“ว่าไงนะ!”
ครานี้คนร่างสูงเดินอาดๆ เหยียบท่อนบันไดไม้ไผ่ลงมา จากที่เห็นรูปร่างของเขาในความมืดสลัวว่าน่ากลัวอยู่แล้ว พอได้เห็นเขาชัดๆ ตาลหวานถึงกับกัดริมฝีปากซีดสั่นของตัวเองไว้แน่น ยิ่งเขาขยับเข้าใกล้จนได้เห็นใบหน้าปกคลุมไปด้วยหนวดเคราก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก จากนั้นก็ถอยร่นหนีด้วยความระมัดระวัง
“อย่าเข้ามานะ!” ขาของเธอสั่นยิ่งกว่าเสียงเสียอีก “อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”
“กลัวหรือ...” เจ้าของกระท่อมขยับเข้ามาหาเรื่อยๆ “ฉันนึกว่าผู้หญิงหากินอย่างเธอจะไม่รู้จักคำคำนี้เสียอีก สงสัยคงเป็นเพราะลูกค้ารายล่าสุดปฏิบัติกับเธออย่างซาดิสม์ละสิท่า ฉะนั้น! เธอไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะว่าฉันจะไม่มีวันแตะต้องผู้หญิงเน่าๆ อย่างเธอ...”
เพียะ!
ยังไม่ทันเอ่ยจบใบหน้าคมคายของดิน ภูพนาไพร ก็ถึงกับหันเหไปตามทิศทางที่ถูกตบ ส่งผลให้สีหน้าเจ้าของแก้มถึงกับตาแดงก่ำขึ้นทันที ท้องฟ้าฟาดเปรี้ยงที่ว่าน่ากลัวแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับรัศมีความโกรธที่พวยพุ่งออกมาเลยสักนิด จากที่คิดว่าจะปล่อยให้เธอได้มีโอกาสไปขายร่างสกปรกๆ ให้กับผู้ชายคนอื่น เวลานี้ฝ่ามือหยาบกระด้างถึงกับคว้าหมับเข้ากับเรียวแขนกลมกลึง ออกแรงกระชากเพียงนิดร่างเล็กๆ ของเธอก็ปลิวมากระแทกกับแผ่นอกเข้าอย่างจัง
“เธอกล้าดียังไง!” ดินเค้นเสียงถาม “อยากตายใช่ไหมถึงได้แตะต้องหน้าฉัน”
“ก็คุณมันเลว!”
“แล้วผู้หญิงที่ขายตัวมั่วผู้ชายอย่างเธอมันดีนักหรือไง ก็แค่เศษขยะของสังคม ชอบทำให้ผัวเมียเขาขุ่นเคืองกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการขายเรือนร่าง มันจะดีเหมือนคนอื่นได้เช่นไร ผู้หญิงชั้นต่ำอย่างเธอมันต้องเจอกับผู้ชายชั่วๆ อย่างฉัน”
“ปล่อยนะ!”
เพราะทนแรงบีบของเขาไม่ไหว ตาลหวานจึงบอกด้วยตาแดงๆ
“ปล่อย”
“เจ็บหรือ มันเทียบกับการที่ฉันถูกตบไม่ได้เลยสักนิด”
“ที่ฉันตบเพราะคุณมันปากหมา ชอบดูถูกคนอื่นทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันเลยสักนิด”
“ก็เพราะเธอ...” ครานี้ดินใช้สายตาดูถูกทอดมองเจ้าของร่างอ้อนแอ้นที่กล้าลับฝีปากกับตนอย่างประเมิน “ไม่ว่าจะมองมุมไหนเธอก็ไม่ต่างจากผู้หญิงหากินแถวนี้เลยสักนิด เธอรู้ไหมว่าผู้หญิงที่นี่ไม่ทำมาหากินอะไรหรอก นอกเสียจากเที่ยวเคาะประตูตามบ้านหรือไม่ก็ยืนอยู่ข้างถนนรอให้ผู้ชายเรียกขึ้นรถ หลังจากนั้นก็แก้ผ้าให้เชยชมตั้งแต่นั่งรถไปจนถึงห้องเช่า”
ยิ่งฟังคำพูดของเขา ความโกรธของตาลหวานก็ยิ่งพุ่งสูงเสียจนอกอิ่มกระเพื่อม เธอไม่รู้จะจัดการคนปากหมาเช่นไรดี นอกเสียจากพยายามงัดแงะอุ้งมือแข็งแรงที่ฝากรอยแดงปื้นบนแขนออก
“ปล่อยฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ ข้อหาทำร้ายร่างกาย”
“เชิญเลย! ก็อยากจะรู้นักว่าจะมีตำรวจหน้าโง่คนไหนช่วยโสเภณีอย่างเธอ เผลอๆ ถ้าแจ้งความไปก็เป็นเธอเสียอีกที่โดนจับ ข้อหาบุกรุกในยามวิกาลแล้วก็ค้าบริการ”
“ฉันไม่ได้ขายตัว” ตาลหวานบอกเสียงลอดไรฟัน “และก็ไม่มีวันขายตัวให้ใครหน้าไหนด้วย”
“อ้อ! กะจะให้กินฟรีใช่ไหมล่ะ สงสัยของจะเน่าจนขายไม่ออกล่ะสิท่า”
“ก็บอกว่าไม่เคยขายตัว และไม่คิดจะขายให้ใครไง โดยเฉพาะกับผู้ชายหน้าเถื่อนๆ อย่างคุณ อย่าว่าแต่ขายให้เลย แม้แต่อยู่ใกล้ฉันก็ไม่อยากด้วยซ้ำ เพราะว่าฉันรู้สึกรังเกียจจนพะอืดพะอม”
“ผู้หญิงปากดี อยากตายใช่ไหมฮ้า!”
ครานี้ท่อนแขนกำยำเกี่ยวรอบเอวคอดกิ่ว ดึงรั้งเธอให้เบียดชิดจนแทบหายใจไม่ออก ใบหน้าคมคายที่กรุ่นไปด้วยแรงโกรธนั้นโน้มลงมาใกล้เสียจนลมหายใจอุ่นจัดรินรดกรอบหน้าของคนปากดี
“คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ”
แทนที่จะได้เห็นความโกรธของเธอยิ่งกว่าเดิม แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่อย่างที่ชายหนุ่มคาดคิดเลยสักนิด เพราะตอนนี้นัยน์ตากลมโตที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นเมื่อครู่เริ่มวาวไปด้วยน้ำอุ่นจัด สักพักหนึ่งน้ำตามันก็ค่อยๆ ไหลปะปนกับสายฝน เจ้าของร่างบอบบางสั่นเทิ้มรุนแรงเสียจนเขาต้องคลายอ้อมแขนแล้วปล่อยให้ร่างของเธอลู่ลงไปกองอยู่กับพื้น
ใบหน้าเล็กที่แนบซบกับเสียงร้องไห้แผดลั่นแข่งกับสายฝนกับสายฟ้านั้นทำให้เขาพูดไม่ออกเลยจริงๆ ตอนนี้จึงได้แต่มองร่างสั่นๆ ของเธออย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี ดูเหมือนมันจะทำให้คำพูดหยามเหยียดที่เขาพ่นออกมาถูกกลืนลงไปในคอ
“เธอทำบ้าอะไร” พอเธอร้องดังขึ้นถึงกับตบท้ายทอยตัวเองอย่างหัวเสีย “อารมณ์ไหนกันแน่ หรือว่าอยากจะงัดกลยุทธ์ใหม่ในการขาย คิดว่าพอทำตัวน่าสงสารแล้วฉันจะเวทนาซื้อเธอหรือไง”
“ฉันไม่ได้มาขายตัว” เธอบอกขณะซบหน้าอยู่กับเข่า “ตั้งแต่เกิดมา ฉันไม่เคยคิดขายตัวเลยสักครั้ง”
น้ำตาที่ยังคงไหลพรากๆ ทำให้เจ้าของร่างสูงยืนตัวแข็งทื่อ อึดใจหนึ่งนั่นแหละถึงได้ค่อยๆ ย่อตัวอยู่ในระดับเดียวกันกับเธอ
“ไม่ได้ขายตัวจริงๆ หรือ”
หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นแพขนตาชื่นฉ่ำโค้งงอนชัดเจน
“ฉัน...โดนข่มขืน”
ลำคอแกร่งถึงกับแห้งผากขึ้นทันตา นี่คงเป็นครั้งแรกที่เจ้าของไร่เพียงดินไม่รู้จะพูดอะไรดี นอกเสียจากนั่งลงตรงข้ามกับเธอ แล้วฟังเสียงสะอื้นที่ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง พอเธอร้องจนไม่มีเสียงนั่นแหละถึงได้เอื้อมมือแตะแขนเรียวเบาๆ