“ที่รัก! มาถึงช้าจัง รู้หรือเปล่าว่าพี่คิดถึงจะแย่ รอเราอยู่คนเดียวเลยนะ”
เจ้าบ้านเอ่ยทัก หลังเหลือบเห็นเด็กผู้ชายแสนคุ้นเคย ขณะกำลังเดินออกมาสูดอากาศยังหน้าบ้านซึ่งคงต้องเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า คนทักเป็นพี่ชายผู้มีรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตาเป็นประกายมองคนตัวผอมหยุดยืนอยู่เบื้องล่าง ขั้นบันไดสี่ห้าขั้นทำให้พวกเขาอยู่ต่างระดับกัน คนมาใหม่ต้องแหงนหน้า แล้วจึงยกมือไหว้พี่ชายแบบเขินๆ
“สวัสดีครับพี่อิ่ม”
ธารารับไหว้ แล้วมองอีกคนด้วยความห่วงหาระคนคิดถึง ก่อนจะวิ่งลงบันไดด้วยสลิปเปอร์ ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว นักเรียนนายร้อยตำรวจรูปร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตดำกับกางเกงสแล็คดำก็คว้าตัวน้องชายคนเล็กเข้าอ้อมกอด อิ่มกอดรัดน้องชายสุดที่รักเนิ่นนานให้สมกับที่ไม่ได้เจอหน้ากันนับหลายเดือน
“ผอมลงนะเรา คราวหลังต้องกินเยอะๆ นะรู้ไหม วัยกำลังโตเลย ไม่กินเดี๋ยวเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องนะครับคุณครู”
ชายหนุ่มทักท้วง เมื่อพบว่าร่างผอมโปร่งในอ้อมกอดช่างเปราะบางไปทุกสัดส่วน
สุดที่รักพยักหน้าในอกกว้าง การเป็นคนพูดน้อยมักทำให้พี่ชายตัวสูงเอ็นดูเสมอ อิ่มคิดว่านั่นคือสิ่งที่มีเสน่ห์อย่างหนึ่งของสุดที่รัก
“แล้วทำไมไม่โทรบอกให้พี่ไปรับ ลำบากเดินทางมาเองทำไม มหาลัยกับที่นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ เลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากรบกวน”
“พูดแบบนี้อีกแล้ว ทำเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ เรื่องของที่รักไม่เคยรบกวนพี่เลยสักนิด คราวหน้าคราวหลังบอกพี่นะ” อิ่มเว้าวอนด้วยสายตา แล้วก็ยิ้มขึ้นมาได้ หลังเห็นสุดที่รักพยักหน้าตอบรับ “แล้วสุดสัปดาห์นี้ก็จะไม่ให้กลับด้วย พี่อนุญาตให้กลับได้พรุ่งนี้เย็น ออกไปพร้อมพี่กลับโรงเรียน โอเคไหม?”
“เอ่อ...คือ”
สุดที่รักอึกอักไม่กล้าตอบรับแล้วก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ คนยืนมองเห็นท่าจะถูกปฏิเสธโดยนัย จึงรีบชิงพูดดักทางทันที
“พี่กลับมาทั้งที ไม่อยู่ด้วยกันได้ยังไง น้อยใจแย่เลย ไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่นอนที่นี่ พี่ก็จะไปนอนกับเราที่หอพัก จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน จะขอไปเที่ยวมอของน้องซะหน่อย จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ไปก็ตอนน้องเข้ารับน้องวันแรก พี่อยากไปดูว่าตอนนี้น้องเป็นอยู่ยังไง” อิ่มสาธยายถึงความต้องการ ไม่ว่าจะแบบไหนเขาก็สะดวก ทั้งนั้นล่ะ ขอแค่ได้อยู่กับน้องชายคนสุดท้องเท่านั้นก็พอใจแล้ว
สุดที่รักเป็นเด็กดี เป็นเด็กที่อิ่มนึกรักใคร่เอ็นดูหวงแหนตั้งแต่แรกพบ อาจเป็นเพราะเขาอยากมีน้องชายตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในตอนที่แม่บอกกับเขาว่าจะมีเด็กชายคนหนึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกคนใหม่ของตระกูล
เมื่อพบกันเป็นครั้งแรก...สุดที่รักเป็นเด็กไม่พูดไม่จา เอาแต่เงียบและชอบเหม่อมองท้องฟ้า ทั้งที่เป็นวัยทโมนควรเล่นโลดโผนร่าเริงตามประสา ทว่านิสัยเหล่านั้นกลับไม่มีอยู่ในตัวเด็กผู้ชายนัยน์ตาโศกเศร้าเลยแม้เพียงนิด สุดที่รักเรียบร้อย อีกทั้งยังว่านอนสอนง่าย ไม่กระโดกกระเดก ไม่ดื้อ ไม่ซน พี่อิ่มว่าอย่างไร เด็กชายสุดที่รักก็จะว่าตามนั้น ความหัวอ่อน และความมีมารยาทนี้ ทำให้นายธาราให้ความเอ็นดูสุดที่รักเป็นอย่างมาก
จวบจนกระทั่งตอนนี้ ความเอ็นดูก็ยังคงอัดแน่นเต็มพื้นที่ในสายตาและหัวใจของนายธาราคนนี้
“กลัวพี่จะอยู่หอผมไม่ได้ ทั้งเล็ก ทั้งไม่สะดวก”
“นอนกลางดิน กินกลางทราย พี่อิ่มคนนี้เจอมาหมดแล้ว ยืนหลับในป่ายังเคยมาแล้วเลย แต่ถ้ากลัวว่าพี่จะไม่สะดวกก็นอนมันซะที่นี่ นอนกับพี่” ประโยคท้ายมาพร้อมกับสายตาขี้เล่น มุมปากเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ทำเอาคนฟังถึงกับก้มหน้างุด คนมองมองท่าทางนั้นแล้วก็ได้แต่นึกเอ็นดู ก่อนจะยอมเลิกแกล้งโดยการหัวเราะร่วน ยกมือไปยีเส้นผมคนตัวเล็กกว่า
“แล้วคุณอาล่ะครับ?”
เด็กหนุ่มกวาดตามองผ่านกรอบประตูไม้สักสลักขอบทองบานใหญ่ มองหาผู้มีพระคุณอีกสองคน นานแล้วที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ จะว่าไปก็คิดถึงพวกท่านเหมือนกัน คุณอาชายและคุณอาหญิงนับว่าเป็นผู้มีพระคุณกับเขาไม่ต่างอะไรกับบิดามารดาแท้ๆ หากวันไหนที่สุดที่รักประสบความสำเร็จ เรียนจบ มีงานมีการทำ พวกท่านคือคนที่เขาจะมากราบเท้าเป็นคนแรก
“คงกำลังแต่งตัวกันน่ะ เราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า แล้วกินอะไรมาหรือยังป้าจำรัสครับ...”
ชายหนุ่มดีใจออกนอกหน้าที่ได้มาต้อนรับสุดที่รักก่อนใครเพื่อน จึงทำหลายอย่าง ถามหลายคำจนดูวุ่นวายไปเสียหมด มือคว้าข้อมือน้องชายที่ตนรักพาเข้าไปในบ้าน ส่วนตากับปากใช้ตามหาแม่บ้านคนเก่าคนแก่
ไม่นานนักป้าจำรัส หัวหน้าแม่บ้านรูปร่างท้วมก็เดินปรี่เข้ามาหาคุณชายคนโตของธารามาลาขาแทบขวิด ด้วยกลัวว่าคุณชายจะไม่พอใจ จังหวะหนึ่งที่สุดที่รักเจอหน้า เขารีบยกมือไหว้คนสูงวัยซึ่งช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ เธอคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี
“คะคุณอิ่ม” ป้าจำรัสรับไหว้ พลางหันไปถามเอาคำสั่งจากคนตัวสูง
“หาของว่างมาให้สุดที่รักหน่อยนะครับ”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับพี่อิ่ม ผมทานมาแล้ว”
“เอาเถอะน่า ตามนั้นเลยครับป้า”
อิ่มหันไปปรามเด็กหนุ่ม แล้วหันกลับมาสั่งจำรัส เธอรับคำ ก่อนจะหมุนกายกลับเข้าไปในบ้าน
ทว่ายังไม่ทันก้าวไปไหน กลับมีรถเก๋งยุโรปสีครีมแล่นมาจอดเทียบยังหน้าบ้านเสียก่อน คนทั้งหมดหันไปมอง เมื่อเห็นเป็นรถคุ้นตา จึงหยุดยืนรอ อย่างนอบน้อม
หลังรถจอดสนิท ชายคนขับรถในชุดสูทรีบออกมาจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดให้บุคคลสำคัญ เมื่อประตูรถถูกเปิดออก ร่างหญิงสูงวัยก้าวออกมาด้วยท่าทีมีมาดคุณหญิง ชุดไทยร่วมสมัยปักดิ้นทองเสริมความสง่า ทรงผมตีโป่งเซตจนแข็งเหมือนทรงคุณหญิงคุณนายในละครพีเรียด ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผมดูดีมีราศีเยี่ยงผู้ดีเดิมในรั้ววัง
หลังเป็นสารถีให้แล้ว ชายคนขับรถยังถือตนเป็นไม้เท้าให้คุณหญิงรตี ธารามาลา โดยการยื่นแขนตั้งฉากให้เธอได้ยึดจับ คุณหญิงก้าวเท้าด้วยท่าทางสุขุมเดินขึ้นบันไดมาแต่ละก้าวอย่างมั่นคง รังสีความเจ้าระเบียบในแบบฉบับผู้ดีแผ่กระจายอยู่รอบตัว
ธารายิ้มบางพลางยกมือไหว้ก้มศีรษะสุดลำคอ สุดที่รักเห็นพี่ชายไหว้จึงรีบทำแบบเดียวกันทันที ส่วนจำรัสเองก็ไม่ต่างกัน แถมยกมือไหว้เสร็จยังรีบปรี่เข้าไปรับกระเป๋าถือปักไข่มุกราคาแพงเอาไว้เพื่อให้คุณหญิงเดินได้คล่องตัว คุณหญิงวัยเกษียณพยักหน้าราบเรียบก่อนใช้สายตากวาดมองหลานชายคนโตซึ่งไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือน พินิจพิเคราะห์การแต่งกายทุกกระเบียดนิ้ว
“งานเลี้ยงฉลอง สีดำคงไม่เหมาะ ป้าจำได้ว่าเรามีชุดสูทผ้าไหมสีเทาเงิน ชุดนั้นน่าจะเหมาะกว่า” เธอติติงชุดดำของธารา
“ครับคุณป้า เดี๋ยวผมจะไปเปลี่ยน” ชายหนุ่มรับคำอย่างว่าง่ายด้วยเป็นคนง่ายๆ แล้วก็ไม่อยากขัดใจคนเป็นป้า อีกนัยหนึ่งคือไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดนั่นเอง “คุณป้ามาเหนื่อยๆ เชิญเข้าไปพักผ่อนที่ห้องรับแขกก่อนเถอะครับ ป้าจำรัส...” คุณชายคนโตของบ้านหันไปเรียกคนรับใช้
“เชิญค่ะคุณหญิง” จำรัสทำหน้าที่ต้อนรับแขกคนสำคัญต่อ ด้วยการค้อมศีรษะ ก่อนเดินนำทางให้คุณหญิงรตีผู้ซึ่งถือศักดิ์เป็นพี่สาวแท้ๆ ของบิดาคุณธาราและคุณมาลา
“เดี๋ยว...”
คุณหญิงรตีหยุดฝีเท้า น้ำเสียงโทนต่ำถูกเปล่งออกมาฟังดูแล้วเยือกเย็น ตวัดสายตามองเด็กหนุ่มร่างโปร่งซึ่งยืนอยู่ข้างหลานชายแท้ๆ นานมากแล้วที่ไม่ได้พบหน้าเด็กชายตัวผอมบางซึ่งครั้งหนึ่งเคยพึ่งใบบุญอาศัยอยู่ที่นี่ เธอมองด้วยสายตาเหยียดหยันการแต่งกายไร้รสนิยม ไล่ตั้งแต่เสื้อโปโลคอปกสีฟ้าอ่อน ตลอดจนกางเกงสแล็คสีดำที่คิดว่าคงเป็นกางเกงนักศึกษาธรรมดาราคาถูก มองขึ้นบนแล้วลงล่าง มองจากข้างล่างไล่ขึ้นข้างบนถึงสามรอบ การแต่งกายของเด็กคนนี้สร้างความหงุดหงิดให้คนเจ้าระเบียบไม่น้อย แต่จะว่าไปก็ไม่ใช่เฉพาะ การแต่งกายเท่านั้นที่เธอนึกไม่พอใจ เพราะยังรวมไปถึงตัวเด็กเองที่เธอรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยเลยสักนิด
แรกเริ่มเดิมทีก็ไร้ซึ่งความชังอยู่หรอก แต่พอรู้ว่าน้องชายของเธออุตริพาเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า กำพร้าพ่อแม่คนนี้ให้เข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะทายาทบุญธรรม คราวนั้นถึงได้ค้านหัวชนฝาและไม่นึกยินดีเลยสักนิด ดีแค่ไหนที่เธอห้ามปรามไว้ได้ทัน ใช้บารมีของพี่สาวคนโตมาแย้งน้องชาย ไม่อย่างนั้น เจ้าเด็กไม่มีเหล่ากอคนนี้ก็คงจะมาชุบมือเปิบ แบ่งมรดกของตระกูลธารามาลาไปไม่น้อย เพราะหวังดี ถึงต้องตั้งแง่เกลียดขี้หน้ากันตั้งแต่เนิ่นๆ
“สวัสดีครับคุณหญิง” สุดที่รักเกร็งตัวแข็งทื่อ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก เพราะเกรงกลัวสายตา
“มาทำอะไรที่นี่? จำได้ว่าปีกกล้าขาแข็งขอออกไปอยู่ข้างนอกเป็นปี
แล้วนี่” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร ไม่มีการต้อนรับใดใดให้เด็กผู้ชายตัวจ้อยในวันวาน คุณหญิงรตีเชิดหน้ามองไปทางอื่น
“คุณป้า...” อิ่มเริ่มขมวดคิ้วไม่สบายใจ เอ่ยเสียงแผ่ว
“หรือว่ามาขอเงิน หึ...อิ่มดูซิ ป้าว่าผิดซะที่ไหน บอกแล้วว่าออกไปก็มีอันให้ย้อนกลับมาแบมือขอบ้านเรากินอีก ฉันถามสักคำเถอะ นี่เห็นตระกูลของฉันเป็นแหล่งเงินแหล่งทองเหรอ ถึงทำตัวเป็นกาฝาก ลำบากเมื่อไหร่ก็มาหา มาเสนอหน้าตาน่าสงสารให้ตาพรตเลี้ยงดูน่ะ”
“คุณป้าครับ! พอเถอะครับ สุดที่รักไม่ใช่เด็กแบบนั้น”
อิ่มตวาดลั่นเพราะเหลืออดเพียงประโยคไม่กี่ประโยคที่มักวนเวียนมาตลอดระยะหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความอคติของคนเป็นป้าที่เป็นความอคติซึ่งเกิดขึ้นจากความทรงจำเลวร้ายฝังใจที่มีต่อบิดาของสุดที่รัก
คุณหญิงรตีครั้งหนึ่งเคยหลงรักพ่อของสุดที่รัก
ในสมัยที่พวกเขายังเป็นเพียงวัยรุ่นวัยเรียน พ่อสุดที่รักตอนนั้นเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจพ่วงตำแหน่งหัวหน้าชั้นปี มีความโดดเด่นรอบด้านทั้งหน้าตาอันหล่อเหลา รูปร่างกำยำสมวัยชายหนุ่ม แถมยังเป็นคนเถรตรงไม่มีเลศนัย เป็นที่ถูกใจแก่หญิงเล็ก หญิงใหญ่ ญาติสนิทเพื่อนร่วมรุ่นเป็นอย่างมาก รวมไปถึงคุณหญิงรตีซึ่งมีน้องชายเป็นเพื่อนสนิทของชายหนุ่มที่เธอแอบมีใจให้ไม่น้อย จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้พูดคุย ได้เข้าใกล้ ได้สานสัมพันธ์ แต่ทว่าความฝันเป็นอันต้องดับสลาย เมื่อถูกนักเรียนนายร้อยตำรวจมาดเข้มปฏิเสธรักอย่างรอมชอมเพราะมีคนรักอยู่แล้ว ซึ่งก็คือแม่ของเจ้าเด็กนี่ แต่นั่นก็ถือเป็นการหักหน้าผู้ดีตระกูลดัง ทำเอาหน้าม้านหน้าชาไปหลายเดือน เล่นเอาเธอฝังใจ ไม่คิดปักใจรักใครอีกเลย
“ตาอิ่ม! กล้าดียังไงมาขึ้นเสียงใส่ฉัน!” คุณหญิงรตีหน้าม้าน ด้วยไม่คิดว่าหลานชายจะกล้าเสียงดังใส่ตน เลือดลมคนแก่ขึ้นกะทันหัน ยกนิ้วชี้ใส่หน้าหลานชายอย่างคาดโทษ แต่ยังไม่ทันได้ว่ากล่าวตักเตือน เป็นจังหวะเดียวกับที่หลานสาวคนสวยวิ่งออกมาต้อนรับ
“คุณป้า! สวัสดีค่ะ อุ่นคิดถึงคุณป้ามากกกกเลย”
หลานสาวคนเล็กปรี่เข้ามาซุกสีข้างคุณหญิง แสร้งกอดแสร้งรัดราวกับว่ารักคุณหญิงป้าแทบแดดิ้น ทว่าแท้จริงแล้วต้องการช่วยพี่ชายให้หลุดจากสถานการณ์อึดอัด ใช้จังหวะนั้นผินใบหน้ามาปรามใส่พี่ชาย
เมื่อได้รับกอดต้อนรับจากหลานคนโปรด คุณหญิงรตีจึงคลายความตึงลงไปได้เยอะ เธอกอดตอบหลานสาวพลางลูบแผ่นหลังอย่างเอาใจ ก่อนจะผะกายพินิจมองหญิงสาวรูปร่างสะโอดสะอง ละทิ้งอารมณ์ขุ่นมัวที่มีให้หลานชายคนโตไปโดยพลัน
เธอยิ้มก่อนพยักหน้าพึงพอใจชุดเรียบหรูดูเป็นสาวผู้ดีมีความรู้ของหลานสาวเป็นอย่างมาก
“หลานอุ่นของป้าโตเป็นสาวแล้วจริงๆ ทั้งหน้าตา ทั้งรูปร่างงดงามเพียบพร้อม สมกับเป็นคนของธารามาลา”
“แต่หลานคงไม่สวยเท่าคุณหญิงรตีตอนสาวๆ นะคะ” หญิงสาวช่างพูด เอาอกเอาใจคนเป็นผู้ใหญ่
“ช่างพูดจริงๆ เด็กคนนี้”
คุณหญิงรตียิ้มกริ่ม พลางจัดแจงทรงผมให้หลานสาว เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของบ้านตัวจริงอย่างคุณสุพรตและคุณหญิงหทัยกาญจน์พากันเดินออกมาสมทบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะคุณพี่” ภรรยานายพลตำรวจยกมือไหว้พี่สาวสามี ก่อนจะหันไปเห็นสุดที่รักซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ “สุดที่รักลูก มานานหรือยังเนี่ย มาๆ น้าขอกอดให้หายคิดถึงที” เธอเอื้อมมือไปคว้าตัวเด็กชายร่างโปร่งมากอดไว้แนบแน่น ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งลูบเรือนผมแสดงออกอย่างรักใคร่
สุดที่รักหลังถูกกอดจนหนำใจคุณหญิง ก็ถดกายออกมายืนตัวตรงแล้วยกมือไหว้ประมุขและภรรยาของบ้าน สุพรตรับไหว้ด้วยการพยักหน้า ความเป็นลูกผู้ชายไม่อาจทำได้อย่างศรีภรรยา หากแต่เอาสายตาไว้มองหลานชายนัยน์ตาเศร้าด้วยความเอ็นดูไม่ต่างกัน
“สบายดีนะเรา”
“สบายดีครับ”
“การเรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ ไม่ส่งข่าวมาเลย ติดขัดอะไรหรือเปล่า?”
“นั่นสิคะคุณ” คุณหญิงหทัยกาญจน์เห็นด้วย “สุดที่รักรู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วง ถ้าทนอยู่ข้างนอกไม่ไหวก็กลับมานะลูก อย่าเห็นพวกเราเป็นคนอื่นคนไกลเลย” เธอมองเด็กชายตรงหน้าอย่างห่วงหาระคนเวทนา
สุดที่รักเป็นเด็กเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่เคยเบียดเบียนรบกวนพวกเขาเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ลำบากเพราะต้องใช้ชีวิตกำพร้าพ่อแม่เพียงลำพัง ญาติมิตรก็ไม่ใส่ใจ หายหน้าหายตาไร้การติดต่อ เธออดนึกสงสารเด็กชายคนนี้ไม่ได้ ใจจริงไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องออกจากบ้านไปอยู่ด้วยตัวเองเลยสักนิด แต่ก็ติดอยู่ตรงที่...
“แล้วนี่จะไปกันได้หรือยัง มัวแต่พิรี้พิไร งานคงได้เลิกกันเสียก่อน ถนนเส้นนั้นรถติดนักล่ะ”
เป็นเสียงคุณหญิงรตีโผล่แทรกขึ้นมากลางบทสนทนา ทำเอาคนที่เหลือชะงัก สุดท้ายจำยอมต้องเชื่อฟัง พากันขึ้นรถตู้มินิแวนขนาดเจ็ดที่นั่งซึ่งคนขับรถมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว
“อย่าไปถือสาป้าพี่เลยนะ สงสัยวัยทองจะกำเริบ” อิ่มกระซิบกระซาบเดินรั้งท้ายรอขึ้นรถกับสุดที่รัก ได้ยินอย่างนั้นสุดที่รักถึงกับรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่เลยครับ พี่อิ่มอย่าพูดแบบนี้เลย มันไม่ดีนะ เดี๋ยวจะโดนเอ็ดเอาอีก”
“กลัวพี่จะโดนฆ่าเหรอ พี่ยังไม่เห็นกลัวเลย เจ้าเด็กคนนี้ขี้กลัวจริงๆ” เอ็นดูจนอยากฟัดเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่สุดท้ายทำได้เพียงยกแขนขึ้นคล้องคอพากันขึ้นรถ
“ยังไม่มาอีก หายหัวไปไหนของมัน ผมบอกให้มันเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงเข้มดุดันฝากฝังใส่ผู้หญิงวัยกลางคนหากแต่ยังคงความสวยสง่าในชุดราตรี
งานเลี้ยงขอบคุณได้เริ่มไปแล้วนานนับชั่วโมง แต่ก็ยังไร้วี่แววการปรากฏตัวของลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล
“ฉันจะรู้ด้วยไหม ไม่ได้คุยกับตากว้างหลายเดือนแล้วค่ะ ขอตัวไปต้อนรับเพื่อนๆ ทางนู้นก่อนนะคะ” คนตอบมีสีหน้าไม่ยี่หระเท่าไหร่นัก ก่อนกวาดตามองแขกเหรื่อที่ทยอยเข้างานกันมาเรื่อยๆ เมื่อเหลือบไปเห็นกลุ่มเพื่อนซึ่งยืนคุยกันตรงมุมหนึ่งของงาน จึงปรายสายตาให้คนเป็นสามีเพียงในนามมาหลายปี ก่อนจะผละออกไปเสียดื้อๆ
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วมองตามภรรยาของตัวเอง แสดงท่าทางฮึดฮัดเพราะไม่ได้ดั่งใจ ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู เขากัดฟันกรามแน่นเมื่อนึกถึงไอ้ลูกชายเพียงคนเดียวที่ยังไม่ปรากฏกาย มันไม่เคยทำอะไรได้ดั่งใจเขาสักอย่าง ชอบต่อต้านเขามาแต่ไหนแต่ไร ขอร้องอะไรก็ไม่เคยจะทำให้ เป็นเรือที่หางเสือบิดเบี้ยวบังคับยากเหลือเกิน นี่มันน่าจะเข้าใจ ว่างานเลี้ยงขอบคุณครั้งนี้เป็นงานใหญ่ในรอบไตรมาส โตๆ กันแล้วน่าจะสำนึกได้ว่าไม่ควรเสียมารยาททั้งผู้ใหญ่ ทั้งนักธุรกิจในวงการมากันครบ
ขาดก็แต่มัน...
แขกคนแล้วคนเล่าเดินเข้ามาทักทายและแสดงความยินดีหัวเรือใหญ่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ให้กับความสำเร็จไปอีกขั้นในวันนี้ แต่ทว่าการแสดงความยินดีนั้นกลับแฝงไปด้วยนัยบางอย่างเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
นักธุรกิจหลายคนที่เข้ามาทักทายไม่ลืมที่จะเอ่ยถามหาบุตรชายสุดหล่อเผื่อบุตรสาวที่ติดตามมาร่วมงานด้วย
ด้วยความหล่อเหลาซึ่งมาพร้อมกับฐานะร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี กว้างขวาง ศิริไพศาลจึงเป็นที่จับตามองอันดับต้นๆ ของหญิงสาวไฮโซหลากหลายตระกูลดัง เมื่อถูกถามหาลูกชายซึ่งเวลานี้หายหัวไปไหนไม่อาจทราบได้ ผู้เป็นพ่อจึงได้แต่ยิ้มเป็นมารยาท ทั้งที่ภายในร้อนรุ่มอยู่ไม่สุข ก่อนจะแสร้งชวนคุยเรื่องธุรกิจหันเหความสนใจ
“คุณเมฆาคะ นายพลสุพรต ธารามาลาพร้อมครอบครัว เดินทางมาถึงแล้วค่ะ” เลขาสาวส่วนตัวเดินเข้ามาทางด้านหลัง เอ่ยบอกท่านประธานเมื่อแขกคนสำคัญมาถึงงาน เมฆาพยักหน้า ก่อนจะขอตัวแขกตรงหน้าเพื่อออกไปต้อนรับ
อันที่จริงวันนี้เป็นงานเลี้ยงขอบคุณสำหรับลูกค้าผู้ซึ่งจับจองคอนโดมิเนียมในโครงการยักษ์ใหญ่ย่านใจกลางเมือง แต่ทว่าเขากลับให้ความสำคัญกับตระกูลมาลาธาราเป็นที่สุด เหตุผลนั้นไม่ใช่เพื่อเกมธุรกิจ หากแต่เป็นการจับคู่หมั้นคู่หมายระหว่างบุตรชายตระกูลศิริไพศาลและบุตรสาวตระกูลธารามาลา
งานในวันนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการดูตัวอย่างเป็นทางการของทั้งสองตระกูล
“สวัสดีครับคุณหญิง” เมฆายกมือไหว้คุณหญิงรตีที่เดินนำมาก่อนใครด้วยถือความเป็นผู้อาวุโสที่สุด เธอยกยิ้มให้ก่อนรับไหว้
“ยินดีด้วยนะเมฆา หายเหนื่อยเลยล่ะสิ” เธอเอี้ยวตัวไปรับช่อดอกไม้ซึ่งให้คนของเธอเตรียมไว้ ก่อนยื่นให้เจ้าของงาน
“ขอบพระคุณครับคุณหญิง เรียนเชิญเข้าไปข้างในก่อนเถอะครับ พรต คุณหทัยกาญจน์ เด็กๆ เชิญครับ”
เมฆาผายมือ เดินนำคนทั้งหมดเข้างาน ทว่าเมื่อมาหยุดอยู่ได้แค่กลางห้องโถงกลับถูกคุณหญิงรตีทักท้วงเอาไว้ก่อน ด้วยเพราะความใจร้อนอยากพูดคุยเรื่องที่นัดแนะกันไว้ให้มันจบๆ ไป จะได้สบายใจคนแก่วัยทอง
“พ่อเมฆ แล้วไหนล่ะ? ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนน่ะ ไม่ได้เจอเขามานาน ตั้งแต่ยังเรียนอยู่มัธยมปลายที่เดียวกับตาอิ่ม ตอนนี้คงโตเป็นหนุ่มพร้อมรับช่วงต่อจากพ่อแล้วสิท่า”
“เอ่อ...” เมฆามีท่าทีลำบากใจนิดหน่อย ยำเกรงในความเจ้ากี้เจ้าการของคุณหญิงรตี กลัวว่าถ้าบอกไปว่าเจ้าลูกชายยังมาไม่ถึงด้วยความเกเรของมัน คุณหญิงคงได้ตัดคะแนนมันเข้า จึงเลือกเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน “หลานอุ่นล่ะ เป็นยังไงบ้าง ปีอะไรแล้วนะ?”
“ปีสองแล้วค่ะคุณอา” อุ่นยิ้มสวย พลางเดินมาคล้องแขนคุณป้าเพื่อช่วยพยุงไปในตัว
“ไม่ถามผมบ้างเหรอครับคุณอา?” คนไม่มีบทนึกอยากจะมีบทขึ้นมาบ้างเอ่ยแทรกด้วยความขี้เล่น
เมฆายิ้ม ทำทีกวาดตามองคนถามตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาดูชื่นชมหลานชาย คนนี้ไม่น้อย
“ว่าไงเรา เจ้าอิ่ม เอ...ไม่สิ เดี๋ยวนี้ต้องเรียกว่า นักเรียนนายร้อยตำรวจธารา อยู่ปีสองแล้วสินะเรา”
“ครับผม อีกไม่กี่เดือนก็ขึ้นปีสามแล้วครับ”
“เรียนอีกสองปีสินะ จบแล้วจะลงที่ไหนกันล่ะ?”
“ผมว่าจะลง สภ. ทางใต้ครับ”
“ตาอิ่ม! หยุดเลยนะ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกคิดได้เลย ดูซิตาเมฆยังไม่ทันจบก็คิดจะไปเสี่ยงอันตรายที่ชายแดนแล้ว”
คุณหญิงรตียกมือขึ้นทาบอก เรื่องนี้เป็นประเด็นให้ได้ทะเลาะกันอยู่ตลอด เธอไม่เห็นด้วยเลยสักนิดที่หลานชายมุทะลุ กินอุดมการณ์ประทังชีวิต
ชาติตระกูลก็ไม่ใช่เล็กๆ มีเส้นมีสายใหญ่โต หางานในกรุงเทพได้สบาย นี่อะไร...จะลงใต้ปะทะกับพวกโจรบ้านป่าเมืองเถื่อน อันตรายไม่ใช่เล่นๆ ชีวิตหลานชายทั้งคน เธอจะไม่ยอมให้เจ้าอิ่มไปเสี่ยงแน่ๆ
“ป้าห้ามผมไม่ได้หรอก” อิ่มตัดบท เขาจะไม่ยอมให้ใครมากะเกณฑ์อนาคตของเขานอกจากตัวเองแน่นอน
คุณหญิงรตีทำท่าจะดุด่าหลานชาย หากแต่ถูกเสียงกระแอมไอ และสายตาปรามจากนายพลสุพรตเสียก่อน ทั้งคู่ถึงได้ทำหน้าปั้นปึ่งมองกันไปคนละทาง
“ผมขอตัวไปหาอะไรทานก่อนนะครับ สุดที่รักไปกับพี่” ขืนอยู่นานกว่านี้ พาลจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกเอา
สุดที่รักรีบพยักหน้า ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไปยังซุ้มอาหารด้านหนึ่ง
เป็นจังหวะเดียวกับการปรากฏกายของคนสำคัญในงานวันนี้ ซึ่งจงใจมาสายแสดงตัวเยี่ยงคนไม่เอาไหน
ชายหนุ่มร่างสูงก้าวขายาวเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้างานด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ยิ่งสวมใส่ชุดสูทสากลพอดีตัว กว้างขวาง ศิริไพศาลยิ่งน่าจับตามองเป็นที่สุด หากจะเป็นอะไรที่ขัดตาไม่เข้ากัน นั่นคงมีเพียงใบหน้าหล่อเหลาที่ปรากฏร่องรอยบวมช้ำบริเวณโหนกแก้มและมุมปาก แต่ถึงอย่างนั้นบุตรชายนักธุรกิจชื่อดังก็ยังคงดึงดูดสายตาสาวน้อยสาวใหญ่อยู่ดี และชายหนุ่มเองก็รู้ตัวด้วยว่าตนเองดูดีและกำลังถูกใครต่อใครจับตามอง จึงเพิ่มเติมเสริมหล่อด้วยรอยยิ้มละไม หากแต่มีแววเพลย์บอยประดับใบหน้าเรียกร้องให้ลูกสาวท่านนักธุรกิจทั้งหลายแหล่จับจ้องมากขึ้น หลานสาวท่านทูตซึ่งยืนเยื้องไปเล็กน้อยถึงกับหน้าแดง ใจสั่น หากแต่ยังไว้กิริยาทัน ส่งสายตาทักทายด้วยจริต ทว่ากลับต้องถูกดับฝันเล็กๆ เพราะนอกจากชายหนุ่มสุดหล่อที่ทุกคนต่างหมายปอง ดันมีใครอีกคนก้าวมาหยุดยืนเคียงข้าง...
