นายแพทย์หม่อมราชวงศ์ธนาธิป100%

1902 Words
กุลญาดาเซ็นชื่อลงบนกระดาษในช่องสำหรับผู้ร่วมงาน แล้วเดินตามเพื่อนผ่านซุ้มประดับตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้สดหลากสีเข้าไปในห้อง เก้าอี้บนชั้นลาดเอียงในห้องประชุมที่เต็มเกือบทุกตัว ทำให้หญิงสาวต้องกระชับหนังสือในมือด้วยความประหม่า รีบก้มหน้าก้มตาเดินตามเพื่อนไปยังเก้าอี้ที่ยังพอว่างอยู่เป็นสองที่นั่งสุดท้ายแถวเกือบบนสุด เสียงดนตรีหยุด พร้อมพิธีกรเดินออกมากล่าวเปิดงาน บรรยากาศโดยรวมเหมือนเป็นทางการ แต่ใบหน้าผู้ร่วมงานต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “นั่นไงคุณชายธนาธิป” เสียงกระซิบเบาๆ แต่แสดงอาการปลื้มจนออกนอกหน้าของครองขวัญทำให้กุลญาดาต้องละสายตาจากสิ่งที่กำลังให้ความสนใจเบนไปตามทิศทางที่เพื่อนพยักพเยิดหน้าบอก “หม่อมราชวงศ์ธนาธิป ธุวานนท์” กุลญาดามองตามสายตาเพื่อน แต่เพราะเขานั่งอยู่บนโซฟาตัวหน้าสุดตรงอีกฝั่งกับที่เธอนั่งอยู่ ระยะไกลจากด้านหลังไปจนเกือบถึงด้านหน้าสุดของห้องประชุมใหญ่ ทำให้เธอเห็นเพียงบ่ากว้างของเจ้าของแผ่นหลังตรงในชุดสูทสีเข้มที่โผล่พ้นพนักโซฟาขึ้นมาเท่านั้น เสี้ยวหน้าของเขาดูเรียบนิ่ง… เธอเห็นไม่ชัด แต่ผนวกเข้ากับแผ่นหลังตั้งตรงดูสงบและน่าหวั่นเกรง แม้อยู่หลังสุดแต่ยังรับรู้ได้ถึงรังสีที่พาให้คิดไปในทางนั้น เสียงระนาดเอกตีประกอบวงดนตรีไทยบรรเลงเพลงดาวดวงเดือนผสานเสียงไพเราะอ่อนหวานดึงความสนใจของสาวน้อยให้ละสายตาจาก ‘คุณชาย’ ไปที่ท่าทางอ่อนช้อยของนางรำ งานขอบคุณผู้อำนวยการของสถาบันซึ่งจะพ้นวาระ อาจเป็นเรื่องธรรมดาของใครหลายคน แต่สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อยสำหรับหญิงสาว นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอมีโอกาสได้มาเข้าร่วมงานแบบนี้ การแสดงจบลงหลังจากผู้แสดงเข้าไปมอบพวงมาลัยดอกไม้ให้กับคุณชาย กุลญาดาเห็นเขาโน้มตัวไปรับ แผ่นหลังตรงท่าทางยังนิ่งเรียบเหมือนเดิม “คุณชายนี่เป็นอาจารย์หรือเปล่า” “ใช่ เป็นอาจารย์ เก่งมากด้วย จบหมอจากฮาร์วาร์ดเชียวนะ โรงเรียนแพทย์เก่าแก่ในอเมริกาที่ติดอันดับหนึ่งของโลก” ทว่าก่อนจะได้กระซิบถามอะไรกันมากกว่านี้ เสียงพิธีกรเรียนเชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมายังด้านหน้าเวทีทำให้ทั้งสองต้องหันกลับไปให้ความสนใจ “คุณชายถือเป็นรุ่นน้องของผม ผมเจอคุณชายครั้งแรกตอนไปเทรนที่อเมริกา ไม่คิดว่าอีกไม่กี่ปีต่อมาจะต้องมาเป็นลูกน้องคุณชาย” คำพูดเย้าอย่างอารมณ์ดีนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งห้อง ยกเว้นคนมีชื่ออยู่ในประเด็นที่ยังนั่งตัวตรงหลังตึงเหมือนเดิม… “ทุกท่านคงทราบดีว่าสี่ปีที่แล้วสถาบันของเราเผชิญทั้งปัญหาภายในภายนอก ผมเครียด ทุกคนก็เครียด” อาจารย์ผู้รั้งตำแหน่งรองผู้อำนวยการของสถาบันมาหลายสมัยเอ่ยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ทว่าเนื้อเสียงแฝงความหมายในถ้อยคำ แววตาอย่างคนผ่านร้อนผ่านหนาวมามากชวนให้คนมองนึกถึงวันวาน “จนวันนั้นผมได้รับโทรศัพท์จากท่านอธิการว่าจะส่งคนหนุ่มคนเก่งคนหนึ่งมาให้…” ทั้งห้องประชุมเงียบ ตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้ซึ่งผูกพันกับสารพัดเรื่องราวในสถานที่แห่งนี้จะเล่าต่อ “ตอนที่ท่านอธิการเอ่ยชื่อ ผมบอกตรงๆ ว่าไม่คุ้น ไม่รู้เลยว่าเป็นใคร พร้อมความแปลกใจว่าผู้ชายอายุแค่สามสิบจะรับภาระงานที่อยู่ในสภาวะย่ำแย่อย่างนี้ไหวหรือ… แต่ตลอดหลายปีผ่านมา คุณชายก็พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่าอย่าดูถูกความสามารถของคนหนุ่ม” ถึงตรงนี้ ใบหน้าย่นลงตามประสบการณ์และกาลเวลาปรากฏรอยยิ้ม ท่านเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่เต็มเปี่ยมด้วยความศรัทธาและภาคภูมิใจต่อตัวบุคคลที่ร่วมฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกัน “แต่ก่อนเรามาขอแบ่งพื้นที่เขาอยู่ ตึกนี้เคยจะถูกยึดคืนจากคณะต้นสังกัด ก็เป็นคุณชายที่เข้าไปเจรจาด้วยตัวเองหลายต่อหลายหน จนสุดท้ายได้งบประมาณมาสร้างเป็นส่วนที่เป็นของเราเอง แต่พอเสร็จแล้ว ก็ยังไม่มีใครรู้จัก ต้องสร้างผลงานสร้างความน่าเชื่อถือกันอีก คุณชายเป็นคนนิ่ง แต่ทำอะไรเปิดเผยและตรงไปตรงมา ผมผ่านอะไรกับคุณชายมาเยอะมาก…” ท่านยังเล่าต่ออย่างชื่นชมถึงอีกหลายเรื่องราวที่หม่อมราชวงศ์หนุ่มลงไปลุยงานด้วยตัวเอง ทั้งในส่วนการรักษาคนป่วย งานสอนและงานวิจัยที่ถูกพัฒนาให้ก้าวหน้าไปพร้อมกัน กุลญาดาเหลือบตามองคนถูกชื่นชมเสียยกใหญ่ที่ยังนั่งตัวตรงหลังตึงไม่ขยับราวรูปปั้น ถึงไม่เห็นหน้าแต่เธอก็พอเดาได้ว่าสีหน้าของเขาคงเรียบสนิท หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังครื้นขึ้นมาจากคนในห้อง ทุกคนดูจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘เทพประธาน’ ที่รองผู้อำนวยการพูดทิ้งไว้ในประโยคปิดท้าย ก่อนคิ้วเรียวบนดวงหน้าใสจะค่อยๆ คลายลง จากคำอธิบายแกมหยอกของพิธีกร เทพประธานในความหมายที่ว่าคือ ‘ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยประธานเขามาให้ โดยไม่สนว่าคุณชายจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม’ แสงไฟในห้องถูกหรี่ลงจนกลายเป็นแสงสลัว วีดีโอภาพประกอบเพลง ‘ไม่เคย’ ที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญและแทนคำขอบคุณ กุลญาดามองภาพที่บางคนก็ร้องเพลงตาม