ผู้ปกครอง

2382 Words
เพราะเมื่อคืนนั่งคิดเรื่องกุลญาดาจนเผลอหลับไปช่วงค่อนสว่าง เช้าวันนี้ธนาธิปจึงตื่นสายกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังดีที่วันนี้ไม่มีออกตรวจคนไข้หรือติดธุระสำคัญอะไร หลังจากจิบกาแฟดำไปแก้วให้พอรู้สึกตื่น ชายหนุ่มจึงขับรถไปที่วังรมย์นลิน ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมอาการและทานอาหารเช้าเป็นเพื่อนคนแก่ หลังจากเมื่อวานเด็กรับใช้ในวังที่เขาสั่งไว้ให้เป็นหูเป็นตาโทรมารายงานว่าวาดจันทร์อาการไม่ดีนัก ความจริงมันก็เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา หลังจากหม่อมหลวงทศ บุตรชายคนเดียวจากไป ความใหญ่โตโอ่อ่าล้อมรอบด้วยเรือนน้อยใหญ่และผู้คนนับเกินสิบไปมากของวังรมย์นลิน ไม่ได้คลายความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายในหัวใจให้น้อยลง ตรงกันข้ามกลับเคว้งคว้างยิ่งขึ้น ไม่เฉพาะแค่วาดจันทร์ แต่รวมถึงหลานสาว กุลญาดา… บุตรสาวบุญธรรมของหม่อมหลวงทศด้วยอีกคน แม้จะคุ้นเคยกับวังแห่งนี้ แต่มีเหตุให้เขาและเธอเป็นต้องคลาดกันตลอด มีเพียงคำเล่าเอ่ยถึงอย่างเอ็นดูรักใคร่จากย่าบุญธรรมที่รักเธอไม่ต่างกับหลานอุทรในสายเลือด กับคำบอกกล่าวในอีกด้านตรงกันข้ามจากใครต่อใครที่เขาเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแต่ไม่คิดจะใส่ใจในวงสังคม หลังจากอยู่รับประทานอาหารเช้าเป็นเพื่อนวาดจันทร์และพาท่านขึ้นไปพักผ่อนเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงขับรถออกมา แต่ระหว่างทางที่รถกำลังเลี้ยวออกจากซอย ภาพที่เห็นผ่านเพียงหางตา กลับดึงความสนใจให้ต้องชะลอความเร็วของรถ แล้วมองผ่านกระจกมองหลังจนเห็นชัดเจนว่าเป็นใคร เจ้าของร่างบอบบางที่พักหลังมานี้เขาชักจะคุ้นเคยกับเธอมากขึ้นทุกวัน ธนาธิปเปิดประตูรถ ก่อนเดินตรงไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวที่กำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรสักอย่างอยู่ตรง ‘มุมลับ’ ของปากซอย “มานี่เจ้าเหมียว” เสียงใสเรียก ขณะเจ้าตัวกำลังยอบตัวลงนั่งกับส้นเท้า แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการแกะถุงใส่อาหารเทลงบนจานกระดาษที่คงเตรียมมาพร้อม เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงเอาไปวางไว้บนพื้นด้านหน้า สายตาไม่ไว้ใจกับท่าทีหวาดระแวงยังไม่ยอมเดินเข้ามาใกล้ของน้องแมวจรทำให้กุลญาดากลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องกลัว นี่ปลาทูทั้งนั้นเลย ต้องกินเยอะๆ นะจะได้มีแรงไม่ถูกเจ้าถิ่นแถวนี้รังแกอีก” …เจ้าถิ่นที่คนตัวเล็กว่าก็คงไม่พ้นพวกหมาจรจัดแถวนี้ ธนาธิปมองมือเรียวที่ยื่นจานข้าวคลุกปลาทูออกห่างจากตัวเองไปทางฝูงแมวสภาพมะลอกมะแลกสี่ห้าตัว พวกมันยังมีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ทว่ากลิ่นคาวของปลาทูที่ฟุ้งเข้าจมูกคงเย้ายวนใจไม่น้อย ไม่นานก็เรียกเจ้าสี่ขาให้เข้ามาล้อมวงรอบจานอาหารได้สำเร็จ “กินเยอะๆ นะเจ้าเหมียวจะได้โตเร็วๆ” รอยยิ้มอ่อนหวานระบายออกจากทั้งใบหน้าและดวงตา แม้เห็นไม่ชัดเพราะยืนมองอยู่ด้านหลัง แต่เขาแน่ใจว่ากุลญาดากำลังยิ้ม ใบหน้าเรียบขรึมเป็นนิจแบบที่ใครหลายคนต่างนิยาม บัดนี้มุมปากได้รูปโค้งขึ้นเล็กน้อยเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังยิ้มตาม แววตายามมองไปยังร่างแน่งน้อยทอดอ่อนลงกว่าปกติ จนเจ้าตัวนึกอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าสาวน้อยเผอิญหันกลับมาเห็น จะเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตา ถามหลายคำตอบมาคำเดียว กลัวเขาอย่างที่เคยทำมาตลอดก่อนหน้านี้ไหม ทว่า… “ซนอะไรอีกกุลญาดา” …มีเรื่องให้ต้องดุกันอีกจนได้ เสียงเข้มเป็นเชิงปรามที่ดังมาจากด้านหลัง เรียกมือเรียวบอบบางที่กำลังเอื้อมไปลูบหัวเจ้าแมวจรตัวเล็กสุดให้ชักกลับมาทันควัน เจ้าของชื่อรีบเอี้ยวตัวหันกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ตากลมก็เบิกกว้างอย่างตกใจ กุลญาดารีบลุกขึ้นยืน หันหน้ากลับไปทางเขาและพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด “คุณชาย… เอ่อ… มาตั้งแต่เมื่อไรคะ” เสียงแผ่วถามไปคนละอย่างกับที่เขาอยากให้ตอบ …หรือไม่ได้ต้องการคำตอบจากเธอก็ไม่รู้ นัยน์ตาซ่อนแววตื่นตระหนกช้อนขึ้นมามองก่อนหลุบต่ำหลบลงทันทีเมื่อเผลอสบเข้ากับสายตานิ่งเรียบทว่าเข้มงวดเกินใครที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ธนาธิปลอบสำรวจสองแก้มแดงปลั่งเพราะไอแดดมาถึงเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นตามไรผม เมื่อ ‘เด็กดื้อ’ หันหน้ามาให้มองชัดๆ สภาพมอมแมมของสาวน้อยเรียกคิ้วเข้มให้ขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก กับสองครั้งสองคราวเป็นอย่างน้อยที่เขาบังเอิญมาเห็นเธอใส่ใจคนหรือสัตว์อื่นโดยไม่ห่วงตัวเอง นั่นยังไม่รวมที่ปล่อยให้ตัวเองป่วยไข้ขึ้นแต่ไม่ยอมบอกใครบนเครื่องบินเพราะเกรงใจตอนเจอกันครั้งแรกนั่นอีก “มาทำอะไรตรงนี้” …หรือถ้าจะถามแบบตรงไปตรงมาคือเขากำลังตำหนิเธอว่ามาทำอะไรที่นี่ ทั้งที่ในเวลานี้ตอนนี้มันไม่ใช่ที่ที่เธอควรมาอยู่มากกว่า กุลญาดาแปลได้เพราะสายตาของเขาที่มองมากำลังบอกว่าแบบนั้น เป็นอีกคำถามที่คนตัวเล็กไม่ได้เตรียมหาคำใดไว้เพื่อตอบ ความจริงเธอไม่คิดว่าจะต้องมาเจอเขาที่นี่เลยด้วยซ้ำ โทนเสียงเรียบสม่ำเสมอทว่าสายตาหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายจับผิดนั้น สาวน้อยได้แต่ภาวนาในใจให้เขาคิดว่าเธอเป็นเด็กหนีเรียน เป็นคนดูแลตัวเองยังไม่รอดแต่คิดจะช่วยเพื่อนร่วมโลกตัวอื่น หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง อย่าให้เขานึกเอะใจว่าหลังจากคุณพ่อคุณแม่จากไปก็ไม่มีรถจากวังมาคอยรับส่งให้ไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบายเหมือนแต่ก่อน ครั้งแรกที่โดน ‘ผลักไส’ กุลญาดายังไม่ชิน แต่ตอนนี้เธอปรับตัวได้มากขึ้นกับชีวิตที่ต้องพึ่งตัวเองอย่างเต็มรูปแบบเหมือนคนอื่นๆ ความจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักกับการถูกปลดออกจากตำแหน่ง ‘คุณหนูแห่งวังรมย์นลิน’ โดยไม่ทันตั้งตัวเพียงเวลาแค่ชั่วข้ามคืน หรืออีกนัยอาจเป็นเพราะลึกๆ เธอได้เตรียมใจไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง และสายตาที่มองมาคล้ายทวงคำตอบของคนตรงหน้าบังคับให้เธอต้องตอบ “แก้มรอเพื่อนมารับค่ะ นัดกันไว้ที่นี่” หญิงสาวปดออกไปคำโต ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา จึงไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ มองหรือคิดอย่างไรหลังจากนั้น เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบ ความเงียบที่ผ่านไปนานหลายนาที จนเธอตัดสินใจรวบรวมความกล้าช้อนตาขึ้นไปมองใบหน้าเรียบนิ่ง เห็นเขายังอยู่ตรงที่เดิมเหมือนที่เคยยืนก่อนหน้า ไม่ได้ถอยห่างหรือหันหลังเดินหนีจากไปไหน เพียงการกระทำเล็กน้อย แต่เหมือนมีไออุ่นมหาศาลก่อตัวขึ้นมาล้อมรอบ กุลญาดามองใบหน้าขาวสะอาดคมคายที่เริ่มเจือสีแดงฝาดนิดหน่อยเพราะไอแดดแม้ว่าตรงนี้จะพอมีร่มเงา ถาม… ทั้งที่ไม่มั่นใจในคำถามของตัวเองเท่าไรนัก “คุณชาย… จะอยู่คอยหรือคะ” คำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้า คนตัวโตกว่าทำแค่เพียงหันมาสบตาเพียงครู่ ก่อนปรับโฟกัสหันไปสนใจอย่างอื่น คำตอบของหม่อมราชวงศ์หนุ่มทำให้หัวใจสาวน้อยฟูฟ่องพองโตล่องลอยไปบนฟ้า ก่อนเพียงครู่เดียวความจริงที่เพิ่งนึกได้จะทำให้ใจดวงเดิมร่วงหล่นลงมาอยู่ที่ตาตุ่ม มันก็ดีอยู่หรอก แต่เขาจะอยู่คอยเป็นเพื่อนเธอได้อย่างไร ในเมื่อต่อให้อยู่แบบนี้ตลอดไปก็ไม่มีใครมารับ!! คนมีชนักติดหลังเพราะริอ่านโกหกแอบเหลือบตาขึ้นมองคนตัวโตกว่า แต่พอเขาละสายตาจากโทรศัพท์ในมือหันมาก็อดที่จะหลบตาไม่ได้ หากกุลญาดารู้ตัวว่าโกหกไม่เก่ง เธอจะยังทำแบบนี้อยู่ไหม ธนาธิปละสายตาจากโทรศัพท์ในมือที่หยิบขึ้นมาเช็คอีเมลฆ่าเวลากลับไปมองสาวน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ… ที่มีศักดิ์เป็นหลานแม้ต่างสายเลือด เป็นคนที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอยากดูแลตั้งแต่วันแรกที่ได้พบ แต่คิดอีกทีหากไม่ได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจ เขาควรจะทำอย่างที่ถูกขอร้องจริงๆ หรือ ‘นอกจากป้าแล้ว ยัยหนูเล็กไม่มีใคร คนแก่สังขารก็ร่วงโรยลงไปทุกวัน ไม่มีแรงกำลังจะไปปกป้องยัยหนูเล็กได้ คนเดียวที่ป้าไว้ใจว่าจะเมตตาและคุ้มครองยัยหนูเล็กได้มีแค่คุณชาย’ “คุณชาย… ไม่ต้องรอเป็นเพื่อนแก้มก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเพื่อนก็มาแล้ว” คำแก้ตัวเสียงอึกอักของสาวน้อยเรียกชายหนุ่มออกจากภวังค์ความคิด “ผมเป็นผู้ปกครอง” ผู้ปกครองอย่างนั้นหรือ… คราวนี้กุลญาดาเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาคมอย่างพยายามค้นหาความหมาย คำว่าผู้ปกครองที่เขาว่าหมายถึง เขามีสิทธิ์ตัดสินใจ ‘เธอไม่ต้องมาคิดแทน’ หรือเพราะว่าคุณย่าฝากฝังเอาไว้ทำให้เขา ‘จำเป็น’ ต้องดูแลเธอหรืออย่างไร แต่มองลึกลงไปเท่าไร แววตายากจะอ่านความหมายก็ไม่ได้ไขคำตอบใดๆ ให้กระจ่างชัดขึ้นมาอยู่ดี “อย่าริอ่านเป็นเด็กโกหก” มีแต่ประโยคกึ่งอบรมสั้นๆ ที่ทำให้สาวน้อยต้องหลุบตาต่ำมองมือตัวเองที่ประสานกันบนหน้าตัก ริมฝีปากสีอมชมพูเม้มเข้าหากันแน่นจนเกือบกลายเป็นสีห้อเลือด อึกอักหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองทั้งที่ไม่อยากรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ “คือแก้ม…” “คุณย่ายังไม่รู้” โทนเสียงเรียบทว่าคนฟังกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนข่มขู่กลายๆ ตากลมเบิกกว้างทันทีที่ได้ยิน กุลญาดาส่ายหน้าเร็วๆ อย่างไม่ยอมให้เขาทำอย่างนั้น แต่สายตาดุที่ยังมองเธอนิ่งไม่ละไปไหน ความกดดันท่ามกลางความเงียบทำให้คนโกหกไม่เก่งแต่ริอ่านทำตัวเป็น ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ จำต้องสารภาพความจริง “แก้มเป็นคนบอกลุงวงศ์เองค่ะ แก้มแค่อยากเอาอาหารมาให้แมวพวกนี้” เสียงตะกุกตะกักตอบเลี่ยงๆ กุลญาดาแสร้งเบือนสายตาไปทางลูกแมวห้าหกตัวซึ่งตอนนี้แตกกลุ่มกระจัดกระจายและข้าวคลุกปลาทูในจานหมดเกลี้ยงไปเรียบร้อย ก่อนหันกลับมามองเขาแล้วขอร้องเสียงอ่อย “คุณชายอย่าบอกคุณย่าได้ไหมคะ แก้มไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง” …แต่คำตอบที่ได้รับมีเพียงความเงียบ ตาสบตาราวกับวัดใจ ก่อนสุดท้ายเป็นกุลญาดาที่จำต้องยอมแพ้ ตากลมหลุบต่ำก้มหน้ามองสมุดเล็คเชอร์ที่ตัวเองกอดไว้กับอกด้วยความกังวล กลัวเหลือเกินว่าเขาจะเอาเรื่องวันนี้ไป ‘ฟ้อง’ คุณย่าจริงๆ ทว่าแค่เพียงสาวน้อยเผลอเงยหน้าขึ้นมาคงได้เห็นแววตาที่คนตัวโตกว่าใช้มองเธออยู่ นัยน์ตาเศร้าระคนแววกังวลทำให้ธนาธิปลอบถอนหายใจ ราชนิกุลหนุ่มส่ายหน้าให้กับคนสารภาพความจริงเพียงครึ่งที่ยังก้มหน้าก้มตาพูดประโยคเดิมที่เขาต้องได้ยินทุกครั้งที่เจอเธอ “แก้มขอโทษนะคะที่ทำให้คุณชายต้องเดือดร้อน” …เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ สองมือเรียวประนมไหว้ เสียงถอนหายใจที่พอได้ยินทำให้เธอยิ่งขวัญเสีย และการหันหลังให้ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจว่าเขาคงเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมทำผิดซ้ำซากของเธอเกินทน “ตามมา” …ไม่ใช่ประโยคบอกเล่าแต่คือคำสั่ง กุลญาดาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงที่หันหลังเดินห่างเธอไปแล้วสองสามก้าว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร หญิงสาวยืนนิ่ง จนราชนิกุลหนุ่มเดินไปถึงรถ แล้วหันกลับมาใช้สายตาเป็นเชิงสั่งอีกครั้ง เธอจึงยอมเดินตามเขาไป ตากลมมองรถยุโรปสีดำทรงอำนาจที่เธอเคยเห็นจากในวีดีโอ ความจริงมันก็น่ารักดีอยู่หรอกถ้ามีกระป๋องเป็นกระพรวนห้อยอยู่ข้างหลังให้ดังกรุ๋งกริ๋งแบบวันนั้น แต่วันนี้ไม่มีอะไรเลย มีแค่เจ้าของกับสายตาดุๆ มันก็เลย… ออกจะน่ากลัวมากกว่า คนตัวเล็กเอ่ยขอบคุณเบาๆ เมื่อเจ้าของรถเปิดประตูให้ คิดวนไปเวียนมาซ้ำๆ เธอเพิ่งเข้าใจสองคำสั้นๆ ห้วนๆ ‘ตามมา’ ของเขาว่าหมายความว่าจะไปส่ง แต่ไปส่งอย่างนั้นหรือ… เธอมีค่าแค่ไหนถึงคิดเข้าข้างตัวเองขนาดนั้น ตลอดทางตั้งแต่ออกจากตรอกวังจนรถเลี้ยวเข้าประตูมหาวิทยาลัย ภายในห้องโดยสารปกคลุมด้วยความเงียบ ไม่มีการไถ่ถาม ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีกระทั่งเสียงเพลงเปิดคลอ หญิงสาวยกมือไหว้ขอบคุณเขาอีกครั้งเมื่อรถคันหรูขับมาจอดหน้าตึกคณะ ส่วนเขาทำเพียงพยักหน้ารับไว้ตามมารยาท ไม่มีคำบอกลาใดๆ นอกจากคำสั่งทิ้งท้ายอีกประโยคในฐานะ ‘ผู้ปกครอง’ และทุกอย่างที่เขาทำในวันนี้มีคำตอบในตัวเองชัดเจนอยู่แล้ว ตัวภาระอย่างเธอเป็นหน้าที่ที่เขาไม่เต็มใจแต่จำต้องรับไปอย่างนั้นเพราะคำขอร้องของย่า ตากลมหลุบต่ำซ่อนรอยน้ำตากับความจริงที่แสนเจ็บปวด ไม่ว่าจะหม่อมราชวงศ์ธนาธิปหรือรมย์นลิน เธอก็ยังเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD