“หยุดร้องเถอะ ร้องยังกับหมาครางแบบนี้ฉันทนฟังไม่ได้หรอกนะ”
ตาลหวานไม่รู้จริงๆ ว่าควรหยุดร้อง หรือร้องไห้ออกมาให้ดังกว่าเดิม แต่พอเห็นสีหน้าของคนปลอบแล้วก็ได้แต่ปาดน้ำตาทิ้งป้อยๆ ก่อนจะตวัดเรียวแขนก่ายกอดตัวเองให้คลายความเหน็บหนาวลง
“ฉันขอเข้าไปข้างในได้ไหม ฉันหนาว...”
ดินได้แต่ทอดนัยน์ตาสีเข้มมองผู้หญิงตัวมอมแมมขอเข้าไปในกระท่อมของตนตาไม่วาง จำได้ว่านานหลายปีมาแล้วที่เขาไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงคนไหนได้ก้าวล้ำเข้าไปในนั้น ถึงเวลานี้เขาอยากปฏิเสธแต่ว่าพอเห็นเนื้อตัวสั่นเทากับท่าทางก่ายกอดตัวเองจนริมฝีปากซีดสั่นแล้วก็พูดไม่ออก นอกเสียจากยืดกายเต็มความสูงพร้อมกับยื่นมือมาให้เธอจับ
ทันทีที่จับมือเขา ตาลหวานรู้สึกถึงความอบอุ่น เธอจับจ้องมือสากใหญ่ที่กระชับมือของเธอไว้แน่น แม้แต่เวลาเดินขึ้นบันไดไม้ไผ่ด้วยกันเขาก็ยังไม่ยอมคลายมือออก จนกระทั่งเธอมายืนหันรีหันขวางอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ มีเพียงที่นอนบางๆ ขนาดห้าฟุตกับผ้าห่มผืนเล็กๆ รวมถึงตู้เสื้อผ้าไม้เก่าๆ นั่นแหละถึงได้เอาแต่กัดปากเอาไว้
พอเห็นอีกฝ่ายดูอึดอัด ดินก็ทิ้งตัวลงนั่งแล้วดึงเธอให้นั่งตาม
“เธอชื่ออะไร”
“ฉัน...”
“ฉันไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้ามาในห้องนี้หรอกนะ ถ้าเธอจะอยู่ที่นี่จริงๆ ฉันก็ควรรู้จักชื่อเธอไว้”
เธอชั่งใจอยู่ชั่วครู่ถึงได้พึมพำบอก “ฉันชื่อตาลหวานค่ะ”
“ฉันชื่อ ดิน ภูพนาไพร เรียกสั้นๆ ว่าดินก็ได้”
หญิงสาวได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่ายพร้อมกับเรียกชื่อเขาอยู่ในใจ พอต้องอยู่กับเขาสองต่อสองจริงๆ ก็อดนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะว่าเธอไว้เนื้อเชื่อใจแฟนหนุ่มจนมากเกินไป คิดว่าเขาจะให้เกียรติและจริงใจกับเธอจนถึงขั้นวันวิวาห์ แต่ที่ไหนได้เขาก็แค่อยากได้เรือนร่างของเธอ ถึงได้ล่อลวงให้ขึ้นรถมาด้วยกัน นั่งมาได้ครึ่งทางเขาก็หักเลี้ยวชิดริมทางพร้อมกับขืนใจเธอ
มือเรียวบางพลันสั่นขึ้นจนเจ้าตัวต้องจับชายเสื้อขาดลุ่ยไว้แน่น ใบหน้าที่มีสีเลือดเมื่อครู่ซีดลงยิ่งกว่าไก่ต้มเสียอีก
ดินได้แต่แตะแขนเธอเบาๆ พลางว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก ถึงฉันจะหน้าตาเหมือนโจรไปหน่อย แต่ฉันก็รับประกันได้ว่า ถ้าเธอไม่เต็มใจ ฉันจะไม่มีวันแตะต้องเธอเด็ดขาด”
เหมือนเขาเพิ่งเข้ามานั่งในความคิดของเธอ ตอนนี้จึงได้แต่เงยหน้าขึ้นด้วยตาแดงๆ
“ขอบคุณนะคะ”
เป็นคำพูดง่ายๆ แต่ก็ทำเอาคนฟังเผลอยิ้มมุมปาก พอรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ก็รีบปัดที่นอนพอลวกๆ แล้วขยับออกห่าง
“นอนเถอะ” บอกไปแล้วก็ต้องมองสภาพเปียกปอนของเธออย่างเห็นใจ หลังจากนั้นก็ก้าวอาดๆ ไปรื้อค้นเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้ ได้เสื้อเชิ้ตที่ดูสะอาดตามาหนึ่งตัวก็หยิบยื่นให้
“เปลี่ยนเสื้อหน่อยเถอะ จะได้สบายตัว”
เธอรับมาด้วยใบหน้าแดงซ่าน “ขอบคุณค่ะ”
“รีบๆ เปลี่ยนเถอะ เดี๋ยวฉันไปรอข้างนอก” พูดเร็วๆ เพื่อระงับอารมณ์บางอย่าง หลังจากนั้นก็หุนหันออกจากห้อง ยืนหันหลังได้ก็เอาแต่สูดหายใจลึกยาวเข้าปอด ยิ่งได้ยินเสียงขลุกขลักก็อดไม่ได้ที่จะปรายตามอง ทว่าพอเห็นเงารางๆ ของคนด้านในกำลังเปลื้องเสื้อผ้าก็ได้แต่ท่องนะโมพุทโธอยู่ในใจ แต่ดูเหมือนคำสวดภาวนาของเขาจะไม่ได้ผลเอาเสียเลย เพราะตอนนี้คนที่อยู่ด้านในกำลังส่งเสียงเรียกอย่างอ่อนหวาน
“เข้ามาสิคะ”
เจ้าของไร่ภูพนาถึงกับเป่าลมออกจากปากอีกครั้ง หลังจากนั้นก็กลั้นใจรวบรวมสตินึกคิดให้เข้าที่เข้าทาง ขึ้นบันไดขั้นแรกได้ก็เอาแต่ท่องไว้ว่า เขาจะทำตามคำพูด จะไม่มีวันย่ำยีข่มเหงลูกนกพลัดถิ่นน่าเวทนาคนนั้นเด็ดขาด ทว่าพอข้ามพ้นธรณีประตูเข้ามาก็ถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอแรงๆ เพราะตอนนี้คนที่เรียกเขาเข้าห้องกำลังยืนถือเสื้อผ้าเปียกๆ และชายเสื้อที่เขาให้เธอใส่มันก็อวดขานวลเนียนเลยเข่ามานับคืบ เท่าๆ ที่มองพอคร่าวๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีเพียงเสื้อตัวนั้นเพียงตัวเดียว
“ฉันเอาไปตากให้”
พูดเร็วๆ แล้วแย่งเสื้อของเธอไปถือไว้เอง หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องมุ่งไปทางระเบียงด้านหลัง เลือกมุมที่ฝนสาดไม่ถึงหยิบเสื้อผ้าของคนร่างบางมาตาก ทว่าความรีบร้อนกลับทำให้เขาเผลอทำชั้นในสองชิ้นน้อยๆ หลุดลงมากองอยู่กับพื้น
ดินได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลาย นัยน์ตาคู่คมเอาแต่จับจ้องตัวปัญหาตาไม่วาง สุดท้ายก็จำต้องหยิบมันขึ้นมาผึ่งให้แห้ง ทว่าพอหันมาก็ต้องรีบปั้นสีหน้าเรียบเฉยแทบไม่ทัน เพราะตอนนี้เจ้าของชั้นในกำลังมองมายังเขาราวกับตัวประหลาด
“ฉันตากเสร็จแล้ว ไปนอนกันเถอะ” คำชวนที่หลุดออกมาทำเอาเจ้าของไร่ภูพนาต้องรีบเดินผ่านร่างบางไปเร็วๆ พอจัดแจงที่นอนให้แขกไม่ได้รับเชิญเรียบร้อยก็ไปรื้อหาผ้าห่มพร้อมกับดึงเสื้อมาทำเป็นหมอน เรียบร้อยก็ทิ้งตัวลงนอนหน้าตาเฉย
“ฉันจะนอนแล้ว เธอก็นอนซะเถอะ”
“ค่ะ”
ตาลหวานตอบรับแล้วเดินมานั่งบนที่นอนของเขา ดึงผ้าห่มมาคลุมถึงต้นขาได้ก็เอาแต่มองเขานอน ครู่หนึ่งถึงได้หยิบหมอนส่งให้
“หมอนค่ะ”
“เธอหนุนเถอะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันหนุนแขนเอาก็ได้”
ครานี้คนนอนบนพื้นแข็งๆ พลิกกายมาเผชิญหน้า พร้อมกับขยับตัวมาจนใกล้กับที่นอนของเธอ ดวงตาสีเข้มนั้นจ้องเธอเนิ่นนาน จนใบหน้าของเธอร้อนวูบวาบขึ้น
“ถ้าฉันหนุนหมอน ฉันก็อยากให้เธอหนุนแขนฉันนะ”
“หนุนแขนคุณหรือคะ”
“มันคงจะทำให้เธอสบายขึ้นบ้าง” คนขันอาสายื่นแขนขึ้นไปบนที่นอน แถมยังตบแปะๆ ลงบนพื้นที่นอนนุ่มนั่น “นอนสิ”
ตาลหวานมองเจ้าของลำแขนกำยำอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ค่อยๆ ขยับตัวหนุนแขนเขา การได้ใกล้ชิดและได้สูดกลิ่นกายของบุรุษหนุ่มร่างสูงนั้นทำให้เธอไม่สามารถระงับการเต้นของหัวใจให้เข้าสู่โหมดปกติได้เลย เธอเอาแต่ควบคุมอารมณ์ตัวเองขณะค่อยๆ ช้อนตาดำขลับมองเขา แล้วเธอคงควบคุมตัวเองได้ไม่ดีนัก เพราะจู่ๆ ก็คลี่ผ้าห่มของตัวเองคลุมให้กับเขาด้วย
เจ้าของห้องนอนตัวแข็งทื่อ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องใบหน้าของเธอนิ่งนาน ก่อนจะยื่นปลายนิ้วมาเกลี่ยเส้นผมที่ระข้างแก้มให้ เพียงได้สัมผัสกับผิวแก้มเรื่อก็เอ่ยถามขึ้น
“นอนกับฉันไหม”