บ้างก็เต้นประกอบบนโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่หน้าเวทีด้วยรอยยิ้ม แวบหนึ่งของความคิดเธอชักอยากเห็นหน้าชัดๆ ของ ‘คุณชาย’ ว่าจะดุแบบที่ตัวเองจินตนาการไว้หรือเปล่า เพราะเขาดูเป็นที่รักของทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา อาจารย์ด้วยกัน หรือลูกศิษย์ ในภาพที่ฉายผ่านยังมีครองขวัญและเพื่อนๆ เต้นประกอบเพลงเพื่อขอบคุณเขา “ถึงตัดเกรดโหดจนเด็กขวัญสยอง แต่ในภาควิชาหล่อสังหารอย่างคุณชายธิปใจดีที่สุดแล้วจะบอกให้” ครองขวัญเอี้ยวตัวมากระซิบบอก เพื่อนเธอดูจะเป็นเอามากจริงๆ แต่ฟังอย่างไรเธอก็ยังสรุปกับตัวเองได้ว่าสิ่งที่เพื่อนบอกเป็นตรรกะที่ไม่เข้ากันเลยสักนิด แสงไฟถูกเปิดสว่างตามเดิม บรรยากาศรอบห้องเต็มไปด้วยความผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด ในบรรดาภาพทั้งหมดกุลญาดายังขำไม่หายและยกให้ภาพสุดท้ายเป็น ‘ไอเท็มเด็ด’ รถยุโรปสีดำสง่าทรงอำนาจของคุณชายถูกผูกด้วยกระป๋องหลากสีไว้ข้างหลัง มันคงส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งไปตลอดทางที่เขาขับผ่าน ใครก็ช่างกล้าไปเล่นกับเขาได้แบบนี้… กุลญาดาคิดในใจอย่างสนุกแต่ไม่คิดสงสาร ดวงตาเป็นประกาย แต่ใบหน้าพยายามซ่อนรอยยิ้มไว้ ไม่อยากให้เพื่อนข้างๆ รวมถึงคนอื่นหันมาสงสัยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่านั่นเป็นแค่เสี้ยววินาที เจ้าของร่างสูง บ่ากว้าง หลังตรงในชุดสูทสีเข้มที่เดินออกไปด้านหน้าและหันกลับมา สีหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่ต่างจากที่เธอคิด แต่มีความรู้สึกบางอย่างฉายชัดกลับมาในความทรงจำที่ทำให้ลมหายใจหญิงสาวสะดุด “จริงๆ แล้วผมเป็นหมอ หน้าที่หลักคือรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เมื่อได้รับมอบหมายให้เข้ามาอยู่ตรงนี้ก็พยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ช่วงหนึ่งของชีวิตที่ได้มารับผิดชอบ ผมไม่เคยคิดว่าดีหรือไม่ดี…” แล้วอะไรต่อจากนี้ กุลญาดาไม่ได้ตั้งใจฟังอีกต่อไปแล้ว เธอกำลังมองให้แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า หม่อมราชวงศ์ ธนาธิป ธุวานนท์คือคนเดียวกับผู้ชายใจดีที่ช่วยเหลือเธอไว้ในครั้งนั้นใช่ไหม… ยิ่งมองหญิงสาวยิ่งแน่ใจในคำตอบที่มีให้กับตัวเอง แรงสะกิดจากเพื่อนเรียกคนกำลังมองตาไม่กะพริบให้หลุดออกจากภวังค์ ตามด้วยแรงจูงของเพื่อนอีกเช่นกันที่ดึงกุลญาดาเข้ามาต่อแถว จากชั้นบนสุดของสโลปขยับลงมาจนเกือบถึงหน้าห้อง สาวน้อยถือดอกกุหลาบที่เจ้าหน้าที่ยื่นส่งมาเพื่อให้ไปมอบแสดงความขอบคุณด้วยมือชื้นเหงื่อ ยิ่งขยับเข้าใกล้ยิ่งรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล หลายครั้งที่เธออยากขอตัวออกไป แต่ถูกครองขวัญรั้งเอาไว้เสียก่อน เพราะของที่ระลึกตามธรรมเนียมที่ราชนิกุลหนุ่มเตรียมไว้ให้กับทุกคนเป็นต้น ‘กุหลาบจิ๋ว’ เป็นกุหลาบในกลุ่มกุหลาบหนูเลี้ยงในขวดแก้วใส่วุ้นอาหารที่ครองขวัญอยากได้ไปเลี้ยงต่อมากกว่าหนึ่งต้น หัวแถวขยับเข้ามาจนถึงหญิงสาว กุลญาดาเดินไปหยุดตรงหน้า เมื่ออยู่ในระยะใกล้ เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองสูงแค่ระดับไหล่ของเขา แต่ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมองหน้ากัน แต่ให้ของแล้วไม่มองหน้าคนรับ จะไม่ดูเสียมารยาทไปหน่อยหรือ… กุลญาดายกมือไหว้ ตอนส่งดอกกุหลาบสีแดงไปให้แล้วเขายื่นมือมารับ ขนาดแค่การรับของมือนั้นยังดูนิ่งสงบและน่าเกรงขาม สาวน้อยกลั้นใจเงยหน้าขึ้นไปมองราชนิกุลหนุ่ม เขามองเธอ… เพียงเสี้ยววินาที หลังจากนั้นจึงหันไปรับขวดไม้ดอกมาส่งต่อให้ หญิงสาวยกมือไหว้อีกครั้งแล้วเดินออกมา ทั้งที่หัวใจยังเต้นแรงไม่หายเหมือนเดิม แต่เขาคงจำไม่ได้ เรื่องราวมันผ่านมากี่ปีแล้วเธอก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ทว่าความไม่แน่ใจกลับถูกย้ำเตือนให้ชัดเจนในความรู้สึก วิธีการปลูกกุหลาบหนู กุลญาดาอ่านวิธีการบนกระดาษที่แนบติดมากับขวดเนื้อเยื่อขนาดจิ๋ว ล้างวุ้นที่ติดมาตามราก เตรียมภาชนะปลูก ฉีดน้ำให้พอชุ่ม คลุมถุงพลาสติกเพื่อลดการคายน้ำของพืช แล้วตั้งทิ้งไว้หนึ่งสัปดาห์ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่คิดจริงจังกับเรื่องการปลูกต้นไม้ แต่เธอก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ หญิงสาวกอดอกมองเจ้าเบบี้โรสต้นเล็กที่ตอนนี้ถูกย้ายจากในขวดจิ๋วไปอยู่ในกระถางคลุมถุงพลาสติกเรียบร้อยด้วยใบหน้าระบายยิ้ม มือเรียวค่อยๆ ประคองมันเดินเอาไปไว้ตรงระเบียง แล้วเดินกลับเข้ามาในห้อง ก้มตัวลงเปิดลิ้นชักหนึ่งของตู้เสื้อผ้า เสื้อสูทตัวนี้อยู่กับเธอมาแล้วสองปี… ไอฝนพัดผ่านบานหน้าต่างซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้เข้ามากระทบผิว สัมผัสเย็นสบายกายในวันนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกทรมานหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจเพียงเพราะลมเบาๆ พัดผ่านเหมือนเช่นวันนั้น แต่สายลมคล้ายจะพัดพาบางอย่างที่เคยถูกเก็บไว้ให้หวนกลับมาประทับชัดเจนอีกครั้งในความทรงจำ ท่ามกลางความเงียบ เคว้งคว้าง และหวั่นกลัว ยังมีความอบอุ่น ไม่ใช่แค่อุ่นกาย แต่อบอุ่นปลอดภัยทั้งหัวใจ ความรู้สึกที่ห่างหายไปบ้างบางครั้งตามกาลเวลา แต่ไม่เคยลืมเลือน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD