บทที่5/2
ยามตะวันคล้อยต่ำเสี่ยวซีมาแจ้งเฉินหลิงเว่ยไปร่วมรับอาหารเย็นกับไป๋มู่หลัน ทว่ายามที่เห็นสาวใช้ยกอาหารขึ้นโต๊ะเฉินหลิงเว่ยก็ขมวดคิ้วเรียว อาหารบนโต๊ะมีถึงแปดอย่าง แต่ละล้วนอุดมไปด้วยไขมันสูงอย่างเช่นจานตรงหน้านางนี่ก็คือ ขาหมูต้มน้ำแดง ถัดไปยังมีสามชั้นตุ๋นพะโล้ และอีกหกจานก็ล้วนอุดมไปด้วยน้ำมันวาว
“หลันเอ๋อร์เจ้าทานอาหารเช่นนี้ทุกวันหรือ”
“ใช่แล้ว แต่ไม่ต้องห่วงพวกขนมหวานที่เจ้าห้ามข้ากิน ข้าล้วนงดหมดแล้ว”
เฉินหลิงเว่ยแทบจะร่ำไห้สหายผู้นี้งดขนมหวานแต่กลับทานข้าวถึงสามถ้วย ที่สำคัญกับข้าวก็ล้วนเน้นไปที่อาหารจำพวกไขมัน เฉินหลิงเว่ยยิ้มแห้งมองรอยยิ้มกว่างของสหายแล้วนึกถอนใจ ยิ่งยามเห็นริมฝีปากของไป๋มู่หลันมันวาวแล้วยิ่งถอนหายใจยาว
“อ้า.… อิ่มยิ่งนัก”
เฉินหลิงเว่ยส่ายหน้าไปมายามที่สหายเรอออกมาเสียงดังไร้ซึ่งกิริยาอันสมควรระวัง ไป๋มู่หลันเห็นท่าทางระอาใจของเฉินหลิงเว่ยแล้วหัวเราะเสียงลั่นก่อนจะยกน้ำชาขึ้นดื่มล้างปาก แล้วพาสหายไปเดินย่อยอาหารในสวนหลังร้าน
“อื้อ… สดชื่นจริงๆ”
ไป๋มู่หลันหลับตาลงแล้วสูดอากาศเข้าจนเต็มปอด ยามที่ได้หายใจโดยไร้ผ้าโปร่งขวางกั้นเช่นนี้ช่างดียิ่งนัก เพียงแต่ยามที่ลืมตาขึ้นแววตาของนางกลับหม่นแสงลง
“หลันเอ๋อร์เจ้ากังวลสิ่งใดหรือ”
“เว่ยเอ๋อร์ แม้ตอนนี้ใบหน้าของข้าจะไร้เม็ดสิว แต่รูปร่างของข้าก็ยังอ้วนฉุเป็นหมูอยู่ดี”
เฉินหลิงเว่ยถอนหายใจยาวมองจากมื้ออาหารก่อนหน้าที่สหายนางกินแล้วนางไม่นึกแปลกใจเลยกับรูปร่างของสหาย แต่จะอย่างไรเสียตอนนี้นางก็นับไป๋มู่หลันแล้วเช่นนั้นนางย่อมสมควรช่วยเหลือสหายผู้นี้เสียหน่อย เฉินหลินเว่ยจับมือสหายนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนแล้วยิ้มอ่อนโยน
“หลันเอ๋อร์ ข้ามีความลับหนึ่งจะบอกเจ้า”
“ความลับหรือ”
“ใช่! แต่เจ้าสัญญาได้หรือไม่ ว่าจะไม่บอกผู้ใด”
แววตาและท่าทางจริงจังของเฉินหลิงเว่ยทำให้ไป๋มู่หลันพยักหน้ารับรัวเร็วและตั้งใจฟังมากขึ้นเป็นทบทวี เฉินหลิงเว่ยปรายตามองรอบตัวเมื่อเห็นว่าปลอดคนจึงขยับตัวมาใกล้ไป๋มู่หลันแล้วเอ่ยกระซิบแผ่วเบา
“แท้จริงที่ข้ารูปร่างดีเช่นนี้เพราะพรจากเทวนารี”
“เทวนารี! …เทวานารีคืออะไร”
“เทวนารีเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลมารดาของข้า หากบูชาแล้วจะช่วยส่งเสริมให้รูปร่างหน้าตางดงามขึ้น”
ไป๋มู่หลันขมวดคิ้วเล็ก แววตาหรี่ลงจดจ้องไปยังคนตรงหน้า ท่าทางล้วนไม่เชื่อถือในคำของสหาย เรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้จะมีได้อย่างไร
“เว่ยเอ๋อร์เจ้าหลอกข้าอีกแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าไม่เชื่อก็แล้วไป น้ำค้างเริ่มลงแล้วข้าไปนอนดีกว่า”
“อ่า…เว่ยเอ๋อร์รอก่อน เชื่อ!ข้าเชื่อ!เจ้าอย่าโกรธเลย”
เฉินหลิงเว่ยยกยิ้มมุมปากก่อนหันกลับมาเอามือปิดปากสหายของนางด้วยท่าทางตื่นตกใจ
“เจ้าจะเสียงดังทำไมกัน ข้าบอกว่าเป็นความลับของตระกูลข้าเจ้าลืมแล้วหรือ”
ไป๋มู่หลันพยักหน้ารับแววตาสำนึกผิดในที เฉินหลิงเว่ยถอนหายใจยาวยอมลดมือลงแล้วนั่งลงข้างๆ สหายอีกครั้ง
“เจ้าจะบอกว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้าดีเช่นนี้ล้วนเกิดจากเทวนารีประทานพรหรือ”
เฉินหลิงเว่ยพยักหน้ารับ ไป๋มู่หลันพลันขยับตัวเข้าใกล้สหายไปอีกนิด แววตาฉายแววอ้อนวอน
“เช่นนั้นทำเช่นไรเทวนารีจึงจะประทานพรให้ข้าบ้าง”
“เทวนารีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลข้าคนนอกตระกูลเช่นเจ้า หากอยากได้พรเช่นเดียวกันย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย”
“เช่นนั้นเจ้ามีพี่ชายหรือไม่ น้องชายก็ได้ข้าจะแต่งเข้าตระกูลเจ้า”
เฉินหลิงเว่ยแทบสำลักน้ำลายตนเอง วิธีการเช่นนี้สหายของนางก็ยังคิดค้นได้ อ่า…สติปัญญาของไป๋มู่หลันช่างไม่อาจดูแคลน
“ข้าเป็นบุตรคนเดียว”
“เช่นนั้นข้าแต่งให้เจ้าดีหรือไม่”
“ไป๋มู่หลัน! ข้าเป็นสตรีจะแต่งเจ้าเข้าตระกลูได้อย่างไร”
เฉินหลิงเว่ยเอ่ยเสียงเข้มลอดไรฟัน ไป๋มู่หลันพลันยิ้มแห้งเฉินหลิงเว่ยไม่มีพี่น้องหากนางไม่แต่งให้เฉินหลิงเว่ยจะให้นางทำเช่นไรกัน
“ความจริงหากเจ้าพิสูจน์ให้เทวนารีเห็นถึงความตั้งใจพระนางอาจประทานพรให้เจ้า”
“พิสูจน์หรือ พิสูจน์อย่างไร”
ไป๋มู่หลันยิ้มกว้างในแววตามีความหวังเปล่งประกาย ขณะที่ในแววตาของเฉินหลินเว่ยวูบหนึ่งปรากฏแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะจางหายไป
“เทวนารีตั้งอยู่ที่บ้านข้า เจ้าเพียงต้องเดินเท้าไปกราบไหว้บูชาแล้วเดินเท้ากลับทุกวันเพื่อพิสูจน์ความตั้งใจจริง"
“ข้าทำได้”
“อีกอย่างครอบครัวข้าเป็นชาวสวนยึดอาชีพปลูกผัก ดังนั้นเพื่อแสดงความจริงใจเจ้าต้องใช้ชีวิตเช่นชาวสวน ต่อไปอาหารบนโต๊ะต้องไม่เกินสามอย่างและทานข้วาได้เพียง1 ถ้วยเท่านั้น ที่สำคัญให้กินอาหารในช่วงยามซื่อถึงยามเซินเท่านั้น”
“ยามซื่อ ถึงยามเซิน เท่านั้น”
เฉินหลิงเว่ยพยักหน้ายืนยัน ไป๋มู่หลันพลันใบหน้าเหยเก ความสุขของนางคือการได้ทานขนมหวานและอาหารอย่างเต็มอิ่ม เพียงแต่เพื่อความงาม…เช่นนั้นนางจะยอมทิ้งขาหมูพวกนั้นไปก็ได้
………………………………………