแต่มันก็ไม่ทั้งหมดหรอกนะเพราะมีแค่หลินเหยียนเจิ้งกับซือหม่าเยี่ยคังเท่านั้นที่เอ่ยถึงในบันทึกประวัติศาสตร์ของยุคฮ่องเต้หย่งเล่อ ลืมไปแล้วเหรอว่าตัวฉันคือว่าที่นักโบราณคดีชื่อก้องโลกในอนาคตนะยะเธอ”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนรักกลับไป “โอเคแม่นักโบราณคดีใหญ่อย่ามัวแต่เพ้ออยู่เลย เล่าให้ฟังหน่อยจะได้ไหมว่าคนที่ชื่อหลินเหยียนเจิ้งเป็นใคร โดยเฉพาะคนที่ชื่อซือหม่าเยี่ยคัง ฉันอยากรู้ว่าไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร ถึงได้ใจโหดลงมือฆ่าล้างตระกูลหลินจนล้มตายหมดแบบนั้น”ลี่มี่มี่พูดเสียงกร้าวเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด “เป็นเอามากเลยนะมี่มี่ทำไมถึงอยากรู้นักถามจริงเถอะ”หวังจิวเซียนถามกลับไป “ก็อยากรู้!”ลี่มี่มี่ตอบสวนกลับไปโดยไม่หันกลับมามองเพื่อนรักอีกคนแม้แต่น้อย หวังจิวเซียนถึงกับนิ่งงันไปทันทีเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนสนิทแปรเปลี่ยนกลับไปกลับมาแบบนั้น “มี่มี่มันท่องบทละครผิดเรื่องหรือเปล่า ตกลงเล่นเรื่องความฝันในหอแดงหรือสามก๊กกันแน่วะ ทำราวกับว่าเป็นจอมยุทธ์หญิงจะออกไปทำศึกร่วมกับโจโฉอะไรแบบนั้นเลย”หวังจิวเซียนคิดในใจพลางยกศอกสะกิดเฉินเสวี่ยม่านท่ามกลางสายตาของลี่มี่มี่ “ตกลงจะเล่าไม่เล่าเสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่พูดพลางจ้องหน้าเพื่อนเขม็งเล่นเอาอีกฝ่ายกลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ทัน “เออ...กำลังจะเล่าเดี๋ยวนี้แหละใจร้อนไปได้”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางนั่งคิดทบทวนความรู้ที่เธอศึกษาร่ำเรียนและบันทึกประวัติศาสตร์มากมายพร้อมเอ่ยขึ้น “คนที่ชื่อหลินเหยียนเจิ้ง ตามบันทึกบอกไว้ว่าเป็นหนึ่งในเสนาบดีใหญ่ที่ถูกฮ่องเต้หย่งเล่อมีรับสั่งให้ประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร โทษฐานความผิดไม่จงรักภักดีต่อพระองค์เพราะหลินเหยียนเจิ้งเป็นหนึ่งในสภาขุนนางของยุคฮ่องเต้เจี้ยนเหวินซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์ที่สองของราชวงศ์หมิง ชีวิตของผู้คนตระกูลหลินถูกประหารชีวิตตามพระราชโองการทั้งหมด 228 ชีวิต ถ้านับรวมเก้าชั่วโคตรก็หลายร้อยคนหรืออาจจะถึงพันคนเลยเชียวละ แต่ก็มีอีกบันทึกบอกว่าตระกูลหลินแท้จริงแล้วถูกใส่ร้าย” “ถูกใส่ร้ายอย่างนั้นเหรอ!”ลี่มี่มี่พูดสวนขึ้นมาทันที อือ! เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางพยักหน้าขึ้นลงพลางอธิบาย “แต่บันทึกนี้ไม่ได้ระบุในพงศาวดารหลวงเป็นเพียงบันทึกข้อสันนิษฐานของกลุ่มขุนนางที่มองว่าแท้จริงแล้วหลินเหยียนเจิ้งถูกใส่ร้ายจากศัตรูคู่อาฆาต อาศัยเหตุการณ์และความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงของฮ่องเต้หย่งเล่อที่มีต่อขุนนางของอดีตฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน เหล่าขุนนางมองว่าหย่งเล่อได้ราชบัลลังก์มาด้วยวิธีการแย่งชิงจากหลานตัวเอง ด้วยเหตุนี้ขุนนางที่ถวายความจงรักภักดีกับอดีตฮ่องเต้เจี้ยนเหวินจึงมีรับสั่งนำมาประหารชีวิตเป็นจำนวนมาก เหล่าขุนนาง ครอบครัว รวมไปถึงเครือญาติลามไปถึงลูกศิษย์ถูกประหารไม่เหลือ ล้มตายนับหมื่นชีวิตเลย”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางยื่นปากออกมา “ดีนะที่พวกเราเกิดในยุคนี้ขืนได้ไปเกิดยุคนั้นประสาทได้กินตายกันพอดี ขุนนางหรือพวกมีอิทธิพลคหบดีผู้ร่ำรวยผิดปกติที่ร่วมมือกับขุนนางฉ้อฉล จะถูกองครักษ์เสื้อแพรซึ่งได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น มีอำนาจล้นเหลือสามารถไล่ล่า จับกุม กักขัง สืบสวนสอบสวนและทรมานจนถึงลงโทษอย่างโหดเหี้ยมที่ท้ายสุดก็คือความตายที่จะได้รับอย่างทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว หน่วยองครักษ์เสื้อแพรทำหน้าที่นอกจากถวายอารักขาองค์จักรพรรดิแล้ว ยังมีหน้าที่คล้ายตำรวจลับว่ากันว่าเป็นหน่วยงานที่โหดเหี้ยมที่สุดเลย เพียงแค่ได้ยินชื่อชาวบ้านก็นึกว่าพญายมมาเยือนหน้าบ้านเลยนะเธอ” “ขนาดนั้นเลยเหรอ”ลี่มี่มี่กล่าวเสียงเบา คำกล่าวของเฉินเสวี่ยม่านทำให้ภาพของเด็กน้อยสองคนที่นั่งกอดกันอยู่ในบ่อน้ำร้างที่แห้งเหือดเต็มไปด้วยพระเพลิงเผาผลาญลุกโชนท่วมกาย เปลวเพลิงแรงกล้าลุกท่วมแผดเผากายจนมอดไหม้ดำเป็นตอตะโกผุดขึ้นมาให้ลี่มี่มี่ให้เห็นอีกครั้ง พรึบ! เปลือกตาปิดลงโดยพลันเพื่อสลัดภาพที่เห็นในความฝันออกไปทันทีก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง “แล้วคนที่ชื่อซือหม่าเยี่ยคัง เขาเป็นใครที่ถูกบันทึกเอาไว้เสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่ถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ซือหม่าเยี่ยคังนะเหรอ”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางกลอกตาไปมาเพื่อนึกถึงบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เคยได้อ่าน “ผู้ชายคนนี้ตามบันทึกเขาคือหัวหน้าหน่วยตงฉ่างขององครักษ์เสื้อแพร ในยุคที่ฮ่องเต้หย่งเล่อเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ตอนเกิดเหตุการณ์กวาดล้างและประหารชีวิตเหล่าขุนนางครั้งใหญ่ ยังเป็นขุนนางขั้น 4 ระดับผู้ช่วยบัญชาการ หลังจากที่ผู้บัญชาการคนเก่าตายก็ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ตามบันทึกบอกว่าเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตมาก คดีทุจริตของพวกขุนนางและกลุ่มคนที่ร่วมมือกันถ้าหากถึงมือคนผู้นี้เมื่อไรละก็จุดจบสุดท้ายนั้นก็คือความตายทุกคน รู้สึกจะได้รับฉายาว่า “มารอำมหิตแห่งวังหลวง”เฉินเสวี่ยม่านอธิบายให้เพื่อนฟังพร้อมเสียงของหวังจิวเซียนดังแทรกขึ้น “แบบนี้อีตานี่ก็สองมือเปื้อนเลือดนะสิฆ่าคนนับหมื่นชีวิต ไม่มีใครโกรธแค้นบ้างเหรอ” “จะเหลือเหรอแต่เธอคิดว่าใครจะกล้าท้าทายอำนาจขององครักษ์เสื้อแพร หน่วยนี้ถูกฝึกมาให้ไร้สิ้นความเมตตาสงสารผู้ใดทั้งสิ้น เลือดเย็นเป็นที่สุดแต่หัวใจหนักแน่น มั่นคงดั่งหินผาที่สุดเหมือนกัน เมื่อได้ถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าองค์จักรพรรดิแล้ว จะจงรักภักดีเพียงแค่ฮ่องเต้เท่านั้น ใครก็ไม่สามารถออกคำสั่งและมีอำนาจเหนือกว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนี้ไปได้เลยนะเพราะได้รับอำนาจจากฮ่องเต้โดยตรง”เฉินเสวี่ยม่านอธิบายกลับไป “โหดแบบนี้คงไม่มีผู้หญิงบ้าที่ไหนอยากจะมาเป็นเมียแน่ ถ้าวันไหนเกิดพี่แกไม่พอใจขึ้นมาคงจะลากไปขังและทรมานจนตาย เวลาตายก็คงไม่มีใครรู้ก็เล่นใหญ่โตคับบ้านเมืองเสียขนาดนั้นใช่ไหมเสี่ยวม่าน จุดจบไอ้หมอนี่ก็คือต้องแก่ตายไร้ลูกเมียสืบทอดตระกูล ตอนตายก็โดดเดี่ยวไม่มีใครเหลียวแล ใช่หรือเปล่า”หวังจิวซียนถามเพื่อนรักกลับไป “ไม่รู้สิ”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางส่ายหน้าไปมาพร้อมเอ่ยขึ้น “บันทึกประวัติศาสตร์นะยะเธอ ไม่ใช่บันทึกชีวิตประจำวันจะได้ล้วงลึกรายละเอียดของใครได้ พวกเราในยุคนี้ไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์จริงๆ ของผู้คนในอดีตแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ อาจจะไม่ใช่ตามบันทึกก็ได้ หรือเหตุการณ์จริงอาจจะเลวร้ายกว่านี้ก็อาจเป็นได้ หรืออาจจะมีการปรับแต่งเขียนให้ออกมาดูดีตรงกันข้ามกับเหตุการณ์จริงพวกเราก็ไม่รู้หรอก แต่ก็ดีแล้วละที่พวกเราเกิดมาในยุคที่ผู้หญิงมีอิสระมากกว่ายุคอดีต พวกเธอก็รู้ว่ารากเหง้าของประเทศเรานับถือผู้ชายเป็นใหญ่ตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว” ลี่มี่มี่นั่งนิ่งเงียบฟังเพื่อนสนิทของเธอถกเถียงกันไปมาอยู่ตรงหน้าเช่นนั้น โดยไม่ปริปากถามอะไรทั้งสิ้นจนสองสาวเพื่อนซี้ต่างพากันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนจนอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ว่าแต่มี่มี่เธอจะอยากรู้ไปทำไม ในเมื่อรู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะเป็นเหตุการณ์ของผู้คนในยุคอดีตที่ผ่านมานานหกร้อยกว่าปีแล้วนะ จะว่าไปมันก็แค่ความฝันเท่านั้นมีอะไรบ่งบอกได้เหรอว่าคนในฝันเป็นตัวเธอมันยืนยันอะไรไม่ได้เลยนะมี่มี่”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนรักกลับไป “แต่ความรู้สึกของฉันบอกว่าฝันนี้คือความทุกข์ทรมานที่ได้รับก่อนตาย ตระกูลหลินถูกประหารเก้าชั่วโคตรเพียงแค่จงรักภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ และถ้าตายเพราะถูกใส่ร้ายมันยุติธรรมแล้วเหรอสำหรับพวกเขาเสี่ยวม่าน”ลี่มี่มี่ย้อนถามกลับไป “โอ้ยตาย! ไปกันใหญ่แล้วมี่มี่”เสียงสองสาวต่างพูดออกมาพร้อมกัน โดยเฉพาะเฉินเสวี่ยม่านถึงกับยกมือกุมขมับทั้งสองข้าง “เธอต้องแยกแยะออกให้ได้นะมี่มี่ว่าตัวเองเกิดในยุคไหน ตอนนี้เธอคือคนที่เกิดในศตวรรษที่ 21 แต่เรื่องราวพวกนั้นเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 14 มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ เรื่องภพชาติหน้าหรือชาติอดีตคือความเชื่อ ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่วิทยาศาสตร์เองยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกนะเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางตรงเข้าจับสองแขนเรียวของเพื่อนรัก “แม่นางเอกงิ้วชื่อดังที่รัก ยูทูบเบอร์ชื่อก้องและเจ้าของช่องบิวตี้บล็อกเกอร์ที่มีคนติดตามหลายล้านคนมีเอฟซีที่ชื่นชมไปทั่วโลกอย่างเธออย่ากลายเป็นคนงมงายอะไรแบบนี้ได้ไหม ตื่นจากความฝันเสียทีมี่มี่!!! ตื่นได้แล้ว!!!” เฉินเสวี่ยม่านพูดพลางเขย่าร่างของเพื่อนรักไปมาอย่างแรงเพื่อให้รู้สึกตัว จนหวังจิวเซียนต้องรีบเข้ามาห้ามปราม “เฮ้ย! เฮ้ย! เสี่ยวม่านพอได้แล้วเธอ ให้เวลามี่มี่มันหน่อยสิ เรื่องแบบนี้ก็ต้องใช้เวลาหน่อย ก็แม่คุณเล่นฝันเห็นเสียตั้งหลายครั้งขนาดนั้น มันย่อมติดความในความรู้สึกและความทรงจำกันบ้างไม่มากก็น้อยบ้างแหละ เอาแบบนี้ดีไหมพรุ่งนี้พวกเราพามี่มี่ไปเที่ยวพักผ่อนว่างกันหมดไม่ใช่เหรอ ดีไหมเสี่ยวม่าน มี่มี่”หวังจิวเซียนถามเพื่อนรักทั้งสอง อือ! สองสาวต่างส่งเสียงในลำคอออกมาพร้อมกันเป็นการยอมรับที่หวังจิวเซียนบอกท่ามกลางความดีใจของคนต้นคิด “ดีมากเลยจ๊ะ นานๆ แก๊งนางร้ายของพวกเราจะได้รวมตัวเดินนวยนาดเฉิดฉายให้พวกหนุ่มๆ พากันน้ำลายหกเล่นกันเสียบ้าง ฉันก็มัวแต่ยุ่งเรื่องเรียนและช่วยคุณพ่อทำงานที่บริษัท เสี่ยวม่านก็ยุ่งขุดแต่ดินเพราะเริ่มออกฝึกภาคสนาม มี่มี่ก็ยุ่งขึ้นเวทีแสดงงิ้วที่โรงละครกับอยู่แต่หน้าจอโทรศัพท์อัดคลิปลงโซเชียลหาแต่เงินก็หัดใช้เงินบ้างนะจ๊ะที่รัก ไปๆ แยกย้ายกันไปนอนต่อเถอะเพิ่งจะตีหนึ่งอีกนานกว่าจะเช้า”หวังจิวเซียนพูดพลางใช้มือตบไหล่เพื่อนรักทั้งสองของเธอพลางฉุดร่างเฉินเสวี่ยม่านให้ลุกขึ้นจากที่นอนของมี่มี่ “นอนเถอะมี่มี่อย่าไปคิดอะไรมากมันก็แค่ความฝันเท่านั้น”เฉินเสวี่ยม่านบอกเพื่อนด้วยความเป็นห่วง คำกล่าวของเพื่อนเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ลี่มี่มี่เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิททั้งสองพร้อมส่งยิ้มให้ “ขอบใจมากนะเสี่ยวม่าน เสี่ยวเซียนที่เป็นห่วง ฉันไม่เป็นอะไรแล้วมันก็แค่ฝันเท่านั้นเป็นจริงอย่างที่พวกเธอพูด”มี่มี่บอกเพื่อนกลับไปท่ามกลางรอยยิ้มของเพื่อนสาวทั้งสอง “คิดได้แบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย พวกเราไม่กวนแล้วรีบนอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวกัน”หวังจิวเซียนพูดพร้อมเดินตรงเข้าโอบไหล่เฉินเสวี่ยม่านพากันก้าวออกไปจากห้องนอน พร้อมกับบานประตูค่อยๆ ปิดตัวลงท่ามกลางสายตาของลี่มี่มี่ “จริงสิ! ก็แค่ความฝันเท่านั้นจะเป็นความจริงไปได้อย่างไงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก จะบอกว่าเป็นเรื่องราวในอดีตแต่เป็นเรื่องของใครละ จะใช่ของเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรสามารถยืนยันได้”ลี่มี่มี่พูดพึมพำพลางล้มตัวลงนอนตามเดิม ใบหน้าสวยคมเฉี่ยวหันหน้าไปทางหน้าต่างที่เห็นดวงดาวบนท้องฟ้าในเวลารัตติกาลอันเงียบงัน แสงไฟหลากสีมากมายยังคงปรากฏให้เห็นตามตึกสูงระฟ้าในมหานครปักกิ่ง “ฉันคือลี่มี่มี่ไม่ใช่หลินลี่ชาคนนั้น มันคือความฝันไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด ใช่แล้วมันไม่ใช่ความจริงและก็ไม่ใช่ตัวฉัน”หญิงสาวพึมพำแต่ประโยคดังกล่าวอยู่เช่นนั้นกลับไปกลับมาจวบจนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด ท่ามกลางความเงียบงันในยามราตรีที่แผ่ปกคลุมเข้ามาโดยรอบอยู่ในเวลานั้น คอนโดสูงระฟ้าซึ่งมีทั้งหมด 59 ชั้นบังเกิดสายลมพาดผ่านพร้อมพัดพาบางอย่างกำลังลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของลี่มี่มี่ ฟิ้วววว!!!! ดอกอวี้หลันสีม่วงเบ่งบานปลิวมาตามสายลม กำลังมุ่งตรงเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของลี่มี่มี่ที่เปิดค้างเพื่อรับสายลมเข้ามาภายในห้อง ดอกไม้สีม่วงส่งกลิ่นหอมรัญจวนเคลื่อนไหวมาตามกระแสลมแรง ตุบ! ดอกอวี้หลันเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นร่วงหล่นตกลงบนร่างของลี่มี่มี่อย่างแผ่วเบาพร้อมกลิ่นหอมโรยรื่นเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบตลบอบอวลไปทั่วห้องราวกับว่าภายในห้องนอนนั้นมีดอกไม้สีม่วงนับหมื่นดอกเลยทีเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD