บทที่ 26 ปัญหาหนักใจของเสี่ยวลู่

2010 Words
หลังจากที่ลุงเซียงกลับไปแล้ว หนิงเหมยจูจึงไปช่วยแม่ทำอาหารเลี้ยงคนงาน เพราะวันนี้ยังไม่ได้ว่าจ้างใครเข้ามามาก อีกทั้งต้องรออีกสองวันช่างและคนงานจึงจะมากันครบทีม ราคาที่ตกลงสร้างบ้านสรุปค่าก่อสร้างและค่าวัสดุต่างๆ นั้นตกลงกันที่แปดร้อยหยวน ราคาที่แพงขนาดนี้เพราะหนิงเหมยจูต้องการสร้างเต็มพื้นที่ที่แม่ได้รับการจัดสรรมา ส่วนพื้นที่บ้านเก่าเธอจะแบ่งไว้ปลูกผักและทำสวนนิดหน่อยเท่านั้น ส่วนตงซีเฉินถึงแม้ว่าจะจ้างคนมาถางหญ้าและปรับพื้นที่ชายหนุ่มก็ไม่อยู่เฉยลงมือทำงานด้วยเหมือนกัน เสี่ยวลู่และหนิงฮุ่ยหมินนั้นเข้าไปช่วยในครัว หนิงเหมยจูระหว่างทำอาหารก็สังเกตลูกสาวตัวน้อยที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงได้นั่งถอนหายใจเหมือนผู้ใหญ่และดูท่าว่าคิดหนักมาก เธอหันไปมองหน้าน้องชายและแม่ทั้งสองคนส่ายหน้าเพราะไม่รู้ว่าหลานสาวเป็นอะไร "เสี่ยวลู่หนูเป็นอะไร แม่เห็นหนูถอนหายใจตลอดเลย ผักที่หนูช่วยล้างช่วยเด็ดแม่ว่าคงจะห่อเหี่ยวตามลูกแล้วแน่ๆ" "หนูกลุ้มค่ะ เห้อ" เสี่ยวลู่ตอบแล้วก็ถอนหายใจ หนิงฮุ่ยหมินเช็ดมือแล้วเดินมานั่งใกล้ๆ หลานสาวตัวน้อยแล้วก็อุ้มมานั่นบนตัก "ไหนเสี่ยวลู่คนเก่ง บอกน้าฮุ่ยสิลูกว่าหนูเป็นอะไร ทำไมถึงกลุ้มและคิดหนักแบบนี้" "หนูอยากได้จักรยานสักสามสี่คัน แต่หนูไม่มีเงินซื้อ และไม่อยากให้แม่เสียเงิน" เสี่ยวลู่บอกความต้องการออกมา "หนูจะเอาจักรยานไปทำไมตั้งหลายคันลูก" หนิงเหมยจูไม่เข้าใจในสิ่งที่ลูกสาวกำลังจะสื่อ "หนูอยากได้จักรยานมาทำการค้าเหมือนการเช่าบ้าน ให้เด็กๆ ในหมู่บ้านเช่า เพราะหลายคนอยากได้แต่ครอบครัวไม่มีเงิน" ทั้งสามคนมองหน้าเสี่ยวลู่ด้วยความคาดไม่ถึง ความคิดของเด็กน้อยคนนี้ทำให้ทั้งสามคนภูมิใจเหลือเกิน "แล้วทำไมลูกไม่ให้สหายหรือเด็กๆ ในหมู่บ้านยืมเล่นเฉยๆล่ะ ทำไมถึงคิดจะให้เช่า" หนิงเหมยจูถาม เธออยากจะรู้ว่าลูกจะตอบยังไง เสี่ยวลู่ส่ายหัวแทบหลุด รีบบอกแม่และทุกคน "ที่หนูไม่ให้ยืมเพราะว่าในหมู่บ้านมีเด็กเกเร ถ้าเด็กพวกนั้นรู้ว่าหนูให้เด็กในหมู่บ้านคนอื่นยืมจักรยาน เด็กเกเรพวกนั้นต้องมาแย่งชิงไปแน่ๆ แล้วถ้าจักรยานพังคงจะไม่มีใครรับแน่ๆ ว่าทำของหนูพัง" เสี่ยวลู่นึกถึงบรรดาเด็กเกเรที่มีอยู่ในหมู่บ้าน ก่อนหน้านี้เธอยังเคยโดยแกล้งเลย ยิ่งพูดถึงตงเจียผิงลูกสาวป้าใหญ่ นิสัยไม่ดีเลยชอบมาแกล้งเธอกับสหายเป็นประจำ สหายของเธอนั้นเธอให้ยืมได้ แต่ถ้าเด็กคนอื่นมายืมกันทั้งหมด รับรองว่าของเธอพังแน่ๆ ทั้งสามคนมองภาพเด็กน้อยตัวแสบของบ้านที่ตอนนี้นั่งถอนหายใจท่าทางยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ปัญหานี้คงเป็นปัญหาหนักสำหรับเสี่ยวลู่ตัวน้อยจริงๆ "เอาอย่างนี้ไหม น้าฮุ่ยร่วมลงทุนกับเสี่ยวลู่ด้วย ตอนนี้เราสองคนรวมเงินกันได้ร้อยห้าสิบหยวน ถ้าเสี่ยวลู่อยากซื้อสามคันเสี่ยวลู่ขาดเงินอีกแค่ร้อยห้าสิบหยวนเท่านั้นเอง แม่เหมยจูให้ราคาเราแค่หนึ่งร้อยหยวนไม่ใช่เหรอ" หนิงฮุ่ยหมินไม่อยากให้เด็กน้อยนั่งหน้ามุ่ย เพราะหลานสาวของเขานั้นเหมาะกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมากกว่า "น้าฮุ่ย ร้อยห้าสิบหยวนนะ ไม่ใช่เงินสองหยวนที่หนูจะเดินไปขอพ่อขอแม่ได้ง่ายๆ เห้อ!" เสี่ยวลู่หันมามองค้อนน้าชาย "เอาอย่างนี้ไหมเสี่ยวลู่ หนูเอาเงินยายไปก่อนพอกิจการเช่ารถจักรยานของหนูมีรายได้หนูค่อยมาผ่อนคืนให้ยาย" ฟู่เจียจิ่นเอ็นดูหลานสาว อายุยังไม่ห้าขวบเต็มกลับมีความคิดจะทำการค้าของตัวเอง ในอนาคตหลานสาวตัวน้อยคนนี้ต้องประสบความสำเร็จมากแน่ๆ "ดีเหมือนกันนะเสี่ยวลู่หนูกับน้าฮุ่ยหมินยืมเงินของยายก่อน แม่จะไปเอาจักรยานให้ หรือว่าจะยืมเงินแม่ก่อนไหม" หนิงเหมยจูเห็นด้วยและถามกลับด้วยรอยยิ้ม ดีเหมือนกันที่ลูกสาวคิดแบบนี้จะได้ฝึกการค้าให้ตั้งแต่เด็ก "ก็ได้ค่ะหนูยืมเงินยายก่อนแต่ยายต้องทำสัญญา น้าฮุ่ยทำสัญญาด้วยนะ" เสี่ยวลู่พยักหน้ายินยอมในที่สุด ก่อนจะบอกน้าชายให้ทำสัญญาให้ด้วย "แล้วทำไมต้องเป็นน้าล่ะ" หนิงฮุ่ยหมินอมยิ้มถาม "ก็หนูยังเด็กเขียนหนังสือและท่องจำได้ไม่มากเหมือนน้านี่ น้านั่นแหละต้องทำสัญญา หลังจากนั้นเราค่อยมาปรึกษากันว่าให้เช่าชั่วโมงล่ะเท่าไหร่ เย้ๆๆ ต่อไปเสี่ยวลู่คนนี้จะมีกิจการเป็นของตัวเองแล้ว เย้ๆๆ" เสี่ยวลู่กระโดดโลดเต้นดีใจพอคิดถึงเงินที่จะได้รับเมื่อมีคนมาเช่าจักรยานของเธอ ทั้งสามคนมองดูหลานที่ก่อนหน้านี้นั่งหน้าหงอยกำลังกระโดดดีใจ ก็ได้แต่มองและยิ้มด้วยความเอ็นดู ทางเข้าหมู่บ้านตอนนี้มีรถยนต์คันใหญ่ขับเคลื่อนเข้ามา ทำให้ชาวบ้านที่เดินผ่านมองด้วยความสงสัย รถคันนั้นชะลอความเร็วและถามชาวบ้านที่นั่งจับกลุ่มคุยกันใต้ต้นไม้ และในนั้นดันมีกู้เปียวอ้ายและซูหวั่นสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองของบ้านตงรวมอยู่ในนั้นด้วย "ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าบ้านสี่ตงของตงซีเฉินภรรยาชื่อหนิงเหมยจูอยู่หลังไหนครับ" คนขับรถของอ้ายเจินเดินลงมาถาม "มีเรื่องอะไรหรือเปล่า มาถามหาน้องสี่ทำไม" กู้เปียวอ้ายเสนอหน้าตัวเองถามเสียงดัง "เจ้านายผมมีธุระจะคุยกับคุณเหมยจูครับ ช่วยบอกทางหน่อยได้ไหมครับว่าอยู่หลังไหน" "บ้านของน้องสี่อยู่กลางหมู่บ้านค่ะ บ้านดินหลังเก่าตอนนี้พื้นที่ข้างๆ กำลังปรับที่ดินจะสร้างบ้าน หาไม่ยากหรอก" ซูหวั่นเป็นคนตอบ หากรอพี่สะใภ้ใหญ่ตอบคงไม่มีทางรู้แน่ๆ ตอนนี้สามีสั่งห้ามไม่ให้คล้อยตามแม่สามีและสะใภ้ใหญ่ตอนไปหาเรื่องบ้านน้องสี่ หากไม่เชื่อฟังสามีจะหย่ากับเธอ หากวันนี้ไม่ต้องการมาสืบข่าวลือที่กระจายในหมู่บ้านเธอคงถอยห่างพี่สะใภ้แล้วเหมือนกัน "ขอบคุณมากนะครับ" คนขับรถเดินกลับมาขึ้นรถ แต่อ้ายเจินกลับยื่นเสื้อกันหนาวตัวโตให้เป็นสินน้ำใจ คนขับรถจึงเดินกลับมาอีกครั้ง "ลืมอะไรหรือเปล่าคะ" ซูหวั่นถามเมื่อเห็นว่าคุณลุงคนนี้เดินกลับมา "เปล่าครับ นี่คือของกำนัลแทนน้ำใจที่บอกทางไปบ้านสี่ตง เสื้อหนาวตัวนี้ใส่ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงนะครับ" พูดจบก็ยื่นให้กับซูหวั่นและเดินกลับไปขึ้นรถ จากนั้นจึงขับรถมุ่งหน้าไปบ้านสี่ตง ซูหวั่นยิ้มดีใจกอดเสื้อไว้แน่นสร้างความอิจฉาให้กับชาวบ้านที่อยู่ด้วยกัน ต่างก็คิดในใจว่าทำไมตัวเองจึงไม่ตอบคำถามแทน "เอามาให้ฉันสะใภ้รอง" กู้เปียวอ้ายอิจฉาและใช้สายตาข่มขู่เพื่อที่จะเอาเสื้อตัวนี้มาให้ตัวเองแทน "ไม่ค่ะ เสื้อตัวนี้ท่าทางจะตัวใหญ่ฉันจะเอาไปให้พี่เหวินซู่สามีของฉัน พี่สะใภ้ทำไมไม่ตอบเขาไปล่ะ ถ้าพี่ตอบพี่ก็คงจะได้แล้ว" ซู่หวั่นพูดจบก็รีบวิ่งกลับบ้านเอาเสื้อตัวนี้ไปให้สามี ต่อให้แม่สามีเป็นคนขอถ้าพี่เหวินซู่ไม่ยินยอมก็ไม่มีใครกล้าแย่งชิง กู้เปียวอ้ายมองตามหลังน้องสะใภ้ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินตามกลับบ้านเพื่อจะบอกเรื่องราวของข่าวลือและเรื่องที่มีรถคันใหญ่มาหาน้องสี่ รถของอ้ายเจินเคลื่อนตัวมาอย่างช้าๆ ไม่นานก็มาถึงบ้านของตงซีเฉิน พอมาถึงกลับเจอเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังเดินมาที่หน้าบ้านพอดี จึงเรียกไว้ด้วยความเอ็นดู "หนูน้อย ที่นี่บ้านของตงซีเฉินและหนิงเหมยจูหรือเปล่าจ๊ะ" อ้ายเจินถามด้วยรอยยิ้ม เธอเองเป็นคนชอบเด็กแต่เพราะลูกทั้งสามคนยังไม่แต่งงาน ทำให้เธอมักจะชอบคุยกับเด็กน้อยเวลาพบเห็น "เอ๋!...คุณยายมาหาพ่อกับแม่ของหนูเหรอคะ" เสี่ยวลู่ถามกลับด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะหันไปมองเห็นคุณลุงคนหนึ่งที่นั่งเก้าอี้เหมือนพ่อของเธอก่อนหน้านี้ เด็กน้อยจึงวิ่งเข้าหาด้วยรอยยิ้ม "คุณลุงนั่งรถเข็นเหมือนพ่อหนูเลย แต่ตอนนี้พ่อหนูหายแล้วเดินได้แล้ว ไม่นานคุณลุงก็ต้องหายเหมือนกัน" เสี่ยวลู่ยืนยิ้มหวานให้กับคุณลุงคนใหม่คนนี้ที่มาหาพ่อกับแม่ของเธอ ปกติป้านเซียงเหวินไม่ค่อยจะชอบเด็กหรือวุ่นวายกับเด็กเท่าไหร่ แต่กับเด็กน้อยตรงหน้าเขากลับรู้สึกเอ็นดู ตัวแค่นี้กลับพูดให้กำลังใจคนพิการแบบเขา "ลุงคงไม่หายหรอกหนูน้อย ลุงกลายเป็นคนพิการไปแล้ว" แม้ว่าจะยิ้มแต่แววตาเขาบ่งบอกว่าเขากำลังเศร้า "โอ๋ๆๆๆ ไม่เศร้านะคะ พ่อของหนูกินยาวันเดียวก็ลุกขึ้นเดินได้แล้ว เดี๋ยวเสี่ยวลูกถามพ่อซีเฉินและแม่เหมยจูให้นะว่ามียาอีกหรือเปล่า ถ้ามีเหลือหนูจะขอมาให้คุณลุงนะ" ด้วยความเป็นเด็กและจิตใจนั้นบริสุทธิ์ เสี่ยวลู่จึงพูดไปตามสิ่งที่เห็นและได้รับรู้ว่าหลังจากที่พ่อกินยาแล้ววันต่อมาพ่อก็เดินได้ แต่กลายเป็นสามคนพ่อแม่ลูกตระกูลป้านมองหน้ากันด้วยความแปลกใจและมีความหวัง "ใครมาเหรอเสี่ยวลู่" ตงซีเฉินเดินไปหาลูกสาวหลังบ้านไม่เจอจึงเดินออกมาหน้าบ้าน และได้ยินเสียงเหมือนลูกสาวกำลังคุยอยู่กับใครเลยรีบเดินออกมาดู "พ่อค่ะ คุณยายท่านนี้มาหาพ่อกับแม่ค่ะ หนูเลยชวนคุณลุงคนนี้คุย" เสี่ยวลู่ยิ้มแป้นตอบพ่อ "สวัสดีครับป้าอ้ายเจิน เข้ามาในบ้านก่อนครับ บ้านผมคับแคบไปหน่อยนะครับ" ตงซีเฉินเริ่มเห็นชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมาจึงชวนทั้งสามคนเข้าบ้าน ส่วนคนขับรถเขารออยู่ที่รถปล่อยให้เจ้านายทั้งสามคนเข้าไปคุยธุระ และเขาหวังว่าสิ่งที่แม่หนูน้อยบอกนั้นจะเป็นความจริง ตัวเขาเองเคยได้ยินรุ่นพ่อรุ่นแม่คุยกันเหมือนกันว่าเคยมีหมอเทวดาและมียาที่รักษาได้ทุกอย่าง แต่ผ่านมาหลายสิบปีแบบนี้มันจะยังหลงเหลืออยู่อีกเหรอ เมื่อเข้ามาในบ้าน ตงซีเฉินให้ทั้งสามคนรออยู่ในห้องโถงของบ้าน ก่อนจะเดินไปตามภรรยาที่อยู่หลังบ้านมาพบกับทุกคน เมื่อตงซีเฉินและหนิงเหมยจูเข้ามาก็ต้องตื่นตกใจเพราะป้าอ้ายเฉินและชายอีกคนที่คิดว่าน่าจะเป็นสามีกำลังจะคุกเขาให้ ตงซีเฉินและหนิงเหมยจูรีบเข้าพยุงทั้งสองคนให้ลุกขึ้น "เกิดอะไรขึ้นคะ ป้าอ้ายเจินป้ากำลังทำอะไร" ********************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD