เข้าหา

2015 Words
“แล้วจื่อเวย เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวว่าปีนี้เจ้าก็ได้แต่งตั้งให้เป็นผู้นำนักศึกษาอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”นางเข้าศึกษาในสำนักได้ปีที่หกแล้ว ในหกปีที่ผ่านมา สองปีหลังนางควบตำแหน่งศิษย์ดีเด่นและผู้นำเหล่าศิษย์ เรียกง่าย ๆ ก็ประมาณหัวหน้าศิษย์ในสำนักนั่นเอง “เจ้าค่ะ”นางไม่ต้องการตอบอะไรให้มากความ กาลก่อนนางดีใจที่ท่านพ่อเอ่ยถามนางบ้าง แต่พอนางเล่าไป แม่ใหญ่ก็มักจะดึงบทสนทนาเข้าสู่เรื่องของพี่สาวและน้องชายเสมอ ท่านพ่อเองก็คล้อยตามอย่างว่าง่าย ครั้งนี้นางจึงตัดสินใจไม่เล่าอะไรให้มากความ เล่าไปก็เสียเวลาเปล่า คนเขาไม่สนใจ ที่เห็นนางยังมีฐานะในตระกูลมั่นคงเช่นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากท่านพ่ออยากตอบแทนสิ่งที่ตนได้ทำลงไปในอดีต นางจะได้ของดีมีค่ามากมายก่อนคนอื่น ๆ เสมอ แม้แต่พี่สาวและน้อง ๆ ก็ยังได้หลังนาง สีผ้ายามออกงานนางก็จะต้องเป็นคนเลือกก่อนทุกคนในจวน นั่นไม่ได้ทำให้นางรู้สึกดีเลยสักนิด แต่ก็นะ... “เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ เหตุใดใบหน้าจึงเป็นเช่นนั้นเล่า อยู่กับครอบครัวทำเช่นนี้ไม่ดีเลยนะ เสียบรรยากาศหมด”สตรีน่าชังเอ่ยขึ้นมากลางบทสนทนาที่ตกอยู่ในความเงียบของนางและท่านพ่อ เป็นแบบนี้เสมอ น่าแปลกที่คราวนี้นางเพียงหันไปจ้องหน้าฮูหยินนิ่ง ๆ พวกคนน่าตาย... “คุณหนูรองเจ้าคะ นายท่านใหญ่ให้มาตามไปพบเจ้าค่ะ” “มีเรื่องอันใดงั้นหรือ เหตุใดมาตามกลางวงอาหารเช่นนี้”นี่คือข้อแตกต่างของชนชั้นสูงและชาวบ้าน ข้อแตกต่างที่เป็นที่น่ารังเกียจ แม้จะเป็นถึงฮูหยินเอก แต่ท่านพ่อก็พาฮูหยินของตนออกงานน้อยนัก แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าท่านพ่อยังมีความคิดอยู่บ้าง เพราะแม่ใหญ่นั้นไม่มีคุณสมบัติของสตรีชั้นสูงเลยแม้แต่ข้อเดียว ทุกวันนี้งานในเรือนก็เป็นแม่รองจัดการ นางมีดีอย่างเดียวที่ความงาม แต่คนอื่น ๆ ก็ใช่ว่าจะงามไม่สู้นาง ที่พี่สาวได้เป็นถึงสี่ยอดพธูนั้น ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ท่านพ่อ ทั้งใบหน้าและทรัพย์สิน “ขออภัยที่ต้องกล่าวเช่นนี้ แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัว และมารยาทของคนทั่วไปแล้ว เขาจะไม่ถามออกมาโต้ง ๆ เช่นนี้ ข้าหวังว่าฮูหยินจะไม่ทำให้ตระกูลจ้าวต้องด่างพร้อยเพราะกิริยามารยาทของท่าน ขอข้าตัว”ว่าจบนางก็ลุกออกจากที่ทันที เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง สาวใช้เองก็ต่างชินชากับเรื่องนี้ ใครบ้างไม่รู้ว่าควรเข้าข้างผู้ใด แม้จะเป็นฮูหยินเอก แต่ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี แม้แต่หนังสือก็ยังอ่านไม่ออก ใช่ว่านายท่านไม่เคยให้คนมาสอน หากสิ้นนายท่านใหญ่แล้ว ทั้งฮูหยินและบุตรไม่รู้จะเป็นอย่างไร คุณหนูรองก็ใช่ว่าจะเป็นลูกพลับนิ่มเสียเมื่อไหร่ “ท่านพี่...”นางเป็นถึงฮูหยินใหญ่ของจวน เหตุใดนางจะต้องยอมให้บุตรสาวของอดีตฮูหยินทุกครั้งไป “เงียบเสีย ที่จื่อเวยพูดมาก็ถูก หากท่านพ่อท่านแม่รู้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องขึ้นมาอีก”เขาเองก็ไม่ชอบใจที่บุตรสาวทำนิสัยก้าวร้าวเช่นนี้ แต่ที่นางเอ่ยออกมานั้นล้วนเป็นความจริง เขาเองรู้เรื่องคุณสมบัติของภรรยาดี แต่ก็ทำเป็นมองข้ามไป อย่างไรเขาก็รักนางไปแล้ว แต่เรื่องจื่อเวย จะให้เขาไปสั่งสอนนางเขาเองก็ไม่กล้า ไม่รู้ทำไม ในใจเขารู้สึกโศกเศร้าทุกครั้งที่พบหน้าบุตรสาวคนนี้ มันทำให้เขาไม่กล้าพูดคุยกับนาง แม้แต่หน้าเขาก็รู้สึกไม่กล้ามองนาง ยิ่งแววตาของนาง มันทำให้เขาเศร้า ทุกครั้งที่สบตากับบุตรสาว เขาจะรีบหลบสายตาเสมอ แต่วันนี้สายตาของนางเปลี่ยนไป แม้จะไม่ค่อยมอง แต่เขาถูกสายตานั้นตราตรึงลงในจิตใจมายาวนาน วันนี้สายตาของนางไม่ตัดพ้อและเฉยชาแล้ว มีเพียงความว่างเปล่าและเฉยชาแสดงออกมาเท่านั้น เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ “มาแล้วหรืออาเวยของย่า”หญิงวัยกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นย่าของนางยังคงรักใคร่นางเสมอ นี่คือคนไม่กี่คนที่รักนางจากใจจริง แม้แต่ตอนที่จะถูกประหาร ท่านปู่ท่านย่ายังอ้อนวอนให้นางรับความช่วยเหลือจากท่านปู่ ทั้งสองขอให้นางออกจาตระกูลจ้าวไปเสีย เช่นนั้นแล้วนางจะรอดพ้นจากโทษ “อาเวยมาแล้วเจ้าค่ะท่านปู่ ท่านย่า อาเวยคิดถึง...”นางคิดถึงทั้งสองนัก นี่สิคือท่านพ่อและท่านแม่ของนาง ที่ผ่านมานางมักจะคิดเสมอว่าท่านปู่ท่านย่าเป็นบิดามารดาของตน ทั้งสองเองก็ดูเหมือนจะรู้ จึงได้เลี้ยงดูนาง มอบความรักให้เหมือนลูก แต่เป็นนางเองที่หลงผิดอยากได้ความรักจากคนผู้นั้น นางต่างอะไรกับพี่สาว รักคนผิด คนที่เขาไม่รักก็คือไม่รัก แม้แต่ตอนตายก็ยังไม่รัก “เหตุใดจึงร้องไห้เล่าเจ้าเด็กคนนี้ คนพวกนั้นทำสิ่งใดเจ้าอีกแล้วงั้นหรือ บอกย่ามา”มือที่เริ่มเหี่ยวย่นลูบใบหน้างามเย้ายวนของหลานสาว ใบหน้านางช่างเหมือนกับมารดาและอื่น ๆ ในคนตระกูลซ่งนัก โชคดีแล้วที่นางมีส่วนเหมือนตระกูลจ้าวเพียงน้อยนิด หลานสาวที่น่าสงสารของนาง ไม่สิ บุตรสาวคนเล็กของนาง “ไม่มีใครทำอะไรหลานได้หรอกเจ้าค่ะ ท่านย่าดุเพียงนี้ ใครจะกล้าทำอันใดขัดใจหลาน ท่านปู่ดูหนุ่มขึ้นนะเจ้าคะ” “เจ้าหลานคนนี้นี่! ปากหวานนัก อยากได้สิ่งใดเล่า ปู่จะหามาให้” “คิกคิก ข้าอยากออกไปเดินตลาดกับท่านปู่ท่านย่าหนึ่งวันเจ้าค่ะ”นางก็แค่อยากจะทำในสิ่งที่ครอบครัวทำกันเป็นปกติเท่านั้น นี่คือท่านพ่อท่านแม่ของนางเชียวนะ กลับมารอบนี้นางตัดสินใจจะใช้ชีวิตให้มีความสุขกับท่านปู่ท่านย่า อ้อจริงสิ ต้องแบ่งเวลาไปหาท่านตาท่านยายด้วย ทางนั้นไม่ค่อยว่าง แต่มักจะส่งของมีค่ามาให้นางเสมอ เมื่อรู้ว่านางต้องไปออกงานหรือต้องการสิ่งใด แม้แต่เงินก็ส่งมาให้นางเป็นหีบ ๆ คิด ๆ ดูแล้วนางก็มีชีวิตที่ดีมากเลยไม่ใช่หรืออย่างไร ทุกคนรักและเอาใจใส่นาง จุดด่างพร้อยเดียวในชีวิตของนางคือท่านพ่อและครอบครัวที่เขารักเท่านั้นเอง “หืม เอาสิ ให้ฟ้าร่มกว่านี้เราค่อยออกไปกัน ย่าจะพาไปกินร้านขนมเปิดใหม่ เขาว่ารสดีนัก ย่าจะพาไปเอง ท่านก็ไปเตรียมตัวนะเจ้าคะ ขากลับเราจะได้แวะเยี่ยมท่านตาท่านยายของหลานด้วย กลับมาทั้งทีต้องไปเยี่ยมทางนั้นบ้าง เห็นว่าฮูหยินซ่งไม่ค่อยสบาย” “เจ้าค่ะ”ท่านยายไม่สบาย แต่ก็เพียงไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดต้องเป็นห่วง ทั้งสามคนสั่งให้บ่าวไพร่ไปเตรียมรถม้าออกไปตลาด ทั้งสามคนเดินเล่นพูดคุยกันไปตลอดทาง คนในจวนต่างมองอย่างชื่นชม หากคุณหนูรองเป็นบุตรสาวของนายท่านใหญ่และนายหญิงก็คงจะดี ท่ามกลางบ่าวไพร่ก็มีสายตาสองคู่ที่มองมายังภาพความสุขของบุตรสาวและบิดามารดาของตนอย่างอธิบายไม่ถูก เขาเป็นพ่อแท้ ๆ เหตุใดจึงไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เลยสักครั้ง “ท่านพ่อท่านแม่พาจื่อเวยออกไปเที่ยวตลาดคนเดียวอีกแล้วนะเจ้าคะท่านพี่ เช่นนี้หลานคนอื่น ๆ จะไม่น้อยใจงั้นหรือเจ้าคะ”นี่คือความคิดของฮูหยินเอกของเขางั้นหรือ นางกล้าเอ่ยออกมาได้อย่างไร เขาที่เป็นพ่อให้นางไม่ได้ แต่ท่านพ่อท่านแม่ของเขาให้นางได้ เขาไม่อยากเป็นบิดาชั่วในสายตาของนางมากไปกว่านี้ด้วยการแย่งความรักเดียวในจวนนี้ไปจากนาง เพราะเขารู้ว่าเขาไม่อาจรักนางได้ด้วยใจจริง ไม่รู้ทำไม เขามีเพียงความรู้สึกผิดและต้องการไถ่โทษแก่นางเท่านั้น เพราะงั้นไม่ว่านางจะทำสิ่งใดเขาจึงไม่เคยห้าม นางทำผิดเขาก็พร้อมจะรับผิดชอบแทน “อย่ามีความคิดเช่นนี้อีกซีอัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามายุ่งได้ ไปเรียนรู้มารยาทกับอาจารย์ที่ข้าเชิญมาเสีย”หลังจากคำพูดของจื่อเวย เขารีบให้คนสนิทไปหาอาจารย์มาสอนมารยาทให้ฮูหยินของตนทันที ไม่ว่าจื่อเวยจะเอ่ยสิ่งใด เขามักจะเดือดร้อนกับมันเสมอ เขาเหมือนเป็นคนผิดตลอดเวลา เพราะงั้นเขาจึงรักอันเหม่ยมาก นางไม่เคยทำให้เขากดดันแบบบุตรคนอื่น ๆ หย่งเยว่ก็เฉยชา เทียนหลงก็ไม่สนใจคนอื่น ๆ มีเพียงอันเหม่ยและเทียนคุนเท่านั้นที่เข้าหาเขาอย่างผ่อนคลาย จื่อเวยเดินไปยังรถม้าหน้าประตูจวน ก่อนจะขึ้นสายตาของนางพลันเหลือบไปเห็นหย่งเยว่กำลังทำท่าจะเดินหนีจึงรีบเอ่ยรั้งนางไว้เสียก่อน ชาติก่อนหย่งเยว่ก็เป็นเช่นนี้ นางทำตัวเฉยชา เอาแต่ตั้งใจเรียนให้เก่ง เพื่อหวังจะได้รับคำชมจากคนอื่น ๆ เหมือนนาง ตอนที่นางรู้ว่าน้องสาวคนนี้อยากสนิทสนมกับตนก็สายไปเสียแล้ว “หย่งเยว่ หย่งเยว่ อาเยว่!”สองขาที่กำลังเร่งฝีเท่าหนีของหย่งเยว่หยุดชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงพี่รองเรียกนางว่าอาเยว่ ก่อนนางจะค่อย ๆ หันกลับไปมอง ท่านปู่ท่านย่าเองก็อยู่ตรงนั้นด้วย นางมักจะแอบดูทั้งสามคนเวลาอยู่ด้วยกันเสมอ พี่รองนั้นเป็นคนเก่งมาก แม้แต่ใบหน้าก็ยังงดงามเย้ายวน นางคิดเสมอว่าคนที่ควรเป็นหนึ่งในสี่ยอดพธูคือพี่รอง หาใช่พี่หญิงใหญ่ “เจ้าค่ะพี่หญิงรอง ท่านปู่ท่านย่า”หย่งเยว่เดินเขาไปทักทายทั้งสามคนเกร็ง ๆ นางเคยอยากเขาไปร่วมวงกับทั้งสามคนเสมอมา แต่เป็นนางเองที่ไม่กล้าเข้าไปเอ่ยทักทายก่อน “เจ้าจะไปไหนงั้นหรืออาเยว่” “ข ข้า ข้าไม่ได้จะไปที่ใดเจ้าค่ะ เพียงแค่เดินผ่านมาเท่านั้น” “อืม งั้นดีเลย งั้นพวกเราไปเดินตลาดด้วยกันเถอะ ดีหรือไม่เจ้าคะท่านย่า” “เอาสิ อาเยว่ก็มาด้วยกัน ย่าจะพาไปกินขนมหวานร้านดังในเมืองที่พึ่งเปิดใหม่ ดูซิ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีเครื่องประดับเลยเล่า ไป ๆ ขึ้นรถ ๆ ย่าจะพาไปซื้อเอง วันนี้ท่านปู่ของเจ้าก็ไปด้วย อยากซื้ออะไรก็หยิบได้เลย ฮ่าฮ่าฮ่า” “คิกคิกคิก ท่านปู่เตรียมเงินมาเยอะหรือไม่เจ้าคะ หากไม่พอยืมหลานก่อนได้นะเจ้าคะ” “เจ้าเด็กคนนี้นี่!! ไป ๆ ขึ้นรถได้แล้ว อาเยว่ด้วย ขึ้นรถม้าเสีย วันนี้ปู่จะพาไปเดินตลาด” “เจ้าค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD