เช้าวันต่อมา พัชรายังไม่ได้นอนตั้งแต่สะดุ้งตื่น ดีที่ช่วงนี้เธอไม่มีคิวงาน ทำให้ไม่ต้องโทรไปลาหรือว่ามีห่วงอะไร หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอจึงเตรียมไปห้างสรรพสินค้าที่มีสัญลักษญ์สีแดงก่อนเป็นอันดับแรก ช่วงเช้าแบบนี้คิดว่าคนไม่มากเท่าไหร่ เธอจึงขับรถมุ่งหน้าไปสถานที่แห่งนั้น ขอเพียงอย่างเดียวว่ากล้องวงจรปิดจะไม่เห็นว่าเธอทำอะไร ไม่อย่างนั้นแทนที่จะทะลุมิติไปแบบในนิยาย จะได้ไปอยู่ในคุกแทนนะสิ ดีไม่ดีขึ้นหน้าหนึ่งอีกต่างหาก
เมื่อมาถึงเธอจึงเดินตามชั้นวางของและเอามือแตะเข้าแตะออกแบบนั้นด้วยความรวดเร็ว เธอใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงทุกอย่างจึงเข้าไปอยู่ในมิติอย่างที่เธอต้องการ แต่เธอยังเลือกที่จะซื้อของออกมาหลายอย่างเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของพนักงาน
จากนั้นจึงขับรถมุ่งหน้าไปที่ห้างที่ใหญ่ที่สุด พัชรายังคงทำแบบเดิม อยากได้อะไรเธอก็ใช้เพียงนิ้วแตะเข้าแตะออก จนเวลาล่วงเลยมาเกือบเย็น เธอจึงเลือกที่จะกลับเพราะแค่นี้ก็เหนื่อยเหมือนกันเดินทั้งวันจะไม่เหนื่อยได้ยังไง แต่พอจะออกจากห้างสรรพสินค้า สายตาไปเห็นแผนกเครื่องสำอาง เธอจึงเดินเข้าไปทำเหมือนเดิม แม้แต่แผนกนาฬิกาเธอก็ไม่ลืม
"ใช่แล้ว สบู่ เครื่องสำอางไง หากแกทำได้ นั่นคืออาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้เลยนะไอ้พัช แต่ว่ามันต้องไปโรงงานหรือเปล่าว่ะ กลับบ้านคงต้องไปค้นหาข้อมูลเสียหน่อยแล้ว"
พอคิดได้แบบนั้นเธอจึงรีบกลับบ้าน เพราะพรุ่งนี้เธอจะต้องไปสำเพ็งและประตูน้ำอีก เธอยังไม่ได้ผ้าเป็นม้วนหรืออย่างอื่นเลย หากต้องการของพวกนี้ต้องไปสองแห่งนี้เท่านั้น แต่พอกลับมาถึงบ้านเธอจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำสบู่และเครื่องสำอาง ก่อนจะปริ้นทุกอย่างมาเก็บไว้
พัชราใช้ชีวิตโดยที่การหาของเข้ามิติตามที่ต้องการจนครบทุกอย่างเธอไม่ลืมแม้กระทั่งจักรเย็บผ้าทุกแบบหนึ่งอาทิตย์เต็ม เพราะแค่ประตูน้ำและสำเพ็งรวมไปถึงโบ๊เบ๊เธอใช้เวลาสี่วัน ส่วนอาหารสำเร็จรูปเธอก็จะสั่งร้านประจำที่เธอชอบกินทุกอย่างเก็บไว้ในมิติ
ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว และเธอยังฝันแปลกๆ ฝันซ้ำๆ เหมือนเดิม จึงคิดเพียงว่าเธอคงจะได้ทะลุมิติไปแบบนิยายแน่ๆ ตอนนี้เธอทำเรื่องขายคอนโดเรียบร้อยส่วนรถยนต์นั้นเธอเก็บเข้ามิติด้วยเช่นกัน ตอนนี้เธอจึงมาเช่าห้องรายวันอยู่แทน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองนั้นจะหายไปตอนไหน ส่วนเงินที่ขายคอนโดทั้งสองแห่งเธอบริจาคให้กับโรงพยาบาลและบ้านเด็กกำพร้าทั้งหมด โดยเหลือเงินติดตัวไว้ไม่มากพอประทังชีวิตและจ่ายค่าห้องเท่านั้น
แต่แล้วอยู่ๆ คืนหนึ่งที่เธอหลับ เธอกลับไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย คนที่มาเจอร่างของเธอคือแม่บ้านประจำห้องเช่า ก่อนจะแจ้งเรื่องให้กับเพื่อนสนิทอย่างเก๋หรือสุนิสามารับร่างไปจัดงานตามประเพณี
พัชรารู้สึกว่าร่างกายกำลังสำลักน้ำ และเหมือนว่ามีใครเอาผ้ามาปิดจมูกเธอไว้ จากนั้นไม่นานอาการที่อึดอัดจากการสำลักน้ำนั้นค่อยๆ หายไป เธอจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนจะตกใจแทบสิ้นสติเพราะนี่ไม่ใช่ห้องพักที่เธอเช่าอยู่ แต่เป็นบ้านดินที่แสนจะทรุดโทรมและเก่าจะพังใส่หัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อมองรอบๆ ทำให้รู้ว่าเธอทะลุมิติมาแล้วจริงๆ ก่อนจะปวดหัวแทบจะระเบิด
ความทรงจำต่างๆ ของร่างนี้ฉายชัดเหมือนกับภาพยนตร์ให้เธอเห็น ร่างนี้ชื่อหนิงเหมยจู หรือเสี่ยวจูหรือจูจู แล้วแต่ว่าใครจะเรียก เธออายุสิบแปดปีเป็นลูกสาวคนโตของบ้านหนิง แม่เป็นภรรยาคนแรกและพ่อยังมีภรรยาอีกคน เธอมีน้องชายร่วมท้องแม่เดียวกันอีกหนึ่งคน
ทั้งสองนั้นรักเธอมาก แต่เพราะความเห็นแก่ตัวของ หนิงเจียวจูทำให้เธอคิดที่จะทิ้งแม่และน้องไว้ที่บ้านพ่อโดยการวางแผนจับสามีคนปัจจุบันซึ่งเป็นพ่อหม้ายลูกติดหนึ่งคนแต่หน้าตาหล่อเหลาไม่น้อยเพื่อออกมาจากบ้านหนิง
ภาพทุกอย่างฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ พัชราเองก็นอนด่าเจ้าของร่างนี้ในใจตลอด จนเธอนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนที่เธอฝันถึง ก่อนจะได้ยินเสียงเท้าน้อยๆ เหมือนจะค่อยๆ ย่องเดินเข้ามา เธอจึงแกล้งหลับตาอีกครั้ง จากนั้นมีมือน้อยๆ เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าและตามลำตัว พัชราได้แต่คิดในใจว่าเธอจะตายอีกครั้งเพราะสำลักผ้าชุ่มน้ำผืนนี้แน่ๆ
"ฮือๆๆ น้าขา ต่อไปเสี่ยวลู่จะไม่ดื้อแล้ว น้าฟื้นขึ้นมาเถอะนะ พ่อก็เดินไม่ได้ น้ามาสลบไปอีกแล้วต่อไปเสี่ยวลู่จะอยู่กับใคร" ตงลู่จิงเช็ดหน้าเช็ดตัวให้กับแม่เลี้ยงพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย
"พอแล้ว ไม่ต้องเช็ดแล้ว เดี๋ยวฉันจะสำลักตายไปเสียก่อน" หากเธอทนฟังแม่หนูน้อยนี่พูดจบคงได้สำลักน้ำตายหรือไม่ก็ป่วยตายอีกครั้งแน่ ตงลู่จิงเมื่อเห็นว่าแม่เลี้ยงฟื้นขึ้นมาแล้วก็ยิ้มดีใจ แต่เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอมักจะโดนดุด่าเป็นประจำ ทำให้เธอกลัวและเดินไปอยู่มุมห้อง
พัชรามองหนูน้อยคนนี้เธออายุเพียงแค่สี่ขวบแต่ร่างกายนั้นผอมยิ่งกว่าเด็กสามขวบเสียอีก ดวงตากลมโต หากอ้วนกว่านี้คงจะน่ารักไม่เบาเลยทีเดียว เธอจึงกวักมือเรียกแม่หนูน้อยเสียวลู่คนนี้มาหา ก่อนจะลุกนั่งบนเตียงเตาเก่าๆ อันนี้
"มานี่เสี่ยวลู่ ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก" ตงลู่จิงชั่งใจไม่นานจึงได้เดินเข้ามาหา พัชราจึงอุ้มแม่หนูน้อยมานั่งบนตัก ก่อนจะถามเรื่องที่เธอสงสัย เพราะบางอย่างเธอเองก็จำไม่ได้
"ทำไมเรียกฉันว่าน้าล่ะ ฉันเป็นแม่เลี้ยงเธอไม่ใช่เหรอ"
"หนูไม่กล้าเรียกค่ะ และน้าไม่ให้หนูเรียกด้วย" ตงลู่จิงก้มหน้าตอบ
"เอาอย่างนี้ ต่อไปนี้เสี่ยวลู่อยากเรียกฉันว่าแม่ ฉันก็จะไม่ห้าม ตกลงไหม อยากเรียกแม่หรือเปล่า"
ตงลู่จิงเงยหน้ามองดวงตาเป็นประกาย ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความดีใจ พัชรามองหนูน้อยคนนี้ทั้งสงสารทั้งเอ็นดู เธอจึงคิดเพียงว่าต่อไปเสี่ยวลู่จะเป็นลูกสาวของเธอ ใครหน้าไหนก็ห้ามมาทำร้ายหรือว่ามารังแกเด็ดขาด ใครจะว่าเธอบ้าก็ได้ แต่เธอนั้นรักแม่หนูน้อยคนนี้ตั้งแต่ในฝันแล้ว เธอจะปกป้องแม่หนูน้อยคนนี้เองและจะเลี้ยงให้อ้วนท้วนเลยคอยดู
ภาพความทรงจำที่เธอมีนั้น หลานๆ บ้านของสามีมักจะรังแกเด็กน้อยคนนี้เสมอ และยังมีพวกป้าสะใภ้มหาภัยทั้งหลายที่มักจะพูดจากระทบเด็กสี่ขวบบ่อยๆ ไม่รู้สมองป่วยหรือยังไงมารังแกเด็กที่ไม่มีทางสู้
"เอาอย่างนี้นะ ต่อไปนี้หนูเรียกแม่ว่าแม่ เสี่ยวลูกคือลูกสาวของแม่ เข้าใจไหมจ๊ะคนเก่ง ใครกล้ามารังแกหนูแม่คนนี้จะเป็นคนจัดการให้กลับบ้านไม่ถูกเลยดีไหม"
"ดีค่ะ หนูจะช่วยแม่จัดการด้วยนะ" ตงลู่จิงตอบด้วยน้ำเสียงสดใส เธอมีความสุขมาก ตอนนี้ความกลัวหายไปความดีใจเข้ามาทดแทน เธอมีแม่เหมือนคนอื่นเสียที ตั้งแต่เกิดมาเธอมีแต่พ่อเพียงคนเดียว คนอื่นๆ รวมไปถึงป้าสะใภ้มักจะพูดว่าเธอเป็นเด็กที่ถูกทิ้งไม่มีใครต้องการ อยู่ๆ เสียงท้องน้อยๆ ของเสี่ยวลู่ดังขึ้น ทำให้เด็กน้อยอายจนหน้าแดง
"เสี่ยวหลู่หิวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวแม่ไปทำอะไรให้กินดีไหมคนเก่ง"
"หิวค่ะ พ่อก็หิว พ่อยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน" ตงลู่จิงบอกเสียงเบา เธอกลัวว่าแม่จะโกรธหากพูดถึงพ่อ พัชราเข้าใจในความคิดและความรู้สึกของลูกสาวตัวน้อยจึงพูดกับเธอด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อบอุ่น
"ถ้าอย่างนั้นแม่ไปทำอาหารให้พ่อด้วยดีไหม หนูไปอยู่ดูพ่อก่อนนะลูก แม่จะเข้าครัวไปทำอาหาร"
"แม่จะไม่หายไปไหนใช่ไหม แม่จะอยู่กับหนูกับพ่อใช่ไหม"
“แม่สัญญาว่าจะอยู่กับหนูตลอดไป”
เธอเลือกที่จะไม่ตอบว่าจะอยู่กับสามีเจ้าของร่างหรือไม่ เธอรู้ดีว่าเขาต้องแต่งงานกันร่างนี้เพราะความจำยอม และที่สำคัญร่างนี้ทั้งเลวทั้งร้ายเธอเองจึงตอบไม่ได้เหมือนกัน
********************