บทที่ 2/5

952 Words
ก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าว นางสาวมัทนาก็มาหยุดยืนที่ริมประตูรั้วหน้าบ้านเธอ เจ้าหล่อนมองบ้านที่กำลังจะกลายเป็นของคนอื่นในอีกไม่ช้า ทั้งใจหายและเสียใจจนน้ำตาไหลออกมา อีกไม่นานแล้วสินะที่ต้องจำจากบ้านที่เคยอยู่อาศัยร่วมกับพ่อแม่ไป ถึงอยากรักษาสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พวกท่านทิ้งไว้ให้มากแค่ไหน ทว่าเมื่อนึกถึงความเป็นจริงเธอก็ไม่มีปัญญาหาเงินไปซื้อคืนมาได้อย่างที่อรทัยว่า บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในทำเลทอง ราคาประเมินที่ดินเมื่อสามปีก่อนที่รู้จากธนาคารประมาณห้าล้านได้ แล้วปัจจุบันล่ะ บ้านหลังนี้จะมีมูลค่ามากแค่ไหน โทรศัพท์ราคาหลักพันถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาสั้นที่มัทนาสวมใส่ เจ้าหล่อนลองค้นหาในกูเกิลดูว่านายทุนประกาศขายบ้านไปแล้วหรือยัง ด้วยรู้จากอรทัยว่าคนที่มาซื้อ เขาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซื้อบ้านซื้อสิ่งปลูกสร้างทั่วรชอาณาจักรเพื่อนำไปรีโนเวตเพิ่มมูลค่าก่อนขายต่อ พอใจชื้นได้บ้างเมื่อยังไม่เห็นประกาศขาย ทว่าเพียงครู่เดียว มัทนาดันไปเจอเฟซบุ๊กนายทุนสาวสวยที่พึ่งมาเช็กอินหน้าบ้านเธอเมื่อวาน หญิงวัยทำงานครบเครื่อง ขับรถยุโรป แต่งกายภูมิฐาน ตามแบบฉบับนักล่าอสังหาริมทรัพย์ที่หญิงสาวเคยเห็นตามโซเชียลอยู่บ่อยครั้ง บ้านพร้อมที่ดินทำเลทอง ทรัพย์ใหม่ที่ออยพึ่งเอฟมาได้ อดใจรออีกนิดนะคะทุกคน รีโนเวตเสร็จเมื่อไหร่เปิดขายแน่นอนค่ะ นายทุนสาวในรูปถ่ายหน้าระรื่น ต่างกับเจ้าของบ้านที่ยืนน้ำตารื้นอยู่หน้าบ้านตัวเองที่อีกไม่ช้านานจะกลายไปเป็นของคนอื่น แคปชันที่ผู้หญิงหน้าตาสวยหมดจดเขียนบรรยายใต้รูปถ่ายที่โพสต์ลงโซเชียล ไม่ต่างเลยกับมีดปลายแหลมที่กรีดแทงลงกลางขั้วหัวใจมัทนา "พ่อจ๋าแม่จ๋า หนูขอโทษ" หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วปล่อยโฮ เธอเสียใจ โกรธตัวเองที่รักษาสมบัติเพียงชิ้นเดียวไว้ไม่ได้ ปล่อยให้คนหน้าเนื้อใจเสืออย่างอรทัยนำบ้านไปจำนองจนถูกขายทอดตลาด แม้อยากซื้อบ้านคืนกลับมา แต่จะเอาปัญญาที่ไหนทำแบบนั้น อย่าว่าแต่หลายล้านเลย แค่ห้าแสนเธอยังมีไม่ถึงด้วยซ้ำ กว่าจะเงินครบจำนวนตามราคาที่นายทุนต้องการขาย บ้านคงถูกขายให้คนอื่นไปแล้ว "หนูผักกาด" มัทนารีบเช็ดน้ำตาแล้วหันไปหาเจ้าของเสียงนุ่มที่คุ้นหู "ครูบัว.. คุณครูมาได้ยังไงคะ" "ครูมาหาหนูนี่แหละ ครูเห็นประกาศผลสอบเข้ามหา' ลัยแล้วนะ ยินดีด้วยนะลูก" คุณครูวัยใกล้เกษียณมองลูกศิษย์ตนด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจระคนสงสารเด็กหญิงตรงหน้า โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งมัทนาไม่จบไม่สิ้นเสียจริง "ขอบคุณมากค่ะครูบัว ครูบัวขา หนูว่าเราเข้าไปคุยกันในบ้านไหมคะ ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว" "ไปสิจ๊ะ ครูมีเรื่องจะคุยกับหนูผักกาดเยอะเลย" ที่ครูบัวทองมาหา ครูมาเพื่อแสดงความยินดีและสอบถามว่าเธอจะเอายังไงกับชีวิตต่อ แน่นอนเธอตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในคณะและมหาวิทยาลัยที่พึ่งประกาศผลสอบ ซึ่งต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ย้ายเข้าไปอยู่เมืองหลวงที่ใครต่อใครต่างบอกว่าแสนวุ่นวาย ผู้คนต้องแย่งกันกินกันใช้ ชีวิตเต็มไปด้วยการแข่งขัน ไว้ใจใครไม่ได้ ภัยพร้อมจะมาหาเราทุกเมื่อหากเผอเรอไม่ระมัดระวังตัว แล้วจะต่างจากบ้านเกิดตรงไหน ขนาดญาติสายเลือดเดียวกัน ยังทำกับเธอได้ อยู่ที่นี่หรืออยู่ที่ไหน สำหรับมัทนาแล้วไม่ต่างกัน ไม่สิ! บางทีชีวิตที่นู่นอาจดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเห็นหน้าคนอย่างอรทัย "หนูเคยบอกครูว่าถ้าเรียนจบแล้วจะกลับมาอยู่บ้านเกิด หนูยังคิดเหมือนเดิมไหม" บัวทองเอ่ยถามลูกศิษย์ตามที่ผู้รับอุปการะเจ้าหล่อนฝากมา "ตอนแรกหนูก็คิดอย่างนั้นค่ะครูบัว แต่หนูคงกลับมาที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว อีกไม่นานบ้านก็จะกลายเป็นของคนอื่น หนูกลับมาก็ไม่รู้จะอยู่ไหน แล้วก็ไม่รู้ด้วยค่ะว่าจะทำมาหากินอะไรที่นี่" แม้บ้านอยู่ใกล้ตัวจังหวัด ห่างออกมาแค่ไม่กี่สิบกิโลเมตร แต่อย่างไรถ้ากลับมาก็ต้องเช่าหอพักหรือบ้านอยู่ แล้วงานล่ะ ที่นี่มีงานอะไรให้เธอทำบ้าง เงินเดือนจะได้สักเท่าไหร่ ที่สำคัญมีเหตุผลอะไรต้องกลับมาในเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว "หนูรักบ้านหลังนี้ รักที่นี่มากนะคะ แต่บ้านจะไม่ใช่บ้านของหนูแล้ว หนูอาจกลับมาบ้าง มาปีละครั้งหรือสองสามปีครั้งเพื่อทำบุญให้พ่อแม่ แต่จะให้กลับมาอยู่ถาวร คงไม่แล้วล่ะค่ะ" เห็นด้วยกับความคิดลูกศิษย์ มัทนาไม่มีใครที่นี่ ญาติพี่น้องก็ไม่มีใครดีกับหญิงสาวสักคน หากกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดหลังเรียนจบ คงไม่ต่างจากพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางสนามรบที่มีคนพร้อมจะทำร้ายตลอดเวลา "ไปลูก ไปให้ไกลจากบ้านเกิด ไปสร้างชีวิตของหนู ครูเชื่อว่าคนเก่งอย่างหนูผักกาดต้องไปได้ไกลและได้ดี"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD