ฝึกทำมือเหมือนการกำฟองอากาศ ใช้ปลายนิ้วส่วนที่โค้งกด จะสามารถควบคุมการลงน้ำหนักได้ดีกว่าปลายนิ้วแบนๆ
มี ฟา ซอล ฟา มี มี มี… ฟา ฟา ฟา มี โด โด
หนู มา ลี มี ลูก แมว เหมียว… ลูก แมว เหมียว ลูก แมว เหมียว
แรงลงน้ำหนักกระท่อนกระแท่นจากปลายนิ้วของเด็กหญิงวัยสามขวบบนลิ่มนิ้วของแกรนด์เปียโนหยุดลง ดวงตาไหวระริกมองไปรอบๆ ก่อนหยดน้ำที่คลอหน่วยตาจะหยดลงมาจริงๆ เจ้าหญิงน้อยในชุดกระโปรงสีขาวฟูฟ่องสะอื้นฮักร้องไห้ เรียกให้คุณครูผู้ฝึกสอนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ต้องรีบเข้าไปอุ้มเด็กหญิงลงมาจากเก้าอี้นั่งเข้าชุด แล้วปลอบโยนยกใหญ่
แก้มใสอมชมพูเลอะไปด้วยคราบน้ำตา แม้ของเล่นในมือจะทำให้อาการผวาตื่นตระหนกกับผู้คนหมู่มากลดลง แต่ร่างกระจิริดนั้นก็ยังสั่นไหวอยู่เป็นบางครั้งด้วยแรงสะอื้น กุลญาดามองตามเด็กหญิงที่คุณแม่มารับลงจากเวทีด้วยดวงตาระบายยิ้ม
ลงไปแล้ว พอได้เจอเพื่อนวัยเดียวกัน เวลาแค่ไม่ถึงนาทีก็เปลี่ยนคราบน้ำตาให้เป็นรอยยิ้มได้ หญิงสาวมองตามเด็กหญิงที่ทำให้เธอต้องหวนกลับไปคิดถึงตัวเองเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก คราวนี้รอยยิ้มหวานละไมจากแค่ฉายชัดเพียงดวงตาเปลี่ยนเป็นระบายอยู่เต็มใบหน้า
^^ ^^
เธอเคยตกอยู่ในสถานการณ์ ‘ใกล้เคียงกัน’ เข้าใจความรู้สึกดีว่าสำหรับเด็กนั้นประหม่าและตื่นเต้นเพียงใดเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เป็นภาพฉายชัดในบรรดาไม่กี่ภาพเท่าที่ความทรงจำของเธอที่มีต่อตัวเองในวัยสามขวบจะนึกได้ หากจะให้เปรียบเทียบ เด็กน้อยที่เห็นในวันนี้ยังนับว่าเก่งและกล้าหาญกว่าตัวเธอเองในวันนั้นอยู่มาก
เสียงเรียกให้ไปช่วยจับ ‘ฝูงลิง’ ประถมศึกษาปีที่หนึ่งเพื่อเตรียมพร้อมขึ้นไปซ้อมการแสดงชุดต่อไปบนเวที สถานการณ์ ‘จับปูใส่กระด้ง’ เริ่มขึ้นหลังจากนั้น
เด็กเป็นวัยสดใส วัยแห่งการเรียนรู้ มันไม่ง่ายเลยในการทั้งหลอกล่อทั้งตะล่อมให้กว่ายี่สิบห้าชีวิตน้อยๆ หยุดการเรียนรู้โลกกว้างชั่วขณะเพื่อมานั่งรวมกันนิ่งๆ
เพราะกว่ามันจะสำเร็จและผ่านพ้นไปได้ ก็เล่นเอากุลญาดาเหงื่อตก
หญิงสาวยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมออกมาตามไรผมอยู่ด้านหน้าเวที วันนี้เป็นวันซ้อมการแสดงใหญ่วันปิดภาคเรียนของนักเรียนโรงเรียนสาธิตแผนกปฐมวัยของมหาวิทยาลัยซึ่งจะจัดขึ้นจริงในอีกสองวันข้างหน้า เธอในฐานะนักศึกษาชั้นปีที่สามของคณะคุรุศาสตร์ ได้รับมอบหมายให้มาสังเกตการณ์ รวมถึงเป็นผู้ช่วยครูในการวางแผนและจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
เด็กเล็กชั้นอนุบาลและประถมศึกษาปีอื่นๆ ยังคงจับกลุ่มวิ่งเล่นกันด้านล่างเวทีอย่างสนุกสนาน เด็กชายตัวป้อมคนหนึ่งหัวเราะร่าวิ่งเข้าไปหลบใต้โต๊ะจัดเลี้ยงซึ่งถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้วในห้อง ตามด้วยเสียงตุบตับของฝีเท้าใครอีกคน… เจ้าตัวกลมตัดผมหน้าม้าปาด วิ่งแก้มกระเพื่อม สายตาก็กวาดหาเพื่อนอย่างเอาจริงเอาจัง
“ไม่วิ่งนะครับเดี๋ยวล้ม…” แต่ไม่ทันเสียแล้ว…
