ทางด้านบ้านสี่ไม่รู้เลยว่าปัญหาที่น่าปวดหัวกำลังเดินเข้ามาหาถึงบ้าน ทั้งสามคนยังคงคุยและปรึกษากันเรื่องร้านค้าที่กำลังจะไปจ่ายเงินซื้อพรุ่งนี้
"เหมยจูแล้วน้องจะต้องเข้าไปอำเภอขายของเองทุกวันหรือเปล่า" ตงซีเฉินถามภรรยาน้ำเสียงแผ่วเบา
"ฉันตั้งใจว่าจะหาลูกจ้างขายแทน ตัวฉันเองคงไม่มีเวลามานั่งขายเองหรอกพี่ซีเฉิน ฉันยังมีลูกสาวตัวน้อยต้องดูแล และยังมีสามีต้องดูแลอีกนะ ส่วนร้านค้าฉันเข้าไปดูอาทิตย์ละครั้งก็ไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งฉันอยากจะเปิดร้านอื่นอีก แต่ต้องค่อยๆ ดูไป" ตงซีเฉินสีหน้าดีขึ้นเมื่อภรรยาบอกว่าเธอมีหน้าที่ดูแลสามีและลูกน้อยเลยคิดจะหาคนงานไปขายของแทน ทำให้เขารู้สึกผิดกับภรรยาไม่น้อยที่เขาเดินได้แล้วแต่ไม่กล้าบอกภรรยา
"แต่เหมยจู แม่ว่าลูกควรจะหาคนที่ไว้ใจได้นะ เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใครหรอกลูก" ฟู่เจียจิ่นกังวลกลัวว่าลูกจ้างที่จ้างมาจะคิดไม่ซื่อ
"หนูว่าจะลองถามลุงเซียงดูค่ะ ว่าพอจะมีคนแนะนำบ้างไหม ลุงเซียงเป็นคนขับเกวียนที่หนูว่าจ้างวันนี้ ลุงดูเป็นคนน่าสงสาร หนูให้ค่าจ้างสิบหยวนเขาดีใจใหญ่เลย" หนิงเหมยจูนึกถึงลุงเซียงคนขับเเกวียน เธอจะลองถามดูพรุ่งนี้เพราะยังไงต้องให้ลุงเซียงมาส่งอยู่แล้วเธอตั้งใจจะเอาจักรยานของเด็กออกมาให้เสี่ยวลู่ปั่นเล่นไว้ออกกำลังกาย
"ดีแล้วลูก ช่วยคนที่ลำบาก บุญจะหนุนนำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น" ฟู่เจียจิ่นเห็นด้วยกับลูกสาว ในเมื่อพอจะมีก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้
"นังเหมยจู แกออกมาเดี๋ยวนี้นะ!" เสียงแม่เฒ่าตงตะโกนเรียกอยู่ที่หน้าบ้านเสียงดัง
"นั่นไงแม่ ผลบาปของหนูมาแล้ว" หนิงเหมยจูพูดขณะมองหน้าสามีอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงในเมื่อแม่เขามาหาเรื่องถึงบ้าน
"ไม่เป็นไรเหมยจู เราแยกบ้านกับบ้านใหญ่แล้ว อะไรที่น้องคิดว่าไม่ถูกต้องน้องจัดการได้เลย อีกทั้งพี่เองเป็นลูกชังของครอบครัวมาตลอด คนที่พี่ต้องอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตคือน้องและลูก ไม่ใช่บ้านใหญ่ตง แล้วในหนังสือสัญญาแยกบ้านพ่อกับแม่ไม่มีค่าเลี้ยงดูใดๆ ไม่มีธัญพืชหรืออาหารอื่นๆ ที่ต้องส่งเสียให้เป็นค่าเลี้ยงดู พี่ออกมาอยู่กับเสี่ยวลู่สองคนตั้งแต่แม่ของเสี่ยวลู่หย่าขาดจากพี่แล้ว" ตงซีเฉินยิ้มให้ภรรยาแต่แววตาของเขานั้นกลับเจือไปด้วยความเศร้า
"ไม่เป็นไรลูกเขย ใครไม่รักปล่อยเขาไป อย่างน้อยแม่ยายคนนี้ก็รักลูกเขยเหมือนลูกแท้ๆ ของแม่เอง"
ฟู่เจียจิ่นรู้ดีว่าบ้านตงนั้นเป็นยังไงและเพราะอะไรพ่อแม่ของตงซีเฉินจึงรังเกียจลูกชายคนนี้ ก่อนหน้านี้เธอยอมรับว่าเธอนั้นอ่อนแอจนต้องโดนทำร้ายมาตลอดทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ตอนนี้เธอต้องเข้มแข็งและเปลี่ยนตัวเองเหมือนกับเหมยจู เพื่อปกป้องครอบครัวของเธอรวมทั้งลูกเขยของเธอด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นฟู่เจียจิ่นจึงเป็นคนเดินออกมาหน้าบ้านคนแรก สองสามีได้แต่มองหน้ากันก่อนจะรีบตามออกไป
"มีอะไร มาร้องโวยวายทำไมที่นี่" ฟู่เจียจิ่นถามอย่างไม่ชอบใจ
"ออกมากันได้แล้วเหรอ นังเหมยจูกล้าดียังไงเอาเงินของเจ้าสี่ซื้อจักรยานมา แล้วจักรยานอยู่ไหน ฉันจะเอากลับบ้านตง" แม่เฒ่าตงเมื่อเห็นว่ามีคนเดินออกมาแล้วเธอจึงรีบถามหารถจักรยาน
"หน้าด้าน แล้วรู้ได้ยังไงว่าลูกสาวของฉันเอาเงินซีเฉินไปซื้อ สงสัยสมองเธอคงจะไม่ปกตินะกู้หลัน ก็เห็นอยู่ว่าฉันอยู่ที่นี่ เหมยจูจะะเอาเงินลูกเขยไปซื้อได้ยังไง แล้วที่สำคัญตอนที่ลูกเขยนอนอยู่ติดเตียงเธอและลูกสะใภ้ตัวดีทั้งหลายก็มาขนเอาอาหารและของที่มีค่าไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไง" แม้ว่าฟู่เจียจิ่นจะไม่ค่อยออกไปไหน แต่ข่าวเรื่องนี้มีใครบ้างที่ ไม่รู้
"อะไร แกพูดอะไร ฉันไม่ได้มาเอาไปเสียหน่อย ต่อให้ฉันจะมาเอาไปจริงๆ เจ้าสี่มันคือลูกของฉันทำไมฉันจะมาเอาของบ้านลูกชายฉันไม่ได้ มีแต่แกนะสิ คิดยังไงหอบลูกชายมาอยู่กับลูกสาวทั้งๆ ที่มีลูกเขยวัยฉกรรจ์อยู่ด้วย หรือว่าผัวหย่าจึงหาเป้าหมายใหม่ โอ๊ย!" แม่เฒ่าตงพูดไม่ทันจบก็เจอแรงถีบของฟู่เจียจิ่นเข้าไปเต็มเท้าจนกระเด็นออกมานอกลานบ้าน
"แก่แล้วยังจิตใจสกปรกอีก ฉันมาอยู่ที่นี่เพราะฉันหย่า ฉันไม่เถียง ฉันมาเพราะลูกสาวและลูกเขยอย่างซีเฉินชวนให้มาอยู่ด้วย ไม่มีใครคิดอกุศลแบบเธอหรอกนะ ส่วนเงินซื้อจักรยานก็เป็นเงินของเหมยจูเอง เธอลืมไปแล้วเหรอว่าวันที่เหมยจูแต่งงานเข้ามานั้นมีสินเดิมมากแค่ไหน
แค่ซื้อจักรยานคันละไม่กี่ร้อยหยวนทำไมเหมยจูของฉันจะไม่มีปัญญาซื้อเอง และจักรยานคันนี้เหมยจูซื้อให้น้องชายอย่างฮุ่ยหมินขี่ไปโรงเรียน และพรุ่งนี้จะไปซื้อให้เสี่ยวลู่หลานสาวตัวน้อยของฉันขี่เล่นอีกหนึ่งคัน ทำไมมีปัญหาหรือไง"
ชาวบ้านที่ตามมาดูได้แต่อ้าปากค้าง นี่ใช่ฟู่เจียจิ่นผู้แสนอ่อนโยนและขี้กลัวจริงเหรอ ทำไมวันนี้จึงได้กลายเป็นคนละคนแบบนี้ แม้แต่หนิงเหมยจูเองยังไม่เชื่อสายตาว่าแม่ผู้แสนอ่อนโยนและขี้กลัวของเธอจะกล้าถีบแม่สามีเสียกระเด็น ส่วนตงซีเฉินนั้นมองแม่ของเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่คิดว่าแม่ผู้ให้กำเนิดกล้าคิดเรื่องแบบนี้ได้
"น้าเจียจิ่น น้ากล้าทำร้ายแม่สามีฉันได้ยังไง น้าไม่กลัวฉันแจ้งเจ้าหน้าที่เหรอ" กู้เปียวอ้ายสะใภ้ใหญ่ได้สติก่อนจึงชี้หน้าถามเสียงสั่น
"ถ้าฉันกลัว ฉันจะทำไหม ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่เอาน้ำสกปรกมาล้างปากแม่สามีของเธอ สมองคิดได้แค่นี้จริงๆ ใช่ไหม หากฉันอยากมีสามีใหม่ฉันไม่จำเป็นต้องมามองลูกเขยตัวเองหรอก มีแต่คนจิตใจวิปริตเท่านั้นที่คิดได้" ฟู่เจียจิ่นอยากจะเข้าไปตบซ้ำเหลือเกินมันน่าไหม
"แล้วการที่พูดแบบนี้ไม่เท่ากับดูถูกชาวบ้านคนอื่นด้วยเหรอ ในหมู่บ้านเรามีกี่ร้อยครัวเรือน และมีตั้งหลายครอบครัวที่ลูกเขยอยู่บ้านเดียวกับแม่ยาย การที่เธอพูดแบบนี้เท่ากับดูถูกทุกคนด้วยเหมือนกัน หรือเธอว่าไม่จริง"
"นั่นนะสิ ฉันเองก็สามีตายลูกสาวและลูกเขยก็รับให้มาอยู่บ้านเดียวกัน อย่างนี้ก็เท่ากับเธอด่าฉันด้วยใช่ไหม"
ชาวบ้านคนหนึ่งที่สามีตายถูกลูกเขยและลูกสาวรับมาอยู่ด้วยพูดขึ้นเหมือนกัน จากนั้นจึงมีอีกหลายคนที่ส่งเสียงสนับสนุนฟู่เจียจิ่น ทำให้หรือแม่เฒ่าตงนั้นเกิดความกลัวไม่คิดว่าจะออกมาในรูปแบบนี้ จนหนิงฮุ่ยหมินและเสี่ยวลู่ปั่นจักรยานกลับมา ทำให้แม่เฒ่าตงเกิดแรงฮึดเพราะเห็นจักรยานคันใหม่และคิดอยากได้กลับไปบ้านตัวเอง จึงบอกให้สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองเข้าไปเอาจักรยานมา
"สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองเธอสองคนเข้าไปเอาจักรยานมา เราจะได้กลับบ้านเสียที"
"ใครกล้าก็เข้ามา" หนิงเหมยจูเดินออกมายืนอยู่ด้านหน้า ก่อนจะหันไปสั่งน้องชายให้พาเสี่ยวลู่เข้าบ้านไปอย่าออกมาจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
"ฮุ่ยหมินพาเสี่ยวลู่เข้าไปอยู่ในห้องก่อน เสร็จเรื่องแล้วค่อยออกมา" หนิงฮุ่ยหมินพยักหน้ารับก่อนจะอุ้มเสี่ยวลู่เข้าบ้านไป เขาเองไม่อยากให้หลานสาวตัวน้อยต้องเจอกับเหตุการณ์นี้เพราะตั้งแต่ที่ปั่นจักรยานเข้ามา เสี่ยวลู่กอดเอวเขาแน่นและดูเหมือนว่าเสี่ยวลู่จะตัวสั่นเพราะกลัวคนที่ได้ชื่อว่าเป็นย่าและป้าสะใภ้ใหญ่
"ขอโทษนะแม่สามี คุณมีสิทธิ์อะไรจะมาเอาจักรยานคันนี้ไป แต่ถ้าอยากได้ต้องจ่ายเงินมาสามร้อยหยวนค่าจักรยานคันนี้ก่อน แล้วเข้ามาเอากลับไปบ้านตงได้เลย แต่ถ้าไม่มีเงินก็อย่าคิดที่จะหยิบหรือเอาของจากบ้านนี้ไปอีก" หนิงเหมยจูพูดเสียงเย็น
"ฉันจะเอาของบ้านลูกชายฉัน ฉันเป็นแม่ฉันมีสิทธิ์ แกมันก็แค่สะใภ้ที่ลูกชายฉันไม่ต้องการแกอย่ามาพูดดี สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองยืนบื้ออยู่ทำไมรีบเข้าไปเอาจักรยานมาสิ" แม่เฒ่าตงอ้างสิทธิ์ที่เธอเป็นแม่สามีเป็นแม่ของตงซีเฉินเจ้าของบ้านหลังนี้อย่างหน้าไม่อาย ชาวบ้านและทุกคนที่ได้ยินต่างก็เบือนหน้าหนีทั้งนั้น
"หยุดเถอะครับแม่ แล้วใครบอกแม่ว่าผมไม่ต้องการเหมยจูภรรยาคนนี้ หากไม่ใช่เธอผมก็คงจะตายไปแล้วครับ และผมเองที่เป็นคนให้แม่ยายและฮุ่ยหมินมาอยู่ที่นี่เอง" ตงซีเฉินทนฟังแม่ของตัวเองมานานแล้วจึงอดที่จะพูดขึ้นไม่ได้
"เจ้าสี่แกกล้าปกป้องคนอื่นมากกว่าแม่ของตัวเองหรือยังไง แกพูดขึ้นมาก็ดีแล้ว แกเอาจักรยานคันนั้นมาให้หลานชายแกเสีย ตอนนี้หลานชายแกโตพอจะขี่ได้แล้ว"
"ผมให้ไม่ได้ครับ แม่ก็ได้ยินที่แม่ยายและภรรยาของผมพูดแล้ว ถ้าแม่อยากได้แม่ก็จ่ายเงินมาสิครับ ผมเชื่อว่าถ้าแม่จ่ายเงินเหมยจูภรรยาของผมคงจะยอมให้จักรยานแก่แม่แน่ๆ อีกอย่างแม่ก็รู้ว่าผมนั้นตกเขาจนขาหักไม่มีเงินไปรักษา ผมอยู่มาได้เพราะเงินของภรรยาทั้งนั้น ผมยังคงต้องพึ่งพาภรรยาและแม่ยายต่อไปอีกนะครับ อย่าทำให้ผมกับเสี่ยวลู่ต้องลำบากเลย แม่อย่ามาสร้างเรื่องจนทำให้ภรรยาต้องขอหย่าจากผมเลยนะครับ"
ตงซีเฉินทำหน้าเศร้าระหว่างพูด หนิงเหมยจูและฟู่เจียจิ่นแทบอยากกระโดดปรบมือให้ตงซีเฉินจริงๆ ใครว่ามารยานั้นมีแต่ผู้หญิงแล้วดูนี่สิมันคืออะไรแม้แต่แม่เฒ่าตงยังไม่เชื่อว่าลูกชายจะกระโดดออกมาปกป้องภรรยาแบบนี้
"แกอย่ามาพูดแบบนี้นะ แกไม่รู้หรือยังไงว่าตอนที่แกนอนอยู่ที่เตียง เมียของแกคนนี้นัดเจอใครบ้าง มันกล้าถึงขนาดนัดแนะกับชายหนุ่มคนอื่นเพื่อจะหนีไปเพราะว่าแกเป็นคนพิการยังไงล่ะ แกอย่าโง่ไปหน่อยเลย"
"ใครบอกแม่ล่ะครับว่าผมนั้นพิการ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหมยจูพยายามเสาะหาหมอต่างๆ มากมายแอบมารักษาผม การที่เธอพบเจอคนมากหน้าหลายตามันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอนี่คือการพิสูจน์ว่าเหมยจูนั้นรักผมมากแค่ไหนมากกว่าครับแม่ เธอยอมที่จะให้คนอื่นเข้าใจผิดกล่าวหาต่างๆ นานา แต่ไม่ยอมพูดความจริงออกไปว่าเธอทำแบบนั้นทำไม
ภรรยาแบบนี้ผมจะหาได้จากที่ไหนอีก และแม่ยายไม่รังเกียจลูกเขยจนๆ แถมยังมีลูกติดแบบผม ภรรยาไม่รังเกียจที่สามีจะต้องกลายเป็นคนพิการ เรื่องนี้มันพิสูจน์ทุกอย่างแล้วครับ และผมไม่ใช่คนพิการ"
ตงซีเฉินพูดจบจึงลุกขึ้นยืนจากรถเข็น ก่อนจะก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้ามาหาหนิงเหมยจูภรรยาของเขา พร้อมกับส่งยิ้มให้เธอด้วยความอบอุ่นและจริงใจ
**********************