กริ๊งๆ ๆ กริ๊งๆ ๆ
เสียงนาฬิกาที่วางอยู่บนหัวเตียงดังขึ้น ปลุกคนขี้เซาเป็นประจำเช่นนี้ทุกวันในเวลาหกโมงครึ่ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีความหมาย เมื่อคนที่หลับอุตุไม่มีทีท่าจะสะดุ้งสะเทือนบ้างเลย ยังคงนอนต่อไป จนกระทั่ง…
“ฮ้าววว….ฮือออ” คนขี้เซานอนพลิกตัวไปมา ก่อนจะค่อยๆ กะพริบตาขึ้นลงช้าๆ เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงแดดยามเช้าที่เจิดจ้าเพราะสายแล้ว
“ฮ้าววว…กี่โมงแล้วเนี่ย…” พิมพ์อร เพชรารัตน์ ค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นจากหมอน พร้อมปัดผ้าห่มหนาที่ใช้งานมาทั้งคืนให้พ้นกาย ก่อนเอื้อมมือไปคว้านาฬิกาเจ้าปัญหาที่คาดว่าถ่านน่าจะหมดเพราะวันนี้มันดันเกเรไม่ยอมปลุกขึ้นมาดูเวลา แต่ดูท่าทางสิ่งที่คิดจะเป็นการใส่ร้ายที่ไม่น่าให้อภัย เพราะเวลาของนาฬิกาที่เธอดูอยู่กับโทรศัพท์มือถือมันตรงกัน
“เฮ้ย! แปดโมง…ตายแล้ว” หญิงสาวรีบกระเด้งตัวออกจากเตียงนุ่มราวกับโดนน้ำร้อนลวก คว้าผ้าขนหนูวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
พิมพ์อรใส่เสื้อผ้า จัดผม และเติมหน้าอย่างด่วนจี๋ ชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องทำยังจะดีเสียกว่า ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายคล้องไหล่ แล้วเปิดประตูเดินแกมวิ่งออกไปจากห้องทันที…
หญิงสาวรีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในอาคารที่ทำงาน กดรอลิฟต์อย่างร้อนใจ วันนี้ดันซวยตื่นสาย รู้ทั้งรู้ว่าวันจันทร์รถมันติดกว่าทุกวัน และที่ทำงานเธอเข้างานเวลาแปดโมงครึ่ง แต่ดันตื่นเอาอีตอนแปดโมงเช้าแล้ว
เฮ้อ นี่เธอกลายเป็นคนไร้ความรับผิดชอบไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ แถมวันนี้ตอนเก้าโมงครึ่งมีประชุมกับผู้บริหารของหน่วยงานบริหารทรัพยากรบุคคลที่เธอสังกัดอยู่ด้วย
‘โอ๊ย ยัยพิมพ์ งานนี้ไม่เกิดแถมอาจจะตายทั้งๆ ที่ยังหายใจด้วย วันนี้ต้องพรีเซนต์งานที่ต้องรายงานความคืบหน้าอีกต่างหาก ดันตื่นสายซะได้’
พิมพ์อรคิดอย่างหงุดหงิดและหวาดหวั่น ถ้าการนำเสนองานที่เธอทุ่มเททำเป็นแรมเดือนจะพังลงไม่เป็นท่าในวันนี้มันก็เกินไปละ เอาสิเป็นไงเป็นกัน แค่มาสายนิดเดียวเอง…เอ่อ ก็ไม่นิดสักเท่าไหร่ เพราะขณะนี้เป็นเวลาเก้าโมงสิบห้าแล้ว
“อ๊ายยยย…เหลือสิบห้านาที ลิฟต์ๆ มาซะที”
พิมพ์อรยืนกระสับกระส่ายอย่างเป็นกังวล แค่ตื่นสายกับมาสายก็พอแล้ว อย่าให้ต้องเข้าประชุมสายอีกเลย
‘Cause there’ll be no sunlight. If I lose you, baby. There’ll be no clear skies. If I lose you, baby…’
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ขณะที่พิมพ์อรเดินเข้าไปในลิฟต์
“นี่! นังพิมพ์ แกอยู่ไหน” ปลายสายจิกถามอย่างไม่เกรงใจ
“อยู่ในลิฟต์จ้า กำลังไป รีบอยู่ ก็รถมันติดนี่ ค่ะๆ ๆ แค่นี้นะ” พิมพ์อรย่นจมูกใส่โทรศัพท์ แก้มใสป่องออกเหมือนเด็กถูกขัดใจ
เฟิร์ส หรือ พัชรพงศ์ เพื่อนหนุ่มใจสาว โทรมาวีนแตก เร่งเร้าให้เธอมาถึงห้องประชุมให้ได้ภายในสองนาทีนี้ ก่อนที่จะเจอระเบิดลูกใหญ่…
พิมพ์อรนั่งซึมอยู่ที่โต๊ะทำงานหลังจากการประชุมอันน่าอึดอัดผ่านพ้นไป ในหัวเธอยังได้ยินเสียงเจ้านายตำหนิอย่างชัดเจน
‘วันนี้เป็นวันประชุมที่สำคัญมาก คุณเป็นคนจัดเตรียมแผนงานและข้อมูลการนำเสนอทั้งหมด แต่คุณมาสายจนถึงเวลาเข้าประชุม ผมผิดหวังจริงๆ ทั้งที่แต่ก่อนคุณทำให้ผมทึ่งในความเฉลียวฉลาด เอาเถอะ ไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาด ผมแค่เตือนเพราะความเป็นห่วง ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆ ครั้งหน้าจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก’
‘ขอบคุณค่ะเจ้านาย พิมพ์ขอโทษนะคะ พิมพ์ไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้นค่ะ แต่พิมพ์สัญญานะคะครั้งต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์แบบวันนี้แน่นอนค่ะ’
หลังเดินคอตกออกมาจากห้องของผู้จัดการฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงแล้ว เธอก็กลับมานั่งซึมที่โต๊ะทำงานของตน อยากอยู่คนเดียวสงบจิตสงบใจสักพักก็ไม่ได้ ยังมีมารตามมากวนใจแถมซ้ำเติมอีก
“ไงจ๊ะแม่นางพิมพ์พิษ โดนยำเละเป็นข้าวเหนียวทุเรียนเลยมั้ยล่ะ ดีนะที่งานแกไม่ผิดพลาดด้วย ไม่งั้นนะแกเอ๊ย…”
พัชรพงศ์เพื่อนปากจัดของเธอเอ่ยขึ้น
เฮ้อ จะมาพูดทำไมตอนนี้นะนังเพื่อนกระทิงบ้าเอ๊ย คนยิ่งกลุ้มอยู่นะ เพิ่งโดนเจ้านายด่าแบบผู้ดีมาหยกๆ
“ไม่!”
“อะไรวะ” คำปฏิเสธสั้นๆ ของเพื่อนสาวทำเอาพัชรพงศ์เลิกคิ้วงงงัน
“พิมพ์อร ไม่ใช่พิมพ์พิษ”
“พิมพ์พิษน่ะเหมาะกับแกแล้ว มีอย่างที่ไหน มาสายจนคนในห้องประชุมนั่งกันไม่ติดเก้าอี้”
“พิมพ์ขอโทษนะ ที่เกือบทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อนไปด้วย”
พิมพ์อรเอ่ยขอโทษเสียงเศร้าๆ พร้อมเงยหน้าหงอยๆ ขึ้นมอง พัชรพงศ์เห็นดังนั้นก็ใจอ่อนยวบ ทั้งหงุดหงิดและสงสารเพื่อนปนกันไปหมด
“เอาน่าแก ช่างมันเถอะ หมาน้อยยังรู้พลาดแมวเหมียวยังรู้พลั้ง”
พิมพ์อรอดขำกับคำเปรียบเปรยของเพื่อนหนุ่มไม่ได้ เอ๊ย เพื่อนสาวสินะ แต่ไม่รู้เธอคิดมากเกินไปไหม บางครั้งเธอก็รู้สึกว่าพัชรพงศ์ไม่ใช่คนที่จะเป็นกะเทยได้เลย ถ้าบอกว่าเป็นแค่เกย์คิงสายรุกหรือสายดาร์ก ยังจะใช่เสียมากกว่า
ครั้นเห็นหญิงสาวเงียบไป พัชรพงศ์ก็เอ่ยต่อเสียงนุ่ม
“ถือซะว่าโดนตำหนิตอนครบรอบการทำงานสามปี คนเก่งอย่างแกโดนด่าเสียมั่งเถอะ ให้โอกาสคนที่ความชั่วไม่เคยมีความดีไม่เคยปรากฏอย่างฉันมีที่ยืนบ้าง”
“เฟิร์สเชื่อป่ะ พิมพ์ไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกเลย” เธอเล่าเพื่อนเสียงอ่อย
“ก็ฉันบอกแกแล้วว่าอย่านอนดึก ขยันไม่เข้าเรื่อง ชอบหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้านไม่หลับไม่นอน ร่างกายมันก็เพลียสิ คนนะเว้ยไม่ใช่ตุ๊กตายาง จะได้เอามาบีบเล่นตอนไหนก็ได้”
พัชรพงศ์พูดเสียงดังอย่างโมโห บอกมันหลายรอบแล้วนะ ไอ้นิสัยชอบทำงานหนัก หอบงานกลับไปนอนด้วยน่ะ
“คนบ้านี่ พูดอะไรก็ไม่รู้” พิมพ์อรที่ใบหน้าขึ้นสีระเรื่ออดแว้ดเพื่อนไม่ได้ ก็ดูคำพูดคำจาแต่ละอย่างของมันสิ
“อย่ามาเถียง”
“ก็พิมพ์กังวลนี่ กลัวงานไม่เสร็จ เฟิร์สอย่าดุสิ”
เมื่อเขาขึ้นเสียงใส่ พิมพ์อรก็ตอบกลับไปเสียงอ่อยๆ พลางมองเพื่อนตาแป๋ว กระนั้นในใจก็อดแย้งไม่ได้ว่า
เมื่อคืนฉันดูหนังจนดึกต่างหากเล่า ไม่ได้เอางานกลับไปทำเสียหน่อย
แหะๆ ขอโทษขออภัยอย่าให้บาปเลย ถ้าบอกความจริงออกไปคงโดนด่าสามวันเจ็ดวันแน่
“ไม่ต้องมาอ้อนเลยนะ พอฉันเตือนแล้วแกก็เป็นซะอย่างนี้ แล้วทำไมไม่ให้ไอ้แฟนแสนกะล่อนของแกมันโทรปลุกบ้างล่ะ มีแฟนทั้งทีใช้มันให้คุ้มบ้างสิ”
“คือว่า…ไม่ได้คุยกันหลายวันแล้วล่ะ” พิมพ์อรอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง
“อะไรนะ! โอ๊ยนังพิมพ์ ฉันอยากจะบ้าตาย แกคบกันเป็นแฟนประสาอะไร สามวันหนีสี่วันโผล่ คุยกันมาได้ตั้งเป็นปี เจอหน้ากันไม่ถึงห้าครั้ง ไหนแกบอกว่ามันดีกับแกไง ฉันไม่เห็นมันจะสนใจดูแลอะไรแกเลย”
พิมพ์อรก้มหน้าก้มตาหลบสายตาของเพื่อนรัก เธอเองก็มัวแต่ยุ่งๆ จนลืมคิดไปเลยเหมือนกันว่าพักหลังๆ มานี้ เธอกับแฟนไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยเหมือนเคย จากที่แต่ก่อนเขาจะโทรมาหาเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอนก็คุยกันเป็นชั่วโมงทั้งที่ไม่น่าจะมีเรื่องคุยอะไรนักหนา แต่สองสามเดือนมานี้ชายหนุ่มเริ่มห่างหายไป โทรมาคุยนิดๆ หน่อยๆ เหมือนรีบคุยและรีบวาง จนตอนนี้ปาเข้าไปเกือบสัปดาห์แล้วที่ไม่เห็นโทรมาเลย
“ยัยพิมพ์!” เสียงตะโกนของพัชรพงศ์ ทำให้พิมพ์อรถึงกับสะดุ้งโหยง
“แกจะเหม่อหาเห็ดอะไรฮะ ฉันพูดกับแกอยู่นะ”
“เปล่าๆ พิมพ์ขอโทษนะเฟิร์ส ขอพิมพ์อยู่คนเดียวสักครู่นะ พิมพ์จะลองโทรหาเขาดู ไม่รู้เป็นไงบ้าง ไม่เห็นโทรมาหลายวัน”
“เออ เจริญเถอะ พอจะโทรหาผู้ชายก็รีบไล่กะเทยเลยนะ แกนะแกนังพิมพ์ ฉันไม่คุยกับแกแล้ว พูดด้วยแล้วเสียอารมณ์ ฮึ่ย!”
พัชรพงศ์สะบัดก้น เชิดหน้า และเดินหนีไปอย่างงอนๆ
“เฮ้อ…”
พิมพ์อรถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ เธอล่ะเสียดายความหล่อของพัชรพงศ์เสียจริงๆ ยิ่งดูจากข้างหลังท่วงท่าการเดินก็ดูแมนดี อะไรเข้าสิงให้เขากลายเป็นเพื่อนสาวก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตั้งแต่รู้จักกันมาจนสามปี เธอก็ได้เห็นอีกฝ่ายในบุคลิกลักษณะแบบนี้แล้ว การแต่งกาย การพูด บุคลิกภายนอก เหมือนกับผู้ชายทั่วไปไม่มีผิดเพี้ยน แต่พออยู่กับเธอเท่านั้น คำพูดคำจาของเขาก็จะจิกกัดและจีบปากจีบคอจนไม่เหมือนผู้ชาย แต่จะยังไงก็ช่าง เพื่อนก็คือเพื่อนล่ะนะ จะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับความจริงใจที่มีให้กันหรอก…