ลูกหมาน้อยที่ตัวเองพากลับมาบ้าน ตอนนี้เขาจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและส่งเธอนอนหลับบนเตียงแล้ว ส่วนเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางที่เปียกทั้งใบ เขาก็จัดการนำออกมาซักให้เดหลีใหม่แล้วตาก ก่อนจะกลับห้องตัวเองไปนอน แต่ทว่าพอมาถึงห้องก็เจอกับนายท่านของตัวเองนั่งรออยู่มุมห้องที่มืดสลัวของตัวเอง
“นายท่าน?”
“หนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอกพาที เดหลีเป็นของนายและนายก็เป็นของเดหลี ทุกอย่างมันถูกกำหนดตั้งแต่หนูเดหลีเกิดแล้วพาที” นาสูรเอ่ยพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกมาจากมุมมืด
“ผม...” พาทีไม่มีคำจะตอบโต้จึงนิ่งเงียบไป
หึหึ
นาสูรแค่นขำคนที่ตัวเองเห็นมาตั้งแต่เด็ก
“ปล่อยให้ชีวิตตัวเองเดินไปตามชะตากำหนดบ้างพาที ยิ่งนายฝืนทุกอย่างจะยิ่งยุ่งยาก จากเหตุการณ์เมื่อกี้ นายน่าจะรู้แล้วว่าเดหลีสำคัญกับนายมากแค่ไหน นายควักหัวใจพวกเศษสวะนั่น นายก็มีความผิด นายรู้ใช่ไหมว่าพลังชีวิตนายจะหายไปหนึ่งร้อยปีต่อหนึ่งชีวิตของมนุษย์หนึ่งคน และนายฆ่ามนุษย์ไปสี่คนก็เท่ากับว่าพลังชีวิตนายจะหายไปสี่ร้อยปี นายรู้ใช่ไหมพาทีว่าอายุนายจะสั้นลง”
นาสูรเอ่ยให้พาทีคิดถึงตัวเองให้มาก แม้พลังชีวิตจะหายไปสี่ร้อยปี แต่มันก็อันตรายเหมือนกันสำหรับยักษ์อย่างพวกเขา หากว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกครั้ง พาทีอาจจะอยู่ต่อบนโลกนี้ได้อีกไม่นาน
“ผม...” พาทียังคงอ้ำอึ้งตอบไม่ได้เช่นเดิม
“อย่าทำให้มันยุ่งยาก ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ยิ่งเราฝืนมันยิ่งทำให้เราเจ็บ และตอนนี้นายคงจะรู้แล้วว่าเดหลีสำคัญกับนายมากแค่ไหนพาที อย่าผลักไสหนูเดหลีไปจากตนเอง ให้เธออยู่กับนาย อย่ากังวลเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ดูอย่างฉันกับน้อง คุณมังกรกัณฐ์กับหนูณิสาสิ ที่ผ่านมาพวกเราทั้งสี่คนมีชีวิตมายังไง และนายเองก็อยู่ในทุกช่วงชีวิตของพวกเรา นายคือครอบครัวของเรา พวกเราทุกคนล้วนหวังให้นายมีความสุขพาที” น้ำเสียงของนาสูรเต็มไปด้วยความห่วงใยในตัวของพาทีและพาทีก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยของนายตัวเอง
“ผมกลัว” พาทีบอกนายตามที่ใจคิดกังวลมาตลอด
“หนูเดหลีไม่กลัวที่จะอยู่ข้างนาย เชื่อฉันพาที”
แล้วนาสูรก็ตบไหล่ของพาที ก่อนจะหายตัวไป ทิ้งให้พาทีอยู่กับความคิดตัวเองเพียงลำพังในห้อง และเสียงฟ้าด้านนอกก็ดังขึ้นพร้อมกับฝนห่าใหญ่กระหน่ำมาอีกครั้ง
เปรี้ยง! ปร้าง!
ในตอนสายของวันถัดมาหลังจากผ่านค่ำคืนอันเลวร้าย เดหลีตื่นมาพร้อมกับสมองที่ว่างเปล่า ความทรงจำของเมื่อวานของเธอมันหายไป เธอจำอะไรไม่ได้ สิ่งที่จำได้คือตอนโกรธพาทีแล้วดึงลากกระเป๋าออกจากบ้านไป แล้วก็เป็นภาพตัดมาตอนนี้
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้คนงัวเงียตื่นนอนมึนงงว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับว่ามีอะไรหายไปในความทรงจำ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เดหลีมองที่ประตูห้องที่ยังมีเสียงเคาะเรียกอยู่หน้าห้องจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องนอนส่วนตัวของตนเอง
“หิวรึยังเดหลี” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามพร้อมกับในมือมีถาดอาหารมื้อเช้าและน้ำดื่มหนึ่งแก้ววางอยู่ในถาดด้วย
“ไม่หิวค่ะ โครก!” พูดจบความ ท้องน้อยก็ทำขายหน้าทันที
“แต่ยังไงฉันก็ทำข้าวผัดปูที่เธอชอบมาแล้ว กินหน่อยนะ” พาทีพูดแก้เก้อให้เด็กสาวที่ก้มหน้าอายตนเอง
“ขอบคุณนะคะที่จำได้ว่าเดหลีชอบกินอะไร” เธอรับถาดในมือใหญ่มาถือ
“ฉันเลี้ยงเธอมาตั้งแต่ตัวแดงแบเบาะนะเดหลี ไปทำงานฉันก็กระเตงเธอไปด้วย ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเธอชอบอะไร ไม่ชอบอะไร” เขาบอกคนตัวเล็กตรงหน้าที่สูงอยู่ระดับอกตัวเอง
“แล้วรู้ด้วยไหมว่าเดหลีชอบผู้ชายแบบไหนและอยากแต่งงานกับผู้ชายแบบไหน”
เธอถามกลับเงยหน้าจ้องสบดวงตาสีเข้มของผู้มีพระคุณและพาทีก็เบือนหน้าหลบสายตาของคนตัวเล็กพร้อมกับถอยหลังหนีไปหนึ่งก้าวแล้วพูดเปลี่ยนเรื่อง
“กินอิ่มแล้วลงไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่น ฉันจะรอ”
“คุณพาทีไม่รู้จริงๆ เหรอคะว่าเดหลีชอบใครและอยากแต่งงานกับใคร” เธอถามขยี้ผู้มีพระคุณ พาทีทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วหมุนตัวเดินออกจากหน้าห้องของสาวน้อยไป
“คนใจร้าย! รู้ทั้งรู้ว่าเดหลีคิดยังไงกับตัวเองยังจะใจร้ายไม่สนใจกันอีก คนใจร้าย!”
แล้วเธอก็ถือถาดข้าวผัดปูและน้ำดื่มเข้าไปในห้องพร้อมปิดประตูแนบสนิท แล้วก้มมองจานข้าวผัดปู เธอไม่ได้ชอบกินข้าวผัดปู แต่ที่ชอบเพราะเป็นเจ้าชีวิตทำให้กิน เธอชอบทุกอย่างที่พาทีทำให้นั่นแหละ ไม่ใช่แค่ข้าวผัดปูสักหน่อย