Chapter 9
เมียบำเรอ
ยามเช้าของวันใหม่ ความมืดยังคงห่มคลุมเรือนหลังคาบ้านพาณิชกุลย์ ในห้องนอนของภีมพล จันทร์เจ้าเอยต้องสะดุ้งตื่น เมื่อมีบางอย่างโยนลงมาบนเนื้อตัว มันคลุมหน้าคลุมตาจนหล่อนต้องใช้มือปัดออก
"ออกไปได้แล้ว หมดหน้าที่ของเธอแล้วเอิง!"
เสียงไล่อย่างไร้เยื่อใยดังขึ้นที่ปลายเตียง มองไปก็เห็นภีมพลในสภาพผ้าขนหนูพันท่อนล่างเอาไว้ ส่วนท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าเผยแผงอกกำยำที่เมื่อคืนได้นอนซุกซบและกกกอด แต่...เช้าวันนี้เขากลับกลายร่างเป็นอีกคนที่ต่างจากเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง
และจันทร์เจ้าเอยก็ได้รู้ว่าที่โยนมาใส่ร่างนั้นก็คือเสื้อผ้าของหล่อนที่ถูกถอดทิ้งไปเมื่อคืนนั่นเอง
ที่ทำให้ต้องเม้มปากแน่นแววตาร้อนผ่าวปวดหนึบ ก็เพราะเงินจำนวนหนึ่งมันถูกโยนมาพร้อมกับเสื้อผ้า...ปวดหัวใจเหลือเกิน เมื่อเขาตีค่าหล่อนไม่ต่างจากนางบำเรอที่ทำหน้าที่บนเตียงเพื่อแลกเงิน
"พี่เหนือ...เอิงไม่ได้ต้องการเงิน"
หล่อนเสียงสั่น หากแต่ก็ได้รับเพียงแววตาเย็นชากลับมา
"เก็บไปเถอะ ถือเสียว่า...เป็นค่าเหนื่อยของเธอเมื่อคืนนี้ นี่มันก็แค่...เศษเงินของพี่ที่เอาไว้ซื้อความสุขใส่ตัว เอาจริง ๆ นะเอิง ที่เธอแกล้งทำเป็นคนอื่นแล้วก็ทำไม่ประสีประสาเหมือนไม่เคย แต่เมื่อคืนนี้...มันไม่ใช่เลย เธอเผยออกมาแล้วว่าเธอคือเอิงตัวจริงนั่นแหละ"
จันทร์เจ้าเอยหน้าชาดิก มองคนใจร้ายตรงหน้าพลางขบกรามแน่น ในหัวได้แต่ท่องคำว่าอดทน ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ลงทุนทำลงไปจะสูญเปล่าทันที
"รีบใส่เสื้อผ้าแล้วก็ออกไปซะ อย่ามาทำบีบน้ำตาทำหน้าเศร้า มันน่าสมเพชมากกว่าน่าสงสารรู้ไว้ด้วย!"
เขาปราดขึ้นเตียงเมื่อเห็นหล่อนยังคงนั่งนิ่ง สองมือจับชุดนอนมาสวมหัวให้หล่อน ทั้งหมดทั้งมวลเขาทำแรง ๆ ราวกับหล่อนไม่ใช่คน ท่าทีที่ทำให้หล่อนน้ำตาซึมเพราะรู้สึกไร้ศักดิ์ศรีเหลือเกิน
"เอิงเจ็บนะคะพี่เหนือ!"
"ไป! ก่อนใครจะมาเห็นว่าเธอน่ะทำตัวไร้ยางอายสิ้นดี ดูสภาพเธอสิเอิง ใส่มาแต่ชุดนอนแบบนี้ มันก็ไม่ต่างไปจากการแก้ผ้าเดินว่อนให้คนเขาดูไปทั่ว!"
คุ้มกันหรือที่ต้องเอาตัวเข้าแลกให้เขาดูถูกเหยียดหยามกันแบบนี้ แต่...เพื่อเป้าหมายอันสูงสุด หล่อนจะถอยไม่ได้อีกแล้ว คิดยามที่เขาฉุดกระชากลากถูหล่อนออกจากห้อง ผลักจนเซถลาแล้วล้มลงไปนั่งกองบนพื้นราวเป็นสุนัขที่ถูกไล่ตะเพิด และเงินปึกนั้นก็ถูกโยนมาใส่หน้า เป็นการกระทำที่หยามน้ำใจกันอย่างรุนแรง
ปัง!
เขาปิดประตูใส่หน้าจนหล่อนสะดุ้งเฮือก และต้องปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น กับโชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้หล่อนโคจรมาเจอกับซาตานร้ายเช่นเขา ต้องมารับกรรมในสิ่งที่ไม่ได้ก่อ แล้วหล่อนจะโทษใครได้ เมื่อเต็มใจกระโดดเข้ามาร่วมในวังวนความโกรธแค้นของเขาเอง
และก่อนที่ใครจะผ่านมาเห็น หล่อนรีบวิ่งลงบันไดไปที่ชั้นสองเพื่อกลับห้อง ขังตัวเองอยู่ในนั้น ใจยามนี้บอบช้ำ
เกินเกินจะทานทน แม้อยากล้มเลิกงานแต่งก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เมื่อภาณุวัฒน์ให้เงินค่าผ่าตัดบิดามาแล้ว และตอนนี้หล่อนก็ติดต่อกับทางทีมแพทย์ไว้เรียบร้อย รอแค่ให้ถึงวันผ่าตัดเท่านั้น
"โอ๊ย เจ็บนะ!"
เสียงร้องมาพร้อมกับร่างที่ถูกผลักจนล้มลงไปบนเตียงนอน...ปานตะวันกระถดกายถอยหลังหนีจนไปชิดขอบเตียง หล่อนนั่งตัวสั่นใจสั่น ยกมือไหว้อ้อนวอนด้วยน้ำตานองหน้า
"เอิงไม่ได้คิดหนีจริง ๆ นะคะ เฮียต้องเชื่อเอิงนะ เอิงแค่จะไปซื้อของที่ตลาดเท่านั้น"
พาทิศกระตุกยิ้มมุมปาก ร่างสูงย่างสามขุมเข้าไปชิดขอบเตียง ก่อนจะถลาเข้าหาร่างบางที่สั่นงกเพราะความกลัว มือแข็งราวคีมเหล็กยื่นไปบีบลงบนแนวสันกรามตามแรงอารมณ์
"ฉันรู้นะว่าเธอจะหนีกลับไปหาผัวเก่า อย่ามาตอแหล!"
"ไม่ใช่จริง ๆ เอิงไม่กล้าทำแบบนั้นกับเฮียหรอกค่ะ"
แววตาเข้มหรี่ลง มองอีกฝ่ายคล้ายไม่เชื่อ เสียงเข่นรอดไรฟัน
"อย่า...แม้แต่จะคิด ถ้ามีอีกครั้ง คราวนี้เธอตายแน่!"
มือแกร่งสะบัดออกจากดวงหน้าเล็กอย่างแรง แววตากรุ่นโกรธมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้...ปานตะวัน เมียขัดดอกที่ได้มาเพราะอำนาจเงิน หนี้ที่มารดาหล่อนสร้างไว้ เขาขอล้างหนี้ด้วยการจับหล่อนมาทำเมีย
และในอีกความรู้สึก ใจเขาเริ่มอ่อนกับหยาดน้ำตาของหล่อนอีกครั้ง
"หยุดร้องได้แล้วเอิง เอาเป็นว่า ฉันจะเชื่อเธออีกครั้งก็แล้วกัน"
อ้อมแขนแกร่งรั้งร่างที่สะอื้นไม่หยุดเข้ามากอด ในขณะที่ปานตะวันนั่งตัวแข็งอยู่ในอ้อมกอดนั้น...หล่อนไม่ ได้รักเขา ไม่ต้องการอ้อมกอดเขา หล่อนรักภีมพล เจ็บปวดเหลือเกินเมื่อนึกไปถึงเส้นทางรักที่ไม่มีวันเป็นจริง
หากมารดาหล่อนไม่ก่อเรื่อง ชีวิตหล่อนก็คงไม่จมปลักอยู่กับมาเฟียอย่างพาทิศ ยิ่งคิดยิ่งสะอื้นหนักขึ้น ในอ้อมกอดที่อบอุ่น แต่ใจกลับเหน็บหนาวเหลือทน
"คุณพ่อมาแล้ว"
จันทร์เจ้าเอยฝังจมูกลงบนแก้มจ้ำม่ำ แววตาคู่สวยทอดมองไปยังบีเอ็มที่แล่นมาตามทางที่พาไปสู๋โรงจอดรถ หลังจากที่ภีมพลออกไปพบลูกค้าและกลับเข้าบ้านมาในเวลาเย็นย่ำ เนื่องจากเป็นวันหยุดหล่อนจึงรับอาสาเลี้ยงลูกให้เขา โดยให้ยุพินได้พักผ่อนบ้าง
หล่อนอุ้มนลินมายืนยิ้มรออยู่ตรงหน้าประตูบ้าน...ยิ้มสู้เจ้าของร่างสูงที่เดินมาตามทางเดินหินเรียงใต้ซุ้มมัลเบอร์รี่ ไม่มีแม้รอยยิ้มบนใบหน้าคมคร้าม เมื่อเห็นว่าใครอุ้มแก้วตาดวงใจยืนรอรับหน้าอยู่ไม่ไกล
"ป้าพินไปไหน บอกแล้วใช่มั้ยอย่ายุ่งกับลูกของพี่!"
"แต่น้องก็เป็นลูกของเอิงเช่นกัน ทำไมจะอุ้มเขาไม่ได้คะ"
"นี่! เอิง...เธอ..."
จันทร์เจ้าเอยฝืนยิ้มข่มแววตาเข้มเกรี้ยวกราด จะต้องอดทน...หัวใจของเขาที่หล่อนต้องการ หล่อนบอกตัวเองแบบนั้น
"เอิงพูดผิดตรงไหนคะ เพราะน้องเป็นสายเลือดของเอิงครึ่งหนึ่ง"
คำพูดยิ่งเติมเชื้อไฟในใจภีมพล ชายหนุ่มปราดเข้ามาใกล้ มือแกร่งคว้าหมับลงบนแนวสันกรามของเจ้าหล่อน ออกแรงบีบตามแรงอารมณ์
"โอ๊ย! เจ็บนะ เอิงอุ้มน้องอยู่นะคะ! "
"ช่างกล้าพูดนะเอิง เธอหมดสิทธิ์ในตัวเขาตั้งแต่วันที่เธอทิ้งเราสองคนไปแล้ว ยังกล้าจะกล้ามาทวงสิทธิ์ความเป็นแม่อีกเหรอ!"
"ก็เอิงบอกแล้วไงคะ ว่าเอิงสำนึก...โอ๊ย!"
เขายิ่งออกแรงบีบหนักขึ้น
"หน้าด้านสิ้นดี จำเอาไว้ เธอไม่มีสิทธิ์เป็นแม่ของใคร เอิง!"
ชายหน่มสะบัดมือออกจากใบหน้าเรียว ก่อนจะยื้อแย่งลูกสาวในอ้อมกอดของจันทร์เจ้าเอยมาอุ้มเอาไว้ราวหวงแหน แววตาเข้มยังไม่อ่อนแสงจากแรงความเคียดแค้น...แววตาที่เพิ่มแรงขับให้จันทร์เจ้าเอยอยากเอาชนะ
เขาเบือนหน้าหนีไม่มอง แสดงให้เห็นว่ารังเกียจหล่อนมากเพียงใด อุ้มทารกน้อยเดินหนีเข้าบ้านโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บเพียงไหนกับการกระทำของตน ในความรู้สึกของภีมพล เขาบอกตัวเองเสมอ จะต้องไม่ใจอ่อนให้กับมารยาของอีกฝ่าย เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย และเขาจะไม่โง่ให้หล่อนปั่นหัวเล่นได้อีกต่อไป
จันทร์เจ้าเอยมองตามแผ่นหลังกว้างแสนหยิ่งผยองด้วยแววตาแดงก่ำ หล่อนบดกรามจนเป็นสันนูน นับหนึ่งถึงร้อยในใจเพื่อสงบสติอารมณ์ เพื่อเป้าหมายอันสูงสุด นั่นคือหัวใจของเขาที่หล่อนต้องการ
ดึกแล้ว หากแต่เสียงร้องไห้ยังคงดังมาจากชั้นสาม มันดังอยู่นานมากแล้วจนจันทร์เจ้าเอยทนไม่ได้ หล่อนลุกจากเตียงแล้วเดินไปคว้าเสื้อคลุมมาสวม ก่อนจะเปิดประตูออกไปจากห้อง เดินไปตามเสียงร้อง นั่นก็คือห้องนอนของภีมพล
ภีมพลเดินไปเปิดประตูเมื่อเสียงเคาะดังอย่างต่อเนื่อง เขาคิดว่าเป็นบิดาเลยไม่ทันได้ส่องตาแมวดูว่าใคร และเมื่อเห็นว่าเป็นจันทร์เจ้าเอยเขาแทบกระดันบานประตูกระแทกใส่หน้า หากแต่ว่าช้าไป เมื่ออีกฝ่านแทรกกายเข้ามาในห้องโดยไม่ขออนุญาต
"น้องเป็นอะไรคะ เอิงได้ยินร้องตั้งนานแล้ว"
ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบ เมื่ออีกฝ่ายทำท่ายื่นแขนมาข้างหน้า เขาไม่ตอบคำถามของหล่อน ทำเหมือนสายลมพัดผ่านหู
"ทำไมวันนี้ถึงโกงจังเลยล่ะครับนลิน หนูไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ"
เขายังคงเดินไปเดินมารอบ ๆ ห้อง เพื่อปลอบโยนลูกสาว ในวงแขนกว้าง ร่างน้อย ๆ นั้นยังคงตะเบ็งเสียงร้องไม่หยุด
"มาค่ะ ให้เอิงช่วยนะคะ"
"ไม่! กลับไปนอนเถอะ อย่าลำบากเลยเอิง"
"นะคะพี่เหนือ ให้เอิงได้ทำหน้าที่บ้าง"
"บอกว่าไม่ไง!"
การที่ชายหนุ่มตะคอกเสียงดัง ยิ่งทำให้หนูน้อยตกใจ จึงตะเบ็งเสียงร้องหนักขึ้น
"เขาร้องไม่หยุดแล้ว ลองให้เอิงช่วยปลอบแกดูนะคะ เดี๋ยวก็แตกตื่นกันทั้งบ้านหรอกค่ะ วันนี้พี่หมอกมานอนค้างไม่ใช่เหรอคะ อย่าให้เสียงร้องรบกวนการพักผ่อนของใครเลยค่ะ"
จันทร์เจ้าเอยยังคงดื้อดึง หล่อนเดินเข้าไปแย่งทารกน้อยมาจากอกผู้เป็นพ่อ...ภีมพลมองตามการกระทำนั้น เขาเห็นแล้ว แววตาของหล่อนยามมองลูก มันคือแววตาที่เต็มไปด้วยความรักอย่างเห็นได้ชัด หล่อนแสดงละครได้เนียนจนเขาสับสน เกือบจะเชื่อไปแล้วว่าหล่อนสำนึกผิดจริง ๆ
"เขาอาจปวดท้องนะคะ"
"พี่ทายาให้แล้ว เขาไม่ปกติเอิง เขางอแงแบบไม่มีเหตุผล เหมือนร้องหาใครสักคน"
"นลิน...หนูเป็นอะไรคะ ดูสิ ร้องไห้จนหายใจหอบไปหมดเลย"
มือนุ่มลูบไปตามแผ่นหลังน้อย ๆ ด้วยสัมผัสอ่อนละมุน หล่อนถือวิสาสะขึ้นไปบนเตียงทางฝั่งที่ติดกับเตียงเล็ก วางร่างทารกน้อยให้นอนลงไป หล่อนเอนกายนอน
ตะแคงเพื่อนอนกกให้ความอบอุ่น มือนุ่มตบลงบนก้นเล็กเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม ไม่นานนักเสียงร้องที่แผดลั่นบ้านก็ค่อย ๆ เบาลง จนเกือบจะเงียบในที่สุด ท่ามกลางแววตาเข้มที่มองอย่างไม่เข้าใจ
เขานึกน้อยใจ การที่ปานตะวันมาที่นี่ได้ไม่นาน แต่ก็ทำให้ลูกของเขาติดหนึบเสียแล้ว
'นลิน...หนูร้องหาแม่หรอกเหรอ...'
"ช่วยหยิบนมให้เอิงทีค่ะ เอิงจะกล่อมให้เขาหลับ พี่เหนือจะได้พักผ่อนเสียที"
"นี่เธอ !เอิง เธอก็ลุกมาหยิบเองสิ มีสิทธิ์อะไรมาใช้พี่ฮึ!"
คนขี้อิจฉาทำท่าทีฉุนเฉียว เขาไม่พอใจ ที่หล่อนทำให้ลูกสาวของเขายอมคลายความพยศลงได้
"ไม่ใช่เวลาทะเลาะกันนะคะพี่เหนือ เร็วค่ะ เดี๋ยวน้องก็ร้องขึ้นมาอีกหรอก"
จันทร์เจ้าเอยขยับกายเข้าไปแนบชิดร่างน้อย ๆ นั้นมากขึ้นเพื่อให้ไออุ่น หล่อนไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมจึงรักและเอ็นดูประหนึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ทั้งที่พ่อของเด็กนั้นสุดจะร้ายใส่หล่อนเสียขนาดนี้
"เธอมาอยู่ที่นี่ไม่นาน ลูกก็ติดอ้อมกอดเธอเสียแล้ว บอกมาเอิง เธอเอาอะไรให้ลูกกินฮึ!"
เขายอมเดินไปหยิบขวดนมมายื่นให้ ก่อนจะคลานขึ้นเตียงไปนั่งอยู่ด้านหลังคนที่นอนตะแคงกล่อมลูกอยู่ ใบหน้าคมคร้ามชะเง้อผ่านร่างอิ่มที่เคยได้ลิ้มลอง...มันน่านักเชียวลูกสาวเขา พอได้นอนในอ้อมกอดของแม่ก็นอนดูดนมนิ่งอย่างสบายใจ
ท่อนแขนแกร่งยื่นผ่านร่างอิ่มเพื่อที่จะสัมผัสกับร่างจ้ำม่ำจอมโกง เขาจับมือน้อย ๆ นั้นเอาไว้ด้วยความรัก ส่ายหัวให้กับความพยศที่แกล้งให้เขาปลอบจนเหนื่อย คลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ในขณะที่จันทร์เจ้าเอยนอนเกร็งอยู่ในอ้อมกอดนั้น ความเงียบมาห่มคลุมเสียจนได้ยินลมหายใจของกันและกัน ซึ่งหลังจากดูดนมได้ไม่นานทารกน้อยก็ผล็อยหลับคาจุกนม หล่อนดึงออกจากปากเล็ก ๆ นั่นแล้ววางไว้ที่หัวเตียง ท่ามกลางแววตาเข้มที่มองตามทุกการเคลื่อนไหว
และไม่ทันคาดคิด เมื่อลูกหลับเขาก็กักหล่อนเอาไว้ด้วยสองแขน มองมาด้วยสายตาสื่อความหมายบางอย่างไม่ทันจะพูดอะไร ใบหน้าคมคร้ามก็โน้มลงต่ำ ความอุ่นซ่าน
ทาบลงบนเรียวปากนุ่มแล้วบดเคล้าด้วยสัมผัสอ่อนละมุน...จูบ...ที่ทำให้หล่อนเคลิ้มฝันไปกับสัมผัสนั้น ยอมให้ลิ้นอุ่นร้อนซอกซอนเข้ามาหยอกเย้ากับลิ้นเล็ก หล่อนเหมือนคนจมน้ำจนผวากอดเกี่ยวแผ่นหลังกว้างเอาไว้ด้วยสองแขน ยามร่างหนักโถมกายทาบทับ กายส่วนร่างสัมผัสได้ถึงความแข็งขึงที่เสียดสีอยู่กับเนินเนื้อ ความหวามไหวซึมซาบ จนขนอ่อนบนกายสาวลุกเกรียว
