พรหมแห่งรัก100%

1830 Words
รถยุโรปสัญชาติเยอรมันของราชนิกุลหนุ่มเคลื่อนตัวออกจากตึกใหญ่ไปตามเส้นทางที่สองฝั่งริมทางขนาบข้างด้วยต้นสนเรียงราย ความสูงลิ่วที่โน้มตัวเข้าหากันจนกลายเป็นซุ้มทอดยาวจนเกือบถึงหน้าประตูวัง ภายใต้ความร่มรื่นของไม้ประดับต้นสูง สายตาหม่อมราชวงศ์หนุ่มเหลือบมองไปเห็นซุ้มไม้ประดับตัดแต่งเป็นทรงกลมเว้นช่องว่างไว้ตรงกลาง ภาพเด็กหญิงตัวน้อยสองแก้มแดงปลั่งเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่นั่งคุดคู้ร้องไห้อยู่ในนั้นอย่างน่าสงสาร ยัยหนูเล็กของป้าวาดจันทร์… ความทรงจำเมื่อครั้งอดีตผุดขึ้นมา ก่อนถูกเก็บไว้ที่เดิมหรือลอยหายไปกับสายฝนฉ่ำ ยากที่ใครจะรู้… เพียงแค่รถเคลื่อนผ่านประตูออกไป เสียงเซ็งแซ่และความวุ่นวายภายในห้องผู้ป่วยวิกฤติหนัก ถูกเปลี่ยนเป็นบรรยากาศตรงกันข้ามเมื่อเดินผ่านเข้าไปยังห้องด้านในสุดของปีกตึกอีกฝั่งซึ่งอยู่ตรงกันข้าม ภายใต้ห้องแคบซึ่งแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนชัดเจนโดยใช้ม่านสีฟ้ากั้น นักศึกษาแพทย์กลุ่มใหญ่ที่ยืนล้อมรอบเตียงกำลังให้ความสนใจกับคนไข้และรูปอัลตร้าซาวด์ของหัวใจบนจอมอนิเตอร์ “ลองคลำดูตรงนี้” เสียงของอาจารย์หนึ่งเดียวในวงเอ่ย กดมือลงไปเป็นตัวอย่างขณะอธิบาย “การดูหลอดเลือดดำที่คอ ต้องดูทั้งลักษณะและความสูง เห็นไหม เส้นเลือดดำตรงนี้” เขาชี้ไปยังเส้นเลือดดำบริเวณต้นคอที่เต้นขึ้นลงตามจังหวะการเต้นของหัวใจอยู่ใต้ผิวหนัง “คนไข้ไม่ต้องเกร็งนะครับ” นายแพทย์หนุ่มบอกกับคนไข้ นิ้วมือคลำลงไปเป็นการสาธิต แล้วอธิบาย “เส้นเลือดนี้จะพาดผ่านบริเวณสามเหลี่ยมที่เกิดจาก sternocleidomastoid ทั้งสองมัด คราวนี้ดูการเต้นของหัวใจว่าเป็น AV wave หรือเปล่า” มือของอาจารย์ถอยห่างออกมาเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาแพทย์ฝึกหัดได้ลองหัดตรวจบ้าง โดยมีเขาเป็นผู้ควบคุมอย่างใกล้ชิด การเรียนการสอนแบบกลุ่มข้างเตียงคนไข้ดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ผ่านไปร่วมหนึ่งชั่วโมง ทั้งแพทย์ประจำบ้าน และนักศึกษาแพทย์จึงทยอยเดินออกมา บ้างจับกลุ่มอภิปรายถึงประเด็นที่ได้เรียนไปเมื่อครู่ ธนาธิปอยู่คุยกับคนไข้และญาติถึงแนวการรักษาพักใหญ่ หลังจากนั้นจึงเดินออกมาฟังข้อสรุปจากแพทย์ประจำบ้านที่กำลังจับกลุ่มกันวิเคราะห์ผลอัลตร้าซาวด์หัวใจบนจอคอมพิวเตอร์ในห้องพักแพทย์รวมของภาควิชา เพราะเป็นเคสที่พบไม่บ่อย จึงต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการหาทางเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุด เขาแยกตัวเดินออกมาหลังจากทิ้งหลายคำถามไว้ให้แพทย์ในทีมเอาไปคิดเป็นการบ้าน “วันนี้ดูคึกคัก มีอะไรกัน” เป็นคำเปรยคล้ายหาเรื่องคุยไปอย่างนั้น พยาบาลร่างท้วมวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมาจากเคาน์เตอร์ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของภาควิชา ยิ้มตอบขณะยื่นแฟ้มประวัติคนไข้ให้นายแพทย์หนุ่ม “เคสวิจัย ทำ echo เทสยาขยายหลอดเลือดค่ะ” การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงเพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ ชื่อเต็มเป็นภาษาอังกฤษว่า Echocardiogram แต่ถูกเรียกสั้นๆ ว่า echo เป็นที่เข้าใจกันของคนในวงการ นายแพทย์หนุ่มได้รับคำอธิบายถึงรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งเขาพอรู้คร่าวๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว คนฟังพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้เรียบๆ หันไปมองความวุ่นวายภายในห้องเล็กซึ่งถูกเซ็ตให้เป็นพื้นที่เตรียมคนไข้และเปิดเส้นเพื่อเจาะเลือดและให้ยาชั่วคราวซึ่งอยู่อีกฝั่ง แล้วจึงก้มลงไปสั่งการรักษาให้คนไข้ของตัวเองต่อ ทว่าไม่กี่นาทีต่อมา โครม!! เสียงเก้าอี้ล้มกระแทกพื้นโครมใหญ่ ดึงความสนใจของทุกคนในห้องให้หันกลับไปมอง โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้ที่สุด เร็วเท่าความคิด ธนาธิปเอื้อมมือไปรั้งเอวบางของเจ้าของใบหน้าซีดเผือดในชุดนิสิตไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้นเสียก่อน “คุณ!!” …แต่ราวคนในอ้อมแขนไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกคน ชายหนุ่มรีบช้อนร่างอ่อนแรงขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก้าวยาวๆ อุ้มพาไปไว้บนเตียง “พยาบาลวัดความดัน แล้วขอหูฟังให้ผมหน่อย” เหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนบนเตียงมือเท้าเย็นชืด ดวงหน้าใสไร้สีเลือดหลับตาแน่น นายแพทย์หนุ่มวางหูฟังเพื่อตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ “พอรู้สึกตัว ได้ยินหมอไหมครับ” คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบ แต่เขารับรู้ได้ว่าเจ้าของลมหายใจกระชั้นยังพอรู้สึกตัวจากอาการประท้วงเล็กน้อยตอนพยาบาลเอื้อมมือไปปลดกระดุมเม็ดบนของคอเสื้อลงมาและหลังจากนั้น “คุณหมอจะให้ถอดเข็มออกเลยไหมคะ เหมือนน้องเขาจะเป็นลมเพราะกลัวไม่คิดว่าต้องเปิดเส้นแล้วค้างเข็มไว้เลยแบบนี้” “ไม่ต้องครับ เผื่อให้น้ำเกลือจะได้ไม่ต้องเจาะใหม่” …อาจมีสักสอง สาม หรือไม่ก็สี่คนล้อมรอบตัวเธอตอนนี้ไม่อาจรู้ หัวใจที่เต้นแรงก่อนหน้ากลับเปลี่ยนเป็นจังหวะช้าลงจนน่าใจหาย เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าผาก กุลญาดาเบ้หน้าหนีกลิ่นแอมโนเนียฉุนที่ลอยมากระทบจมูก “พยายามหายใจลึกๆ ไว้นะ” เสียงจากคนเดิมเรียกสติเธอให้พยายามทำตามที่เขาบอก สาวน้อยสะดุ้งเล็กน้อยตอนความเย็นยะเยือกถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอุ่นร้อนที่แตะลงบนข้อมือ ทว่าเมื่อพยายามลืมตาขึ้นมอง… ความรู้สึกคล้ายทุกสิ่งรอบตัวกำลังจะมืดลง ทำให้เธอปรับโฟกัสได้แค่เพียงแววตานิ่งสงบบนใบหน้าเคร่งขรึมทว่าทำให้รู้สึกปลอดภัยได้อย่างน่าประหลาด กุลญาดารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมความรู้สึกว่า ‘ปลายเข็มแหลมที่เจาะลงไปในเส้นเลือดตรงหลังมือ’ ต้นเหตุที่ทำให้เธอเป็นลมล้มพับยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน ตัวเธอยังอยู่ในชุดนักศึกษาเหมือนเดิม แต่ไม่ได้อยู่ในห้องเล็กๆ อึดอัด มากด้วยเครื่องมืออุปกรณ์อะไรต่อมิอะไรไม่รู้แสนน่ากลัวอีกแล้ว แต่เป็นห้องพักฟื้นที่มีขนาดใหญ่กว่า อย่างน้อยก็ยังดี… หญิงสาวลอบถอนหายใจ ขณะช้อนตาขึ้นมองน้ำเกลือในขวด คำนวณเวลาจากระดับน้ำเกลือที่ลดลงไปเกือบครึ่ง มองสภาพตัวเองแล้วล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง กุลญาดาเผลอหลับไปอีกรอบ ก่อนสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ พี่สาวของครองขวัญโทรมาไถ่ถามอาการและขอโทษที่พาเธอมาทำให้เดือดร้อน หญิงสาวไม่ติดใจ แต่ที่ทำให้เธอเป็นกังวลคือน้ำเสียงเศร้าผิดปกตินิสัยร่าเริงของพี่สาวเพื่อน เสียงเคาะเป็นสัญญาณเรียกกุลญาดาให้เบนสายตาไปยังบานประตูที่ถูกเปิดเข้ามา นัยน์ตากลมฉายแววประหม่าในวูบแรกที่เห็นเสี้ยวหน้าของคนที่มาเยี่ยม ก่อนพยายามปรับให้เป็นปกติมากที่สุด วูบสุดท้ายของความรู้สึกแม้จะเลือนราง แต่เธอก็จำได้ว่าเจ้าของหน้านิ่งๆ ตาดุๆ นั้นเป็นใคร ไม่น่าเลย ไม่รู้ว่าจะโทษใครกันแน่ ระหว่างความช่างคะยั้นคะยอของพี่สาวเพื่อนกับความใจอ่อนไม่ดูจุดอ่อนของตัวเอง คนป่วยขยับตัวเตรียมลุกขึ้นนั่ง ทว่ากลับถูกเจ้าของร่างสูงที่เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงสั่งทางสายตาให้นอนลงไปตามเดิมเสียก่อน “สวัสดีค่ะ” กุลญาดาประนมมือไหว้ เธอรู้จักเขาดี แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจะจำเธอได้หรือรู้จักเธอด้วยหรือเปล่า สถานะปนเปทำให้ไม่รู้จะต่อท้ายคำทักทายเขาว่าอย่างไร คุณหมอ คุณชายหรือว่าอาจารย์… “เป็นยังไงบ้าง” “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ” คำตอบของเธอ กุลญาดาเห็นเขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับ หญิงสาวนอนนิ่งๆ ให้พยาบาลวัดความดันและนายแพทย์หนุ่มประเมินอาการ “ยังรู้สึกมึนหรือเวียนหัวอยู่หรือเปล่า” คนป่วยส่ายหน้า มองมือใหญ่ที่ทำทุกอย่างได้อย่างเบามือและนิ่งยื่นหูฟังกลับคืนให้พยาบาล พยักหน้ารับคำเมื่อเขาหันมาพูดกับเธอ “หมดน้ำเกลือขวดนี้ ผมอนุญาตให้กลับบ้านได้ เดี๋ยวอีกสักพักพยาบาลจะเอายาเข้ามาให้ เป็นพวกยาบำรุง” …เป็นความเงียบที่ปกคลุมทั่วห้องร่วมครึ่งนาที หลังจบคำพูดของเขา พยาบาลเดินออกไป นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าจากแฟ้มประวัติคนไข้ที่เพิ่งเขียนสั่งการรักษาลงไปเงยหน้าขึ้นมอง สายตาคนป่วยเหมือนมีเรื่องสงสัยและอยากจะถาม “ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือมีอะไรสงสัยอยากจะถามผมก่อนกลับหรือเปล่า” “…” “หรือมีสอบอะไร ผมจะได้ออกใบรับรองแพทย์ให้” ท่าทางอึกอักจะพูดก็ไม่กล้าพูดสักทีของคนตรงหน้า เขาเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้ แต่ทว่า… “แก้มขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องวุ่นวายกันไปหมด ที่ทำให้คุณหมอต้องเดือดร้อน” ในที่สุดกุลญาดาก็เลือกได้ว่าจะใช้สรรพนามคำไหนเรียกแทนตัวเขา แม้พี่สาวครองขวัญซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการจะคะยั้นคะยออย่างไรก็คงไม่สำเร็จถ้าตัวต้นเหตุหลักอย่างเธอไม่ยอมใจอ่อนตามไปด้วยโดยไม่ประเมินจุดอ่อนมากถึงมากที่สุดของตัวเองแบบนี้ เป็นคำตอบที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยิน ธนาธิปมองสองมือเล็กที่ประนมไหว้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นตัวบอกได้ดีว่าเธอประหม่าแค่ไหนที่ต้องเงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาคมที่ทำเพียงแค่มองมานิ่งๆ แววตาของเธอเหมือนเด็กทำผิดที่เตรียมตัวโดนรับการโดนดุอย่างเต็มที่ หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนปรับเป็นปกติภายในเวลาอันรวดเร็ว “นักศึกษาของผมคือคนที่ทำงานผิดพลาด ผมได้ดุและลงโทษเขาตามสมควรไปแล้ว” “…” “ส่วนคุณ กลัวเลือดกลัวเข็มแล้วไม่บอก เรื่องเดียวที่ผมจะดุ ไม่ใช่เพราะการที่ทำให้ผมหรือใครต้องเดือดร้อน แต่การเกรงใจคนอื่นโดยไม่คิดถึงตัวเอง ความผิดที่สุดของคุณคือข้อนี้ รู้ไหมกุลญาดา” …ถึงไม่บอกออกมาตรงๆ แต่คำพูดของเขาพาให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน ทว่าแววตาคู่นั้น เธอไม่อาจเดาได้ว่าเขาจำได้หรือไม่ “แล้วนี่จะกลับยังไง มีคนมารับหรือเปล่า” คำถามที่ได้ยิน เมื่อตอบเขาไปว่าที่บ้านจะมารับ สาวน้อยได้รับการตอบกลับเพียงการพยักหน้ารับรู้ ตากลมมองผู้ชายใจดีที่เธอจำได้ไม่เคยลืมเดินออกไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD