บทที่ 4 ขนมโตเกียวคอยรัก

1569 Words
อันที่จริงเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ประถม ด้วยความที่เรียนด้วยกัน แล้วเหตุบังเอิญที่ทำให้เราสนิทกันมากเริ่มจากไอ้ไวเปอร์กับไอ้เสือที่รู้จักกันอยู่แล้วเพราะบ้านใกล้กัน จากนั้นเพราะมันทั้งคู่มีชื่อเป็นสัตว์ ไวเปอร์แปลว่างูมีพิษ ไอ้เสือก็ตามชื่อของมัน ทำให้โลกอันเงียบสงบของผมถูกทำลายลงเมื่อมันทั้งคู่อยากเป็นเพื่อนกับผม เพราะผมชื่อมังกร เป็นสัตว์เช่นกัน ถึงจะเป็นสัตว์ในโลกแฟนตาซีก็เถอะ และเอมิเลียที่ย้ายมาใหม่ ชื่อของเธอแปลว่าผีเสื้อในภาษาละติน ไอ้เสือมันก็เข้าไปเต๊าะ แต่ก็ได้มาเป็นเพื่อนรวมกลุ่มกันสี่สัตว์ที่ครูที่โรงเรียนชอบเรียกหา หมายถึง...ฝ่ายปกครองเรียกนั่นแหละ และที่ทำให้ผมอยากกัดลิ้นตายที่สุดคือไอ้เสือมันคิดว่าแก๊งเราต้องมีสัญลักษณ์ โดยการสักลายตามชื่อของตัวเอง ผมมีรอยสักที่แผ่นอกด้านขวาเป็นรูปมังกร ไอ้ไวเปอร์เป็นรูปงูที่แขน ไอ้เสือเป็นรูปเสือที่แผ่นหลังพาดมาที่หัวไหล่ ส่วนเอมิเลียมีรอยสักที่เนินหน้าอกเป็นผีเสื้อ ที่บอกอยากกัดลิ้นตายเพราะพอโตขึ้นมาก ๆ ผมกลับเริ่มมองว่ามันไร้สาระ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนผมก็รู้สึกภูมิใจกับสัญลักษณ์ของแก๊งเราเหมือนกับทุกคนนั่นแหละ “แล้วยังไงวะ กูได้ยินไอ้เสือบอกอาหมวยมึงมาพักด้วย” ไอ้ไวเปอร์หันมาถามผม ทำให้ผมเลื่อนสายตาไปมองหอกระจายข่าวอย่างไอ้เสือ ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม อะไรที่อยู่ในปากไอ้เสือ ถ้ามันไม่คายออกมาคงสำลักในคอตายล่ะมั้ง “กูอยากเจอน้องว่ะ ไม่เจอกันนานคงสวยใสเหมือนเดิม” ผมตวัดสายตามองไอ้ไวเปอร์ทันทีที่มันพูดอย่างนี้ มันนี่แหละปากเสือปากจระเข้ที่เตี่ยพูดถึงของจริง “ถุ้ย! อยากเจอแน่เหรอ ก็ว่ามึงอยาก***เสียมากกว่า” ไอ้เสือเอ่ยพูด แล้วไอ้ไวเปอร์ก็หัวเราะราวกับเป็นเรื่องขบขัน ทั้ง ๆ ที่นั่นเป็นน้องสาวของผม ถึงจะไม่แท้ก็เถอะ ...แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ผมไม่ใช่คนชอบพูด แต่ผมเป็นคนคิดเยอะมาก เหมือนกับในหัวมันต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะเอ่ยพูดแต่ละคำ มันหนักปากและรู้สึกกระอักกระอ่วน ลำบากใจที่จะพูด แม้นว่าเราจะสนิทกันมากก็ตามที อาจจะเป็นเพราะความกดดันจากที่บ้านมั้งที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ “ฉันอยากกลับละ มีใครจะกลับบ้าง” เสียงของเอมิเลียดังขึ้น ก่อนที่ไอ้เสือจะลุกพรวดขึ้น มันรีบเสนอหน้าทันที “กู กูไปส่งมึงได้” “หึ อย่าเชียวนะ กูบอกแล้วมึงเลิกกับผัว ไอ้เสือรอเสียบ” ไอ้ไวเปอร์รีบเอ่ยพูด สองคนนี้อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ของกันและกัน ทำให้เอมิเลียพ่นลมหายใจออกมา “จะเสียบจริงไหมล่ะ” “เฮ้ย!” อันนี้เสียงผม เพราะไม่คิดว่าเอมิเลียจะพูดอย่างนี้ออกมา “เอาว่ะ มันอยากประชดผัวเก่า” “จริงเหรอ” พอได้ยินไอ้ไวเปอร์พูดงี้ ผมเลยถามจากปากเอมิเลีย ซึ่งเธอก็เงียบ โดยปกติยัยนี่ไม่เงียบหรอก นั่นก็เท่ากับว่าเธอคิดจริง “มึงจะทำแบบนี้ไม่ได้ อย่าประชดมันด้วยการทำให้ร่างกายแปดเปื้อน” “อ้าว...ไอ้เวรมังกร มึงจะบอกว่าถ้ากูเสียบเอมิ แล้วเธอจะแปดเปื้อนเหรอวะ” ไอ้เสือร้อนตัวทันที ทำเอาทั้งไอ้ไวเปอร์และเอมิเลียหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เดี๋ยวกูไปส่งเอง” ผมอาสา ก็เลยลุกขึ้น แต่ทว่า “แหม ๆ รู้นะว่ารีบกลับ” ไอ้เสือกลับเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน แถมยังมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่มอีกด้วย “รีบกลับไปหาอาหมวยสิท่า” “ไม่ใช่!” ผมสวนกลับ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ แค่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า...เธอยังไม่ทันได้กินข้าวก็แค่นั้น “ฮ่า ๆ ดู ๆ มันร้อนตัว อย่าให้ได้ยินนะเว้ยว่าจะจับน้องทำเมีย” “ความคิดไอ้ห่านี่โคตรทุเรศ แต่กูชอบ ฮ่า ๆ” ไอ้ไวเปอร์เข้าผสมโรงด้วย ก่อนที่มันทั้งสองคนจะหัวเราะชอบอกชอบใจกันใหญ่ ซึ่งผมไม่มีทางทำให้สิ่งที่พวกมันคิดเกิดขึ้นแน่ ๆ ผมเกลียดแม่ของเธอ “ไปกัน ฉันอยากกลับละ” เอมิเลียเอ่ยพร้อมกับออกตัวเดินนำหน้าผมไป ซึ่งผมก็ไม่รอช้าที่จะเดินตามเธอออกไปข้างนอก ผ่านสายตาของคนหลายคนที่มองมาที่ผม ผู้หญิงหลายคนก็มองพร้อมกับยกแก้วเหล้าเชิงเชื้อเชิญ ซึ่งผมโคตรเบื่อผู้หญิงประเภทอ่อยไปทั่วแบบนี้ แน่นอนว่าไม่คิดยุ่งด้วย ...ผมไปส่งเอมิเลียที่คอนโดมิเนียมไม่ไกลจากคอนโดฯของผม ถึงเราจะสนิทกันมากตั้งแต่ประถม แต่ผมก็เป็นคนประเภทชอบอยู่เงียบ ๆ เลยเลือกที่จะอยู่คอนโดฯคนละที่กับเพื่อน แต่ก่อนจะกลับคอนโดฯของตัวเองผมก็แวะซื้อข้าวให้แก้มใสก่อน ถึงผมจะไม่ชอบเธอตามแม่ของเธอ แต่ถ้าไม่ให้กินอะไรเดี๋ยวตายมาผมก็แย่น่ะสิ ทว่า “โตเกียว...” ก่อนจะกลับขึ้นรถผมก็เห็นรถเข็นขายขนมโตเกียว แล้วนึกถึงเรื่องเมื่อช่วงสายของวัน ก่อนจะสลัดความคิดที่จะเดินไปซื้อมาเผื่อให้แก้มใส แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปซื้อ “เอาไส้หวาน ไม่ ๆ เอาไส้เค็มก็ได้...” พ่อค้าที่ทำขนมโตเกียวถึงกับเงยหน้าขึ้นมองผมที่สั่งอาหารกลับไปกลับมา แต่พอเงยหน้ามาแล้ว “เอาทั้งสองเลยดีกว่าครับ” ผมก็เลยสั่งอีกครั้งเลยก็แล้วกัน คือผมไม่ได้ชอบขนมหวานอะไรแบบนี้อยู่แล้วไง ตอนที่แก้มใสซื้อให้ก็เลยปฏิเสธไป ไม่คิดว่าเธอจะเอาไปทิ้งแบบนั้น ก็อย่างว่า...โดนเตี่ยเอาใจจนเสียคน... อีกด้านหนึ่ง... -แก้มใส- หิวก็หิว...อยู่ ๆ เฮียมังกรก็ออกไปข้างนอกโดยไม่บอกไม่กล่าวฉันเลยสักคำ ฉันที่เอาแต่เก็บของก็ไม่รู้ตัว ความมืดของเวลาพลบค่ำจึงทำให้ฉันเดินออกจากห้องของตัวเอง แล้วก็ไม่พบเขาแล้ว โทรหาก็ไม่รับ จะโทรไปหาเตี่ยก็กลัวว่าเตี่ยจะทำโทษเฮียอีก เลยเลือกที่จะรอเงียบ ๆ ที่ห้องนั่งเล่นหน้าทีวี แต่ตอนนี้ความหิวจนไส้กิ่วกำลังเล่นงาน ภายในตู้เย็นก็ว่างเปล่า “เฮ้อ...” ฉันน้อยใจ แต่ก็อย่างว่าถ้าเขามองฉันสำคัญมันก็คงไม่รู้สึกอย่างนี้หรอก ตอนนี้ก็ทำได้แค่รอให้เขากลับมาแค่นั้น แต่แล้ว ติ๊ด! เสียงแตะคีย์การ์ดดังขึ้นหน้าห้อง ไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของคนตัวสูง ทำให้ฉันลุกขึ้นยืนทันที “เฮีย...ไปไหนมา ฉันรอตั้งนาน” ฉันเริ่มบ่น แต่ทว่าพอเห็นเขายื่นแขนข้างหนึ่งออกมาข้างหน้า โดยที่มือของเขามีถุงหูหิ้วอยู่ในมือ “อะไรคะ” “มองไม่เห็นหรือไง” ฉันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เขาซื้อข้าวมาให้ฉัน และที่สำคัญ “มีโตเกียวด้วย!” ฉันโพล่งเสียงออกมาด้วยความดีใจสุดขีด แต่พอจะขยับเข้าใกล้ เขาก็ถอยห่าง “เอาไปกิน แล้วอย่าเสียงดัง” “ค่ะ ขอบคุณนะคะ ดีจัง...ว่าแต่เฮียไปไหนมาคะ” “เรื่องของฉัน” “ง่ะ” เขาสวนกลับก็ทำเอาฉันพูดไม่ออกเลย สุดท้ายฉันก็รับมากินข้าวเงียบ ๆ ซึ่งเฮียมังกรซื้อข้าวกะเพราหมูมาให้ “พรุ่งนี้ฉันไปมหา’ลัยด้วยนะคะ” เขาไม่ตอบและกำลังจะเดินเข้าห้องของตัวเอง “พรุ่งนี้รับน้อง เฮียไปรับน้องด้วยหรือเปล่า” กึก! “ไปแน่ ๆ ใช่ไหมคะ” พอเขาชะงักฝ่าเท้า แล้วค่อย ๆ เอี้ยวหน้ามามองฉัน ดวงตาคมที่ตวัดมองนี้ทำให้ฉันเม้มริมฝีปากไว้ “ทำไมเธอเลือกเรียนคณะ สาขาเดียวกับฉัน” เฮียมังกรไม่ตอบ แต่กลับตั้งคำถามเสียอย่างนั้น “ก็...เตี่ยมีโรงงานเกี่ยวกับประกอบชิ้นส่วนรถ เฮียก็เรียนเพราะเหตุผลนี้ไม่ใช่เหรอ” หัวคิ้วหนากดลงต่ำ ราวกับกำลังครุ่นคิด “ฉันถูกบังคับ ไม่ได้อยากเรียน” “อ้าวเหรอ...” ฉันอ้าปากเหวอเล็กน้อย “แล้วคิดว่าสภาพอย่างเธอจะทำงานเป็นวิศวะฯได้งั้นเหรอ” เขาเลื่อนสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า “คิดอะไรให้เป็นซะบ้าง ไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำ” “อ้าว...เตี่ยอนุญาตแล้วนะคะ” เขาไม่ฟังอะไรแล้ว เฮียมังกรเดินเข้าห้องของตัวเองไป โดยไม่ได้สนใจใบหน้าของฉันเลยที่กำลังเหวออยู่ แค่ปริปากออกมา เขาก็เอาแต่พ่นคำด่า คำไม่พอใจใส่ เฮ้อ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD