“น้ำผิง”
ขวับ!
“อะไร?”
“พี่ไม่เคยคิดจะทำอย่างที่เรากล่าวหา แต่เอาล่ะ ในเมื่อเราฝังใจว่าพี่ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้พี่จะทำให้ดูว่าถ้าคนอย่างพี่เลว...เลวของจริงมันเป็นยังไง”
“...”
“หมดธุระแล้วก็เชิญครับพี่จะทำงาน” ในขณะที่ฉันกำลังอึ้งกับคำพูดและเริ่มตัวสั่นด้วยความโกรธเขาก็เอ่ยปากไล่
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ” ฉันพูดออกมาช้า ๆ สายตาก็จ้องเขาที่กำลังจะทำงานต่อและทำเหมือนฉันไม่ได้มีค่ามีความสำคัญอะไรในห้องนี้แล้ว พอฉันพูดออกไปเขาก็มองฉันอีกครั้ง
“เชิญครับ”
“...คิดจะแก้แค้นแทนแม่ตัวเองเหรอ?” รู้ไหมว่าทั้งชีวิตต่อให้ฉันจะพูดจาแย่กับแค่ไหนแต่ฉันไม่เคยพูดเรื่องนี้ออกมาเลยจนกระทั่งวันนี้นี่ล่ะ แล้วพอพูดฉันก็เห็นายตาเป็นประกายความโกรธจากสายตาคู่นั้น
“...”
“ว่าไง? คิดจะแก้แค้นแทนแม่ตัวเองเหรอ?”
“น้องผิงควรออกไปถ้าหมดธุระสำคัญแล้ว” เหอะ! เกลียดคำพูดประดิดประดอยจัง
“ผิงถามว่าพี่เมฆคิดจะแก้แค้นแทนแม่ของพี่เมฆใช่ไหม!”
“...อย่ามาคิดแทนพี่” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมา เขาไม่แสดงอาการอะไรออกมาทางสีหน้าแล้วนอกจากสีหน้าเรียบนิ่ง ฉันล่ะทึ่งความสามารถในการเก็บอารมณ์ของผู้ชายคนนี้จริง ๆ ก็อย่างว่าล่ะคิดจะทำการใหญ่ใจมันต้องนิ่ง แถมสิ่งที่เขาทำถ้าแลกกับการเก็บอารมณ์ส่วนตัวไว้มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เงินกี่หมื่นล้านล่ะที่จะได้ถ้าทำสำเร็จ
“หึ!”
“เชิญครับ”
“ไม่เหนื่อยเหรอ?”
“...เชิญครับ”
“น่าสงสารเนอะ พยายามแก้แค้นแทนแม่ตัวเองทั้งที่แม่พี่... / พี่ไม่มีแม่!” ฉันถูกเขาตะโกนแทรกออกมาจนลั่นห้องทำให้ฉันสะดุ้งตัวด้วยความตกใจ
“จะดูถูกอะไรพี่ก็ดูถูกไปน้ำผิงแต่อย่าดูถูกว่าพี่แก้แค้นแทนใครเพราะคนที่พี่ตายแทนได้คือคุณพ่อคุณแม่ของเรา!”
“...”
“เชิญครับ” เขาเอ่ยด้ยคำพูดสุภาพแต่น้ำเสียงแข็งกระด้าง แล้วนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉัน...รู้สึกกลัวเขา
ฉันรีบหันหลังเดินไปที่ประตูอีกครั้งทันที
“เดี๋ยว”
“...อะไร” ฉันไม่ได้หันกลับไปแต่แค่หยุดแล้วถามสั้น ๆ
“น้องผิงไม่อยากฝึกงานตำแหน่งนั้นก็ไม่ต้องทำ” คำพูดของเขาทำให้ฉันหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง
“พูดจริงใช่ไหม?”
“ครับ”
“ดี ขอบคุณค่ะ” อย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องดี ๆ เลยจำใจขอบคุณเขาแบบแกล้ง ๆ
“ไม่เป็นไร วันจันทร์หน้าน้องผิงเตรียมฝึกงานตำแหน่งผู้ช่วยพี่ให้ดีก็พอ”
“อะไรนะ!” ฉันตกใจยิ่งกว่าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ตอนแรกให้ฝึกงานตำแหน่งผู้ช่วยของเลขาเขาแต่ตอนนี้มาบอกว่าให้ฝึกงานตำแหน่งผู้ช่วยของเขานี่นะ!
“พี่รู้ว่าน้องผิงได้ยินชัดเจน เชิญครับ” เขาไล่เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้แถมครั้งนี้ยังผายมือออกมาด้วย
“นี่มันแกล้งกันชัด ๆ เลย!” ฉันขึ้นเสียงแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มมุมปาก
“ไม่พอใจก็หาทางดิ้นรนเปลี่ยนตำแหน่งได้เลยแต่ตอนนี้ออกไปซะภริตา พี่ต้องการทำงาน”
“...” ฉันยืนกำมือตัวเองจนแน่น มือสั่นไปหมดแต่สุดท้ายก็ต้องสะบัดหน้าเดินออกมา!
คอยดูนะเมฆา! ไม่นายก็ฉันต้องตายกันไปข้าง!
-อาทิตย์ต่อมา-
“อ้าวคุณเมฆ เห็นเด็กบอกว่าคุณเมฆสั่งไว้ว่าวันนี้จะรับอาหารเช้าที่นี่เหรอคะ” ป้าแก้วเห็นผมเดินเข้ามาในบ้านใหญ่แต่เช้าก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ครับ น้องผิงล่ะครับป้าแก้ว” ผมไม่ได้มากินข้าวเช้าที่นี่เป็นอาทิตย์แล้วครับ ตั้งแต่วันที่มีคนหนีออกจากบ้านแต่เช้าเพราะไม่อยากเจอหน้าผม ผมก็ไม่มากวนอีกแต่ขอให้คนเอาอาหารเช้าไปให้ที่บ้านผมแทน แต่วันนี้ผมเลือกมากินข้าวเช้าที่นี่แล้วก็ถามหาคนที่ผมไม่ได้เจอหน้ามาหลายวันตั้งแต่วันที่มีปากเสียงกันในห้องทำงานของผม
“เมื่อกี้เห็นแม่มี่เขาวิ่งเอารองเท้าไปให้เลือกอยู่นะคะ อีกสักพักคงลงมาแล้วค่ะ”
“ครับ ถ้างั้นผมไปรอที่ห้องอาหารนะครับ อย่าบอกล่ะว่าผมอยู่” ผมเอ่ยประโยคหลังป้าแก้วก็ทำได้แค่ยิ้มอ่อนก่อนที่ผมจะเดินไปที่ห้องอาหาร นั่งรอไม่นานก็ได้ยิงเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามา
“...เฮ้อ~” เดินเข้ามาเห็นผมก็แกล้งพ่นลมหายใจทำหน้าเบื่อหน่ายออกมาก่อนจะหมุนตัวหันหลังช้า ๆ
“กลับมานั่งกินข้าวเช้าซะน้องผิง” ผมเอ่ยออกไปน้ำผิงที่หมุนตัวไปได้ครึ่งหนึ่งก็หันหน้ากลับมามอง
“อย่ามาสั่ง”
“มากินข้าว”
“บอกว่าอย่ามาสั่ง”
“ถ้างั้นพี่จะระงับบัตรเครดิตที่น้องผิงเอาของพี่ไป”
“...” ทางนั้นจะอกแตกตายแล้วมั้งครับ แต่คงรู้ดีว่าระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่ของตัวเองไม่อยู่สถานะทางการเงินของตัวเองไม่มั่นคงแค่ไหนสุดท้ายเลยยอมเดินกลับมานั่ง แต่นั่งที่ปลายอีกฝั่งของโต๊ะซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรขอแค่กินข้าวให้เรียบร้อยไม่เสียเวลาแม่บ้านทำให้แต่เช้าก็พอ
“ถ้าคุณพ่อคุณแม่กลับมาผิงจะขอบัตรท่านใหม่สักสิบใบ แล้วจะเอามาโยนใส่หน้าพี่เมฆให้หมด!”
“ครับ” ผมแค่พยักหน้ารับแล้วหันไปพยักหน้าเรียกให้แม่บ้านเอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟ พอหันกลับมาก็เห็นคุณหนูบ้านนี้นั่งจ้องผมด้วยความโมโห
หึ ๆๆ วันนี้ยอดบัตรเครดิตของผมพุ่งเป็นล้านแน่ ๆ
“กินซะ วันนี้ไปทำงานวันแรกต้องเรียนรู้งานอีกเยอะ”
“ไม่ต้องมาสั่ง”
“พี่อนุญาตให้น้องผิงพูดคำนี้ได้แค่ที่บ้าน แต่เมื่อไหร่ที่อยู่ในเวลาฝึกงานอย่าพูดให้ตัวเองดูไร้กาละเทศะเด็ดขาด”
“พี่เมฆ!” น้ำผิงตวาดใส่แต่ผมแค่มองเธอนิ่ง ๆ
“กินข้าวจะได้ไปทำงาน” ผมไม่ต่อล้อต่อเถียง พูดจบก็กินข้าวของตัวเองเงียบ ๆ ในขณะที่อีกคนไม่แตะอะไร
“กินข้าวครับน้องผิง”
“...ผิงเกลียดพี่เมฆ”
“พี่รู้ ถ้าเกลียดก็กินจะได้มีแรงไปเรียนรู้งาน เราก้าวช้ากว่าพี่มา 5 ปี ไม่กินข้าวไม่มีแรงเอาบริษัทคืนจะมาโทษพี่อยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้นะ”
“...” น้ำผิงจ้องผมด้วยความโกรธก่อนจะยอมกินข้าวด้วยอาการกระแทกกระทั้น ผมเองก็นั่งรอจนเธอกินข้าวหมดรวมถึงดื่มกาแฟเรียบร้อยถึงได้ลุกขึ้น
“เรียบร้อยก็ไปกันได้แล้วครับ”
“อะไร? หมายความว่ายังไง”
“น้องผิงต้องไปบริษัทพร้อมพี่”
“ไม่มีทาง ผิงมีรถของผิง”
“พี่รู้”
“ถ้างั้นคราวหลังก็...พี่เมฆ!” น้ำผิงกำลังเชิดหน้าพูดแต่พอเห็นสิ่งที่ผมชูในมือเธอก็ตะคอกชื่อผมออกมา
“ไปคันเดียวกัน จะไปรถเราหรือรถพี่ก็เลือกเอาพี่ขับให้ได้หมด”
“เพื่ออะไร! อยากประกาศให้คนรู้เหรอว่าตัวเองอยากได้อะไร!”
“พี่ไม่เคยประกาศ มีแต่น้องนั่นแหละที่ประกาศแทนพี่มาตั้งนานแล้ว”
“...”
“เลือกครับ คันไหนก็ได้ในบ้านนี้เพราะพี่มีกุญแจรถทุกคัน”
“...จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม?”
“ไปที่รถกันได้แล้วก่อนที่จะสาย ไปรถน้องผิงแล้วกันรถพี่จอดไกล”
“...” น้ำผิงจ้องผมแต่ไม่ยอมขยับ แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าเธอกำลังต่อต้าน
“วันนั้นมีแค่เอื้องเห็นว่าเราสองคนใกล้กันแค่ไหน วันนี้อย่าบังคับให้พี่ต้องทำให้คนเห็นกันทั้งบ้านด้วยการต่อต้านพี่” ผมเอ่ยออกไปเธอก็ยิ่งโกรธแต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นแล้วเดินกระแทกส้นเท้านำหน้าผมออกไป
...ผมไม่คิดจะเลวใส่น้ำผิงเลยสักครั้ง แม้แต่คิดก็ยังไม่เคย แต่ถ้าเอาไม่อยู่ก็คงต้องใช้วิธีนี้
-เวลาต่อมา-
“ไหนโต๊ะทำงานผิง” พอเดินมาถึงหน้าห้องทำงานน้ำผิงก็หันซ้ายหันขวามองหาโต๊ะทำงานตัวเองจากนั้นก็หันไปถามนิชาเลขาของผมทันทีแต่นิชาไม่ได้ตอบนอกจากหันมามองผม
“อยู่ในห้องพี่”
“อะไรนะ!”
“เตรียมเอกสารประชุมเสร็จรึยัง ถ้าเรียบร้อยแล้วเอาเข้าไปให้ผมได้เลยนะครับ” ผมหัยไปบอกนิชาแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานทันที
“พี่เมฆ!” เสียงของน้ำผิงดังไล่หลังแต่ผมไม่หยุดฟัง ผมเข้ามาในห้องทำงานได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีน้ำผิงก็ตามเข้ามา
“ย้ายโต๊ะทำงานของผิงออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้”
“ไม่ได้ นั่งข้างนอกก็ต้องทำตำแหน่งผู้ช่วยนิชา น้องผิงบอกว่าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำพี่ไม่บังคับอยู่แล้ว”
“ผิงทำ วันนี้ผิงเต็มใจทำแล้ว”
“เสียใจด้วยครับ นี่คือชีวิตจริงของการทำงาน พี่ไม่มีเวลามาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหรอก เชิญนั่งที่โต๊ะเดี๋ยวนิชาจะเข้ามาอธิบายงานให้ฟัง”
“...” เธอยืนจ้องแต่ผมไม่ได้สนใจต่อ ผมนั่งลงแล้วเปิดแฟ้มดูงานของตัวเองทันทีจนกระทั่งในที่สุดเสียงกระแทกของรองเท้าส้นสูงก็ดังขึ้นแล้วก็ไปหยุดที่โต๊ะทำงานที่อยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของผมแค่ 3 เมตรเท่านั้น
หึ ๆๆ ได้แก้เผ็ดเด็กเอาแต่ใจถึงจะปวดหัวรบกวนเวลางานไปบ้างแต่ก็มีความสุขดีเหมือนกันนะครับ
...ขอโทษป๊ากับมี๊ด้วยนะครับ ผมคงต้องกลืนน้ำลายของตัวเองแล้ว