ขาสั้นและป้อมของเด็กชายสะดุดกันเองล้มหน้าคว่ำไถลลงไปกับพื้น ใบหน้ากลมเหยเก ก่อนปล่อยเสียงร้องไห้โฮเมื่อเห็นหยดเลือดไหลลงมาเป็นทางจากบนศีรษะ ครูที่ยืนอยู่บริเวณนั้นรีบเข้ามาห้ามเมื่อกลุ่มเด็กโตชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ห้าหกกรูกันเข้ามามุงดูด้วยความสนใจแกมตกใจ ส่วนน้องน้อยชั้นประถมศึกษาเล็กๆ เด็กอนุบาลร้องไห้ระงมตามกันไปเป็นแถว ตกใจระคนหวาดกลัวที่เห็นเลือดไหลออกมาจากตัวคนไม่ยอมหยุด
ความชุลมุนเริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น
กุลญาดาถูกวานให้ตามไปช่วยครูประจำชั้นพาเด็กชายไปโรงพยาบาล เหตุการณ์ในห้องซ้อมหลังจากนั้นเป็นอย่างไรเธอไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าเหตุการณ์ทางนี้กว่าจะปลอบเด็กชายให้หายหวาดกลัว โทรตามและคุยกับพ่อแม่เด็กจนเข้าใจก็ร่วมสามโมงเย็น
หญิงสาวได้รับอนุญาตจากครูพี่เลี้ยงให้กลับได้เลย โดยไม่ต้องตามกลับไปจัดการเรื่องสถานที่ที่โรงเรียน รวมถึงการถูกเรียกไปพบและสอบสวนจากผู้อำนวยการซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากนั้น
บ่ายสามโมง… สาวน้อยยกข้อมือขึ้นมองบนหน้าปัดนาฬิกา เธอกำลังคิดว่าจะไปไหน หรือทำอะไรต่อจากนี้
ท้องที่ร่ำร้องเพราะยังไม่มีอะไรลงไปให้ย่อยนอกจากขนมปังหนึ่งชิ้นและนมอีกกล่องตั้งแต่เมื่อเช้าจนถึงตอนนี้ ในเขตโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย แม้ไม่ได้เข้ามาบ่อย แต่เธอจำได้ว่ามีร้านเบเกอร์รี่ที่ขายอาหารจานเดียวประเภทเส้นรสชาติดีมากอยู่ร้านหนึ่ง
พอคิดได้ดังนั้น จากความหิวระดับปกติก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ กุลญาดาเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด ตลอดทางที่เดินผ่าน ชุดนิสิตตามระเบียบของมหาวิทยาลัยไม่ได้ทำให้เธอดูแปลกแยกจากกลุ่มพยาบาลชุดขาวหรือแพทย์ในชุดเสื้อกาวน์ที่เดินขวักไขว่ไปมา แต่กระนั้น แรงสะกิดคล้ายเรียกและรั้งเอาไว้ ทำให้หญิงสาวต้องหันกลับไปมอง
“ขวัญ มาที่นี่ได้ยังไง”
“เราต่างหากที่ต้องถามว่าแก้มมาทำอะไรที่นี่”
เสียงหัวเราะประสานขึ้นพร้อมกันแทนคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะเธอหิวมากเกินไปจึงถามเพื่อนไปแบบนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นนักศึกษาแพทย์ ไม่แปลกเลยที่เธอจะเห็นครองขวัญปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ความจริงเพื่อนต่างหากที่ควรแปลกใจและงงว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“เรามาเป็นเพื่อนครูรุ่นพี่ เด็กที่โรงเรียนซ้อมการแสดงแล้วเกิดอุบัติเหตุน่ะ” กุลญาดาตอบ เมื่ออีกฝ่ายถามกลับในสิ่งที่คิดไว้ในใจจริงๆ
เธอและครองขวัญเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันตั้งแต่สมัยมัธยม แยกย้ายกันไปเรียนต่างคณะในช่วงมหาวิทยาลัย หลังจากจบชั้นปีหนึ่ง ภาระหน้าที่รับผิดชอบต่อการเรียนที่หนักและเข้มข้นขึ้น ทำให้เธอและเพื่อนแม้อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่เจอกันแทบนับครั้งได้ คราวนี้ถือเป็นความโชคดีบนความบังเอิญ เพื่อนเสนอให้เธออยู่รอแล้วออกไปพร้อมกัน กุลญาดาไม่มีปัญหา… แต่ก็เพิ่งเริ่มจะมามีปัญหาตอนที่เพื่อนยัดขนมปังหนึ่งชิ้นที่ได้จากการเข้าคอนเฟอร์เร้นกลุ่มของภาควิชามาให้ บอกให้กินรองท้องไปก่อน แล้ว ‘ลาก’ เธอให้เดินตามไปทำธุระด้วยกัน
ตอนนี้หญิงสาวชักไม่แน่ใจว่า ‘ธุระ’ ที่เพื่อนว่า แท้จริงเธอควรมีส่วนร่วม หรือเข้าไปมีส่วนร่วมได้จริงๆ แบบที่ครองขวัญบอกหรือเปล่า