บนเนื้อที่กว่าสิบไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์หรูหราของตระกูลโฮลตันส์ มีเจ้าพ่อชาวอเมริกันที่ย้ายรกรากมาตั้งหลักปักฐานในประเทศไทยเป็นเจ้าของคือ มิสเตอร์ฮาเวิร์ด เต็มไปด้วยความอลหม่าน เพราะบรรดาแม่บ้าน คนรับใช้ รวมทั้งบอร์ดี้การ์ดต่างก็กระตือรือร้นในการจัดเตรียมสถานที่ เพื่อจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณหนูแห่งคฤหาสน์โฮลตันส์ ซึ่งเรียนจบสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ และเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยในตอนบ่ายของวันนี้
และขณะนี้เหลือเวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมงดี นารินดา โฮลตันส์ ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ลูกสาวคนเดียวของมิสเตอร์ฮาเวิร์ด ก็จะเดินทางมาถึงแล้ว ซึ่งตอนนี้ผู้เป็นบิดากำลังไปรอรับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะฉะนั้นบรรดาคนรับใช้และบอร์ดี้การ์ดต่างก็รีบเร่งตกแต่งสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงที่จะมีขึ้นในคืนนี้ด้วย
“รีบๆ จัดดอกไม้ให้เสร็จเร็วๆ แล้วก็ระวังอย่าให้ดอกลิลลี่เหี่ยวเฉาด้วย ถ้าคุณหนูเห็นว่าดอกลิลลี่ไม่สด ไม่สวย จะอาละวาดเอาได้”
เอ็มม่า หัวหน้าแม่บ้าน ซึ่งทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างภายในคฤหาสน์หลังนี้ เดินตรวจความเรียบร้อยของการจัดสถานที่จัดงานเลี้ยง พร้อมกับสั่งกำชับคนรับใช้ทุกคน
“ค่ะ เอ็มม่า”
บรรดาคนรับใช้ต่างก็พยักหน้ารับคำสั่งของเอ็มม่า พลางจ้องมองหน้ากันแล้วถอนหายใจยาวด้วยความเบื่อหน่าย พวกเธอต้องจัดตกแต่งสถานที่จัดงานให้สมบูรณ์ ไม่มีที่ติ มิเช่นนั้นทุกคนรู้ดีว่าจะเจอกับอะไรบ้าง หากทำให้คุณหนูนารินดาโกรธเป็นพายุเข้า
“ดูดอกไม้ด้วย ดอกไหนกลีบช้ำให้เอาดอกใหม่มาเปลี่ยน คุณหนูนาเดียไม่ชอบดอกไม้ที่มีกลีบช้ำเป็นรอย”
ดอกลิลลี่หลากสี ดอกใหญ่ๆ สวยสดงดงาม ถูกสั่งตรงมาจากเมืองนอกเพื่องานนี้โดยเฉพาะ มิสเตอร์ฮาเวิร์ดทุ่มเงินไม่อั้น ขอแค่เพียงนารินดาออกปากสั่ง หมดเท่าไรก็ไม่ว่ากัน ขอแค่เพียงให้ลูกสาวคนเดียวของเขามีความสุขก็เป็นพอแล้ว
ในขณะเอ็มม่าทำหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดสถานที่ รวมทั้งการสั่งอาหารเลิศรส หรูหราราคาแพงมาจากโรงแรมระดับห้าดาว เพื่อมาบริการแขกเหรื่อซึ่งล้วนแต่เป็นบรรดาคนดังในวงการมืด รวมทั้งเพื่อนๆ ของคุณหนูนารินดา ทางด้านของการรักษาความปลอดภัยในค่ำคืนนี้ก็ถูกจัดอย่างเข้มงวดไม่แพ้กัน
มิสเตอร์ฮาเวิร์ด ชาวอเมริกันคนนี้ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการของตลาดหลักทรัพย์ มีธุรกิจถูกกฎหมายอยู่ในกำมือหลายอย่าง แต่! สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เพียงฉากหน้าของมิสเตอร์ฮาเวิร์ดเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วเขาเป็นนักปั่นหุ้นตัวยง มีคาสิโนลับๆ เปิดอยู่ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อใช้เป็นแหล่งฟอกเงินของเขา
เมื่อมีฉากหลังอยู่ในวงการของมาเฟีย แน่นอนว่ามิสเตอร์ฮาเวิร์ดก็มีศัตรูที่จ้องจะโค่นเขาหลายสิบราย ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องขัดผลประโยชน์จำนวนมหาศาลทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นมิสเตอร์ฮาเวิร์ดจึงต้องมีบอร์ดี้การ์คคอยคุ้มกันตนเองและลูกสาวแทบจะตลอดเวลา
