บทที่ 8
บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองมอสโกช่างสวยงามไม่แพ้ที่อื่นในโลกเลยทีเดียว...
ความรู้สึกนี้แล่นพล่านอยู่ในหัวสมองเมื่อข้างกายของหล่อนมีผู้ชายหล่อระเบิดนั่งอยู่เคียงข้าง แม้ว่าพ่อเจ้าประคุณจะหน้ากระด้างสักแค่ไหนก็ตาม ขวัญชีวาแอบช้อนตาขึ้นมองคนตัวโต แล้วก็อดตัดพ้อเขาอยู่ภายในอกไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนชวนหล่อนออกมาเองแท้ๆ แล้วทำไมถึงได้ทำหน้าทำตาราวกับว่ากำลังจะไปนรกแบบนี้นะ
“ถ้าไม่อยากมา เราก็ควรจะกลับนะคะ”
ไม่รู้ว่าเพราะความน้อยใจหรืออะไรกันแน่ถึงทำให้ขวัญชีวากล้าเสี่ยงตายที่จะเอ่ยคำพูดนี้กับวินซ์ เอเมอร์ตันออกไป ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะเขาชำเลืองตามองหล่อนในรอบกว่าครึ่งชั่วโมงที่ไม่ได้มองหล่อนเลยทันที
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่อยากมา”
“ก็สีหน้าของคุณนั่นไงคะ ทำราวกับว่ากินยาขมมายังงั้นแหละ”
ขวัญชีวาเอ่ยทั้งที่เบ้หน้าขุ่นเคือง ซึ่งมันก็เรียกรอยยิ้มหยันให้ปรากฏบนใบหน้าของวินซ์
“ก็เพราะมากับคุณไงผมถึงได้รู้สึกสะอิดสะเอียนแบบนี้”
วาจาที่เขาพ่นออกมานั้นทำให้ขวัญชีวาถึงกับสะอึก หล่อนจ้องมองเขาด้วยความเจ็บช้ำ ก่อนจะรวบรวมแรงกายแรงใจสุดท้ายโต้ตอบออกไป
“งั้นก็ไม่ควรพาฉันมาด้วย”
“ก็เพราะผมไม่มีทางเลือก”
เอ่ยจบคนใจร้ายใจดำใจทมิฬก็หันขวับไปนั่งคอตั้งตรงเหมือนเดิม หญิงสาวน้ำตาซึม ความเจ็บปวดกระแทกกระทั้นอยู่ภายในอก นี่วินซ์เกลียดหล่อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาเกลียดหล่อนมาก ในขณะที่หล่อนเริ่มตกหลุมรักเขามากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมโลกช่างไม่ยุติธรรมเลยนะ ทำไมต้องทำให้หล่อนตกหลุมรักผู้ชายที่ไม่มีหัวใจคนนี้ด้วย ทำไมกัน?
ไม่นานรถลีมูซีนสีดำราคาแพงระยับก็แล่นมาจอดสนิทที่หน้าโรงแรมหรูระดับเจ็ดดาวแห่งหนึ่งในกรุงมอสโก วินซ์ก้าวลงไปทันทีเมื่อประตูฝั่งของเขาถูกเปิดออก เขาไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจอะไรกับผู้หญิงที่มาด้วยอย่างหล่อนเลยแม้แต่น้อย ความเศร้าหมองทำให้ขวัญชีวาน้ำตาซึมอีกครั้ง หล่อนก้าวลงจากรถตามเขาเข้าไปภายในสิ่งก่อสร้างแสนมหัศจรรย์นั้นด้วยความอ่อนล้า ผู้คนมากมายต่างพากันเข้ามาต้อนรับเขาราวกับวินซ์ เอเมอร์ตันคือเจ้าของโลกใบนี้ยังไงยังงั้น และหล่อนก็ถูกกันออกมาอยู่ในวงนอกรัศมีของเขาอย่างสิ้นเชิง
‘ไหนเขาว่าจะพาหล่อนมาทานข้าวนอกบ้านไงล่ะ แล้วทำไมเขาถึงได้มีผู้คนมากมายล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้’ ความสับสนอลหม่านทำให้ขวัญชีวาเลือกที่จะปลีกตัวออกห่างเขาทีละน้อย จนในที่สุดก็ห่างออกมาจนมองไม่เห็นกันอีก
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง”
เสียงทักทายสุภาพดังขึ้นแผ่วเบาที่ด้านหลัง ขวัญชีวาหันไปมองแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นผู้ชายตัวใหญ่ยืนระบายยิ้มให้อยู่
“ทิม สเป็คเตอร์ครับ”
ผู้ชายตรงหน้ายื่นมือมาให้หล่อน ทำให้ขวัญชีวาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากส่งมือเล็กๆ ของตัวเองให้กับผู้ชายตรงหน้าได้สัมผัส
“ขวัญชีวาค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
รอยยิ้มกระจ่างที่ไร้ความเดือดดาลของผู้ชายตรงหน้าทำให้ขวัญชีวาแสนจะผ่อนคลาย เขาดูจริงใจ ไม่เหมือนกับวินซ์ เอเมอร์ตันที่แลดูลึกลับและอ่านยากเหลือเกิน
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
หญิงสาวค่อยๆ ดึงมือบางของตัวเองออกจากการเกาะกุมเพราะรู้สึกว่าทิมจะจับนานเกินควร แต่กระนั้นคนที่เดินมาสมทบทีหลังก็ทันได้มองเห็นมันอยู่ดี
“อยู่นี่เองทิม พี่ตามหาซะทั่วเลย” คนตัวโตเอ่ยชื่อของคู่สนทนาของหล่อน แต่ตากลับจ้องมายังหล่อนเขม็ง
“ผมออกมาเดินเล่นน่ะครับ เลยเจอนางฟ้าเข้า” ทิมหันมามองขวัญชีวาอีกครั้ง แต่หญิงสาวกลับก้มหน้าหลบซะก่อน
วินซ์แค่นยิ้มหยัน มองสตรีตรงหน้าอย่างดูแคลน นี่เจ้าหล่อนจะรู้บ้างไหมว่าทำให้เขาแทบบ้าแค่ไหนยามที่เห็นหล่อนปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นจับมือถือแขน แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะคือทิม สเป็คเตอร์ ผู้ช่วยที่แสนดีของเขาก็ตาม
“นางฟ้าหรือ นางมารต่างหาก”
น้ำเสียงกระแทกกระทั้นของวินซ์นั้นทำให้ทิมอดยิ้มออกมาไม่ได้
“แต่สำหรับผม คุณขวัญชีวาคือนางฟ้าครับ”
“ก็แล้วแต่นายจะคิดก็แล้วกันทิม แต่พี่ไม่มีวันยกให้แน่” คนตัวโตเค้นเสียงลอดไรฟันออกมา จากนั้นก็ก้าวยาวๆ มาหยุดตรงหน้าของขวัญชีวา
“เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นของพี่...”
ว่าแล้วพ่อคุณก็ตวัดแขนรวบร่างบอบบางของหล่อนเข้าไปกอดแน่น จากนั้นก็ตะโบมจูบลงมาอย่างไม่อับอายต่อสายตาของทิมเลยแม้แต่น้อย ขวัญชีวาจำได้ว่าตัวเองนั้นขัดขืน แต่ไหงตอนที่เขาจะแยกจากถึงได้พยายามยื้อเอาไว้นะ
วินซ์ถอยออกห่างจากแม่สาวที่ปากหวานยังกับน้ำเชื่อมอย่างขวัญชีวา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของหล่อนให้เป็นอิสระ
“เข้าไปข้างในเถอะ พี่หิวแล้ว”
“พึ่งเคยเห็นพี่วินซ์หวงผู้หญิงก็วันนี้แหละ” ทิมเอ่ยพลางระบายยิ้มกว้าง
“พูดมากไปแล้ว เร็วเข้า ก่อนที่พี่จะซัดหน้านาย”
พูดจบคนคำรามก็ลากร่างของหล่อนให้เดินตามเข้าไปภายในโรงแรมอีกครั้งอย่างไม่ปรานีปราศรัย ไม่สนใจเลยว่าหล่อนจะเดินตามทันหรือไม่
“อย่าให้ผมเห็นอีกนะว่าคุณยั่วเจ้าทิม”
พอมาถึงโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเอาไว้อย่างดี ร่างของหล่อนก็ถูกจับกระแทกลงกับเก้าอี้อย่างแรง จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงมาหา เค้นเสียงเดือดดาลใส่หูแผ่วเบา
“เพราะคราวนี้ผมจะไม่แค่จูบปากคุณเท่านั้น แต่ผมจะรักคุณต่อหน้ามันเลยทีเดียว”
ขวัญชีวาหน้าแดงปลั่งแทบไหม้ หล่อนมองคนที่ขยับออกห่างไปนั่งบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับตนเองด้วยสายตาเจ็บช้ำ ไม่เข้าใจอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของผู้ชายคนนี้เลยสักนิดเดียว ตอนแรกทำเป็นไม่สนใจ แต่พอหล่อนมีเพื่อนคุยกลับทำมาโมโหใส่ซะงั้น
“คุณมันคนไร้อารยธรรม”
คนถูกด่าแค่นยิ้มหยัน ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา
“ผมจะเป็นทุกอย่างที่ตัวเองพอใจนั่นแหละ หุบปากได้แล้ว และอย่าให้เห็นนะว่าทำตาหวานตาเชื่อมให้กับเจ้าทิมอีก”
“คนเผด็จการ.”
ขวัญชีวาตัดพ้อได้แค่นั้น ก็ต้องหุบปากสนิท เมื่อร่างของทิมเดินเข้ามาสมทบ เขากำลังจะทรุดตัวนั่งลงข้างกายของหล่อน แต่วินซ์ เอเมอร์ตันกลับเรียกเอาไว้เสียก่อน
“มานั่งข้างพี่นี่ทิม นั่นผู้หญิงของพี่”
คนถูกเรียกชื่อหัวเราะร่วน เดินไปตามคำสั่งของผู้ชายทรงอำนาจ ในขณะที่หล่อนหน้าแดงก่ำจนแทบจะไหม้เกรียม
“ผมลืมตัวไปครับ”