“ป่านต้องขอโทษคุณเคนด้วยนะคะที่มาขัดจังหวะการคุยโทรศัพท์ของคุณ”
ดวงนภาเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจเพื่อนสามี หลังจากที่เธอเดินไปซื้อน้ำกลับมา แล้วเรียกให้ชายหนุ่มดื่มโดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าเขาคุยโทรศัพท์อยู่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่อาร์ตี้มันยังไม่มาอีกเหรอ รบกวนคุณป่านแย่เลย” เคนถามถึง อ้น หรือ อภิชัย ที่เขาชอบเรียกชื่อง่ายๆ ว่าอาร์ตี้ เพื่อนรักสมัยเรียนแลกเปลี่ยนช่วงซัมเมอร์อย่างหน่ายๆ ที่กาลเวลาล่วงเลยมาจนบัดนี้ มันยังไม่โผล่หัวออกมา แถมยังใช้ให้ภรรยาของตัวเองไปรับเขาที่สนามบิน มาส่งที่พัก และให้พาไปรอที่ร้านอาหารก่อน โดยรับปากว่าจะรีบมาดินเนอร์ด้วยกันอีกต่างหาก
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ อีกไม่นานก็คงใกล้ถึงแล้วมั้งคะ” เธอว่าเสียงแกนๆ ไม่ค่อยใส่ใจ แต่เคนไม่ทันได้สังเกต เพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางในการแต่งงานของคนทั้งคู่ แถมยังไม่มีโอกาสได้มาร่วมยินดีในงานแต่งของเพื่อนด้วยซ้ำ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่บริษัทดำเนินการเรื่องปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร วุ่นวายมากมายจนเขาแทบจะไม่มีเวลาพัก
“ครับ ไม่เป็นไร ผมรอได้”
ดวงนภายิ้มให้เขาอย่างจริงใจ พลอยทำให้เคนยิ้มตามไปด้วย ทั้งคู่สนทนากันผลัดกันถามตอบอย่างถูกคอ เพราะต่างก็เป็นนักธุรกิจที่ดูแลงานบริหารเหมือนกัน เลยดูเหมือนจะทำให้ทั้งคู่สนิทกันง่ายขึ้น
“เมื่อไหร่จะถึง รอนานแล้วนะ” ดวงนภาข่มโทสะถามสามีที่โทรเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของเธอและเพื่อนของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ทั้งปี ช้าตลอด อืม” หญิงสาวหน้างอง้ำจนเห็นได้ชัดหลังจากวางสาย ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ อาร์ตี้เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่เขาบอกว่าลืมเติมน้ำมันเมื่อเช้า ขอวนรถเข้าปั๊มก่อน อาจจะนานนิดนึงเพราะรถติด ให้เราเข้าไปสั่งอะไรรองท้องรอได้เลยค่ะ”
“อ้าวเหรอครับ งั้นเราเข้าไปก่อนก็ได้นะครับ ผมก็รู้สึกหิวนิดๆ แล้วเหมือนกัน”
“ไปค่ะ ดูสิคะ แทนที่คุณเคนจะได้รีบกลับไปพักผ่อนจากที่เดินทางมาเหนื่อยๆ ต้องมาเสียเวลารอคนคนเดียว” มิวายบ่นฝากสายลมไปถึงสามีที่ชักช้าลีลาอยู่นั่น
“ช่างเถอะครับ อย่าไปว่าเจ้าอาร์ตี้มันเลย เราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า เชิญครับ”
“ค่ะ…ว้าย!”
“ระวัง!” เคนคว้าต้นแขนกลมกลึงนั้นไว้ได้พอดี ช่วยให้หญิงสาวไม่ต้องหน้าคะมำเพราะสะดุดขาตัวเอง ชายหนุ่มแตะแขนและพาเธอประคองเดินเข้าไปในร้านอาหารอย่างสุภาพ เมื่อสังเกตเห็นว่าหญิงสาวทรงตัวยืนอย่างไม่ค่อยถนัด…
อีกฝั่งหนึ่งของฟากถนน ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ไปมาที่ต่างก็ต้องดิ้นรนเพื่อตัวเอง จึงไม่มีใครสังเกตหญิงสาวร่างเล็กหน้าหวานที่กำลังยืนน้ำตาไหล มองภาพชายหญิงเดินประคองกอดกันเข้าไปในร้านอาหารอย่างกับคู่รัก
เธอมองเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ชัดเพราะหล่อนหันหลังให้ แต่กับผู้ชายคนนั้น คนที่บอกว่าจะมาเจอกัน คนที่ให้เธอรออยู่ที่นี่ คนที่เป็นเหมือนความหวังครั้งใหม่ในชีวิต สุดท้ายเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เชื่อถือไม่ได้ อาศัยความเชื่อใจที่เธอมีให้ ทำให้เธอเสียใจอย่างเลือดเย็น
ใช่ นี่แหละความเสียใจ เสียใจที่เธอเผลอไผลรู้สึกผูกพันกับเขาง่ายๆ รู้ทั้งรู้ว่าคนเรามันไว้ใจกันได้ยาก ก็ยังดันทุรัง สมแล้วที่ต้องเจ็บใจแบบนี้ อยากจะสมน้ำหน้าตัวเองนัก…
อภิชัยชะงักเท้าที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อจะเข้าไปข้างในร้านอาหารที่ภรรยาและเพื่อนของเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว มือหนาผละจากบานประตูและรีบวิ่งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามทันทีที่เห็นว่าใครกำลังเดินมุ่งหน้าออกไปทางปากซอย ถ้าเขาเดาไม่ผิดจุดหมายปลายทางน่าจะเป็นรถไฟฟ้าบีทีเอสที่อยู่เบื้องหน้านั้นแน่ๆ
พิมพ์อร หญิงสาวที่เขาตัดสัมพันธ์ไปปีกว่าผ่านทางสายโทรศัพท์ แม้ช่วงเวลานั้นมันล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว แต่ในใจลึกๆ เขาก็ยังอดรู้สึกคิดถึงเธอไม่ได้อยู่ดี แม้จะไม่ได้เจอกันอีกเลยนับตั้งแต่วันแต่งงานของเขากับดวงนภา เพราะเธอเป็นพนักงานของอาร์เอสวีกรุ๊ปจึงได้รับเชิญไปร่วมงาน เขายังจำได้ดีถึงสายตาอันว่างเปล่าเฉยชาที่เธอส่งมาให้ ประดุจดั่งว่าไม่เคยมีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้นระหว่างเรา มันทำให้เขารู้สึกจี๊ดในอกนิดๆ อย่างห้ามใจไม่ได้
“พิมพ์! น้องพิมพ์จริงๆ ด้วย” เสียงทุ้มอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ แต่เป็นเขาที่ดีใจเพียงฝ่ายเดียว
“คุณ…” พิมพ์อรนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ที่ได้พบหน้าชายหนุ่มที่เธอหลงลืมไปแล้วว่าเคยรู้สึกดีกับเขามากแค่ไหน สิ่งที่ต้องการตอนนี้มีเพียงแค่ให้มือหนาปล่อยออกจากต้นแขนของเธอเสียที
“พี่ดีใจนะที่ได้เจอพิมพ์ ขอเวลาพี่คุยกับพิมพ์สักครู่ได้มั้ย” อภิชัยจำต้องปล่อยมือออกจากแขนกลมกลึง เมื่อสายตาที่เคยสวยหวานตวัดดุแข็งกร้าวจ้องมองเขม็ง
“มีธุระอะไรเหรอคะ”
พิมพ์อรหันหน้าหลบไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยถามกลับเสียงเรียบเมื่อใคร่ครวญดีแล้วว่าเธอไม่จำเป็นต้องกลัวหรือหนีอะไร ในเมื่อเธอไม่ได้คิดอะไรกับผู้ชายคนนี้แล้ว เขาไม่มีอิทธิพลใดๆ ในใจ นับแต่วันที่เธอได้รู้ความจริงในสิ่งที่เขาหลอกลวงไว้นั่นแหละ