เสื้อผ้าถูกถอดจนเหลือเพียงกายเปลือยเปล่าที่บดเบียดกันอยู่บนเตียงกว้าง หล่อนกอดกายแกร่งเอาไว้จนแน่นเมื่อท่อนเนื้อร้อนผ่าวสอดแทรกลึกเขาสู่ร่องหลืบนุ่มหยุ่นชุ่มฉ่ำ ความคับแน่นและแรงตอดรัดอย่างเป็นจังหวะทำให้เขาสูดปากราวเคี้ยวพริกแสนเผ็ดร้อน หล่อนเองก็ไม่ต่างกัน ความกระสันจากแรงเสียดสีเรียกเสียงครางกระเล่าให้เล็ดลอดผ่านปาก ยามเขาขยับกระแทกกระทั้นหน่วงหนักหล่อนส่ายหน้าไปมาด้วยความเสียวซ่าน เขาเองก็ไม่ต่างกัน เสียงหายใจหอบถี่กระชั้นเมื่อร่างใหญ่โตขยับขึ้นลงอยู่บนกายสาวที่แสนยั่วใจ
เขาฟุบร่างลงกับกายสาวเมื่อพากันเกี่ยวก้อยขึ้นไปคว้าสายรุ้งที่พร่างพรม ใบหน้าคมคร้ามซุกอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นจนหล่อนสัมผัสได้ถึงลมหายใจเหนื่อยหอบ ต่างนอนกอดก่ายกันเพื่อปรับสภาพลมหายใจให้กลับมาปกติดังเดิม และเมื่อหายเหนื่อยเขาก็พลิกกายนอนหงาย ก่อนจะตวัดผ้าห่มมาคลุมกายเปลือยเปล่าเอาไว้ ท่ามกลางความละอายใจของจันทร์เจ้าเอย หล่อนพลิกกายนอนตะแคงหันหลังให้เขา เมื่อยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาล่วงล้ำกันอีกครั้ง และมันคือความเต็มใจของหล่อนเอง
เขายังคงไม่พูดอะไร หากแต่ก็ขยับเข้าหาจากด้าน หลังแล้วพาดแขนกอดเกี่ยวเอาไว้ หล่อนนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดนั้น และต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมา จน กระทั่งลมหายใจของเจ้าของอ้อมกอดเริ่มสม่ำเสมอ หล่อนเอี้ยวหน้ามอง ก็เห็นว่าเขาหลับไปแล้วทั้ง ๆ ที่อ้อมแขนนั้นยังกอดก่ายร่างของหล่อน...น่าแปลกที่หล่อนไม่ผลักไส รู้สึกอบอุ่นอยู่ในหัวใจอย่างประหลาด ที่เขายอมให้หล่อนได้นอนร่วมเตียง ไม่ตะเพิดไล่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
หญิงสาวนอนคิดไปเรื่อยเปื่อย และความอ่อนเพลียก็ทำให้ดำดิ่งลึกสู่ห้วงฝันตามเขาไปอีกคน สองกายกอดเกี่ยวกันบนที่นอนอ่อนนุ่ม ในราตรีนี้ที่ยังอีกยาวไกล