ทั่วบริเวณคฤหาสน์หลังใหญ่มีบรรดาบอร์ดี้การ์ดคอยเฝ้าดูแลความปลอดภัยไม่ได้ขาด และยิ่งในค่ำคืนนี้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับคุณหนูนารินดากลับบ้านด้วย ยิ่งต้องเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า
ไมเคิล หัวหน้าบอร์ดี้การ์ดเดินตรวจตรารอบๆ คฤหาสน์หลังใหญ่ พร้อมกับสั่งกำชับบอร์ดี้การ์ดทุกคนให้ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ห้ามไม่ให้มีอันตรายเกิดขึ้นกับมิสเตอร์ฮาเวิร์ดและตัวคุณหนูนารินดาแม้แต่ปลายเล็บ
ไมเคิลเดินรอบๆ คฤหาสน์ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง เมื่อรู้สึกได้ว่ามีบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งหายไป ซึ่งนั่นก็คือหลานชายของเขาเอง
“มีใครเห็นไอ้นิคบางไหม มันหายหัวไปไหน”
ไมเคิลเอ่ยถามบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้เขา คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้าปฏิเสธ และการตอบย้ำคำจากลูกน้องผู้นี้
“ไม่เห็นครับ พวกผมไม่เห็นมันตั้งแต่เช้าแล้วครับ”
“มันไปไหนของมัน รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้คุณหนูนาเดียจะกลับประเทศไทย และมีงานเลี้ยงในตอนกลางคืนด้วย แต่ทำไมมันไม่มาทำงาน”
ไมเคิลบ่นอย่างหัวเสีย ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าหลานชายของตนเองทำตัวเป็นพวกไร้ความรับผิดชอบ ไม่ยอมมาทำงานทั้งๆ ที่รู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่สุด
“ผมไม่คิดว่าไอ้นิคมันจะทิ้งหน้าที่ของตัวเอง”
ลูกน้องคนเดิมแก้ต่างให้กับเพื่อนร่วมงาน เพราะใครๆ ก็รู้ว่า คนที่กำลังตกเป็นหัวข้อการสนทนาในขณะนี้ เป็นบอร์ดี้การ์ดมือหนึ่ง และมีความรับผิดชอบสูงที่สุด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีหน้าที่ของตนเอง
“คุณไมเคิลไม่ลองไปดูที่ห้องพัก บางทีไอ้นิคอาจไม่สบายจนออกมาทำงานไม่ได้” บอร์ดี้การ์ดหนุ่มเอ่ยคาดเดาไปต่างๆ นานา ตามที่คิดว่าควรจะเป็นเช่นนั้น
ไมเคิลไม่ได้รอให้ลูกน้องแนะนำไปมากกว่านี้ เขาเดินตรงไปยังตึกสองชั้น อยู่ทางด้านหลังของคฤหาสน์ ซึ่งเป็นที่พักของบรรดาแม่บ้าน คนใช้ รวมถึงบอร์ดี้การ์ดอย่างพวกเขาด้วย
เมื่อเดินมาหยุดยืนหน้าห้องของหลานชายก็ยกมือเคาะประตูหนักๆ พร้อมกันนั้นก็ตะโกนเรียกเสียงดังลั่นตามอารมณ์ฉุนเฉียว อันมีสาเหตุมาจากตัวผู้เป็นเจ้าของห้อง
“นิค...นิโคลัส เปิดประตูให้ลุงด้วย”
ไมเคิลรอไม่ถึงนาที ประตูห้องก็เปิดออกกว้าง พร้อมกับใบหน้าบอกบุญไม่รับของผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งพอเปิดประตูให้ผู้เป็นลุงแล้ว ก็เดินกลับเข้าไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ทำงานที่ค้างอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาต่อ
“มีอะไรหรือครับลุง”
นิโคลัส คาร์ลอส เอ่ยถามผู้เป็นลุงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มือใหญ่ยังคงหยิบปืนหลายกระบอกที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะกระจก มาเช็ดทำความสะอาด โดยไม่ได้เงยหน้ามองใบหน้าบึ้งตึงของผู้เป็นลุง ซึ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงเขา
ไมเคิลขัดใจเป็นที่สุดกับท่าทีทองไม่รู้ร้อนของหลานชาย นิโคลัสเป็นเช่นนี้เสมอ เย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง หยิ่งยโส และเลือดเย็นที่สุด