กว้างขวางหันมาส่งสายตาเชื้อเชิญให้หญิงสาวด้านข้างนำมือมาเกาะแขนตน เวลานี้เขาไม่อาจสนใจผู้หญิงอื่นใดได้ นอกจากแฟนสาวหุ่นอวบอัดเซ็กซี่ด้วยชุดเกาะอกสีแดงสดปักเลื่อมประกายล้อแสงไฟ เขาละความสนใจจากทุกสายตารอบบริเวณเพื่อให้ความสำคัญกับจุดประสงค์ในการปรากฏกายยังงานในวันนี้
ลูกชายนักธุรกิจดังเวลานี้กำลังเปิดฉากละครสำคัญให้ตัวเอง
“ตื่นเต้นไหม?” ชายหนุ่มเอนกายกระซิบข้างใบหูแฟนสาว
“นิดหน่อยค่ะพี่กว้าง มายด์ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ มายด์ดีใจจริงๆ” ไอดอลสาวเอ่ยเสียงสั่นติดประหม่า ดวงตาเป็นประกายยามสอดส่ายสายตามองไปรอบงาน มีแต่คนในวงการไฮโซซึ่งเธอคุ้นตาเป็นอย่างดี แต่ไม่มีบุญวาสนาได้ ทำความรู้จักคนเหล่านี้
แต่วันนี้จะเป็นวันที่เธออยู่เหนือกว่าคนพวกนั้น เพราะบารมีของผู้ชายซึ่งกำลังยืนเคียงข้างคนนี้
“มายด์เป็นแฟนพี่ มีอะไรบ้างที่พี่ทำให้ไม่ได้ เดี๋ยวพี่จะพามายด์ไปทำความรู้จักกับพ่อแม่ ไม่ต้องเกร็งนะคะ พ่อแม่ของพี่เป็นคนหัวสมัยใหม่ พิธีรีตองไม่ต้องมาก พวกเขาจบนอก วัฒนธรรมง่ายๆ”
มายด์พยักหน้าหงึกหงัก พลางเหลือบมองแฟนหนุ่มอย่างเชื่อฟัง
หลังกระซิบกระซาบกันเสร็จ ลูกชายเจ้าของงานจึงพาหญิงสาวออกเดินด้วยการโอบไหล่แนบแน่น ดูไม่เหมาะเท่าไหร่นัก ฝ่าสายตาทุกคู่ไปกลางงาน ชายหนุ่มแค่นยิ้มเมื่อมองเห็นบิดาซึ่งยืนมองเขาตาแทบถลนท่ามกลางวงล้อมคนของธารามาลา เขาไม่รู้ว่าทำไมงานเลี้ยงวันนี้ถึงมีทั้งคุณอาและคุณน้า รวมไปถึงคุณหญิงป้าไอ้อิ่มด้วย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องหาคำตอบในตอนนี้
การกระทำของเขาต่อจากนี้ต่างหากล่ะ คือคำตอบที่มีให้คนเป็นพ่อ
กว้างขวางเดินสง่าเผยท่าทีสบายอารมณ์ แสร้งส่งรอยยิ้มหล่อเหลาไว้มาดให้ทุกคนตรงหน้า เสี้ยวหนึ่งปรายตาคล้ายเย้ยหยันใส่คนเป็นพ่อ กระทั่งสุดท้ายสายตาพลันสบเข้ากับร่างใครอีกคนซึ่งยืนถือจานอาหารอยู่ที่ด้านหนึ่งของงานพร้อมกับไอ้อิ่มเพื่อนสนิท ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อยจนเผยท่าที รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า
มาได้ยังไง...