หญิงสาวอายุย่างยี่สิบสาม มีร่างกายผ่ายผอมไม่สง่างาม ครรภ์สามเดือนไม่ช่วยให้ว่าที่คุณแม่มีน้ำมีนวลเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามร่างกายหล่อนกลับยิ่งทรุดโทรมลงเพราะตรอมใจ เกิดจากคำพูดถากถางจากพ่อของลูก ที่ไม่ได้ไยดีตนเองกับลูกในครรภ์เลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาคู่หวานลดระดับลงมองใบทะเบียนสมรสในมือ และบัตรประชาชนใบใหม่ที่ระบุนามสกุลรั้งท้ายว่า ‘ศรันย์เวชกุล’ เป็นนามสกุลที่ ‘ยืม’ เขามาใช้ ทั้งที่เจ้าของไม่ได้ยินดี
นัยน์ตาคู่สวยไหวระริก น้ำตาไหลรินก้มหน้าก้มตาฟังคำพูดถากถางจากปากเสียๆ ของภูดิศ สามีหมาดๆ สถาปนิกหนุ่มไฟแรง รั้งท้ายตำแหน่งรองกรรมการบริหารบริษัทคอนสตรัคคชั่นยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย
ภูดิศในวัยยี่สิบแปดปีกำลังเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน แต่ชีวิตเขาต้องเสียหลักเพราะพลาดทำหล่อนตั้งครรภ์
ไม่มีคำขอแต่งงานหวานๆ ไม่มีแหวนหมั้น ไม่มีพิธีแต่งงานและการยกย่องใดๆ ดรุณีได้รับเพียงทะเบียนสมรส กับเช็คมูลค่าห้าล้านเป็นค่าปิดปาก ไม่ให้หล่อนกับลูกมาแสดงตัวต่อหน้าเขา
น่าอดสูใจยิ่งนัก ถ้าหากบิดาของเขาไม่บังคับ ภูดิศคงไม่ยอมรับผิดชอบอะไร ดรุณียกหลังมือเช็ดน้ำตาหลายต่อหลายครั้ง หน้ามืดคล้ายจะวูบ แต่ต้องมีสติไม่ปล่อยให้วูบลงตรงนี้ กลัวเขาจะทอดทิ้ง
“จำไว้เลยนะว่าทะเบียนสมรสนี่มันก็แค่กระดาษแผ่นเดียว ไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่าอะไรเลยสำหรับฉัน เธอจะเอามันไปนอนกอดหรือเผาทิ้งก็เรื่องของเธอ เราต่างคนต่างอยู่เข้าใจไหม!”
ปลายนิ้วเขาชี้มาใส่หน้า แม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังสะอื้นร่ำไห้ดวงตาแดงก่ำไปหมดก็ไม่มีคำว่าสนใจ
“ร้องไห้ทำไม! ต่อให้ร้องจนขาดใจตายลงตรงนี้ฉันก็ไม่เอื้อมมือไปแตะหรอกนะ อยากอยู่ อยากไป อยากทำอะไรก็แล้วแต่เธอ”
พูดเพียงเท่านั้นเขาก็หันหลังให้แล้วจากไป ทะเบียนสมรสอีกใบเขาไม่สนใจด้วยซ้ำ ทิ้งขว้างลงพื้น ดรุณีแม้จะหน้ามืดแต่ก็ยังอุตส่าห์ก้มลงเก็บทั้งน้ำตามาแนบอกไว้
สายตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมามองอย่างสมเพชเวทนา หญิงสาวกอดเอกสารสำคัญไว้แนบอก เดินแยกไปอีกทางเพื่อหาทางกลับบ้านด้วยตัวเอง กลัวจับใจว่าจะเผลอตัวหมดสติลงกลางทาง แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อแม้กระทั่งพ่อของลูกยังทิ้งขว้าง
หญิงสาวเสียใจมากและความรู้สึกในวันนั้นยังติดค้างในใจมาจนถึงทุกวันนี้ มองหน้าลูกทีไรมักจะคิดถึงเขาคนนั้นเสมอ ลูกหน้าตาน่ารักน่าชัง เติบโตขึ้นทุกวันเป็นเด็กชาญฉลาด จากวันนั้นมาจนถึงทุกวันนี้สิ่งเดียวที่ดรุณีเพียรขอพรคือขอให้เขารักลูก
ผ่านมาสามปีแล้วที่ดรุณีต้องเลี้ยงลูกสาวเพียงลำพัง หนูขวัญเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจ และลมหายใจ ถ้าหากไม่มีลูกคนนี้ ดรุณีไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีวิตของตัวเองจะผ่านมาถึงทุกวันนี้ได้หรือเปล่า หลังมือบอบบางจับแก้มลูกเบาๆ แกหลับไปเพราะความอ่อนเพลียจากพิษไข้ หล่อนบิดผ้าขนหนูไล่น้ำออกนำมาเช็ดตามร่างกายหนูน้อยให้แกหลับสบายมากขึ้น เห็นลูกป่วยทีไรใจหล่อนแทบขาดรอน
“รีบหายไวๆ นะคะ คนดีของคุณแม่” แนบริมฝีปากลงหอมเบาๆ หยัดกายขึ้นเพื่อทอดสายตาอ่อนโยนมองลูกสาวตัวน้อย
แกหลับสนิททว่าปากเล็กจิ้มลิ้มยังเพ้อหา ‘ป๊ะป๋า’ ตลอดเวลา ดรุณีรู้ว่าลูกติดภูดิศมากแค่ไหน ร้องหาเขาตลอด ดวงใจหล่อนเกิดเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง อดน้อยใจในตัวภูดิศไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงไม่มาหาลูกบ้างเลย นัยน์ตาคู่หวานไหวระริกละสายตาจากลูกมองไปยังโทรศัพท์เครื่องสีขาวราคาไม่กี่พัน ลังเลหลายครั้งว่าจะโทรศัพท์ไปหาภูดิศดีหรือเปล่า
แล้วในที่สุดก็กลั้นใจกดโทรออก ดรุณีฟังเสียงรอสายหลายวินาทีก่อนจะเกิดอาการตาขาวและยอมกดวางสายเสียเอง
หล่อนแนบโทรศัพท์ไว้บนอกด้านซ้าย รอคอยให้มีสายเรียกเข้ามา แต่ก็เท่านั้น… มีแค่ความว่างเปล่า ดรุณีอ่อนล้าไปทั้งกายและใจ ล้มตัวนอนลงข้างแก้วตาดวงใจ หลั่งน้ำใสออกจากดวงตาทั้งสองข้าง หลับพริ้มเพื่อขับไล่ความอ่อนแอทั้งหมดออกไป
....................................................................................................
หัวใจสลักรัก
เขียนโดย คณานางค์
ติดตามผลงานนักเขียนได้ที่แฟนเพจ คณานางค์