“ขอบคุณมากค่ะ”
“แล้วฮันนี่จะเดินทางวันไหนครับ”
“คงเป็นพรุ่งนี้ตอนเช้ามืดค่ะ”
“งั้นเรายังพอมีเวลาคุยกันได้ใช่มั้ยครับ”
“ได้ค่ะ”
“ผมเห็นรูปใหม่ของฮันนี่แล้ว น่ารักจัง ฮันนี่อัปรูปอื่นเยอะๆ กว่านี้ได้มั้ยครับ เดี๋ยวผมจะอัปของผมให้ดูเหมือนกัน”
แม้จะอยากถามเขาว่าตั้งแต่คุยกันมาทำไมเขาจึงไม่คิดจะวิดีโอคอลคุยกับเธอบ้าง จะได้เห็นหน้าเห็นตาหรือเห็นหนวดกันไปเลย กระนั้นก็ไม่กล้า จึงได้แต่เอ่ยตอบเขาไปว่า
“โอเคค่ะ สักครู่นะคะ”
“ครับผม”
“อัปเพิ่มแล้วค่ะ ลองเข้าไปดูนะคะในหน้าโปรไฟล์”
“เจอแล้วครับ ผม...อยากเจอคุณไวๆ จัง ตั้งปีหน้าแน่ะกว่าจะได้ไปที่นั่น”
“ถ้ามีโอกาส เราก็คงได้เจอกันเองล่ะค่ะ”
“ผมก็หวังเช่นนั้นครับ...ผมต้องไปแล้วครับฮันนี่ เดินทางดีๆ นะครับ ขอให้คุณแม่คุณหายป่วยไวๆ...ไว้คุยกันอีกนะครับ”
พิมพ์อรที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานกำลังเหม่อมองกล่องข้อความเข้าในอีเมลสลับกับหน้าจอเฟซบุ๊กที่ล็อกอินด้วยคอมพิวเตอร์อย่างเซ็งๆ เกือบสัปดาห์เข้าไปแล้วที่ชายหนุ่มไม่ได้ออนไลน์มาคุยหรือส่งข้อความมาหาเหมือนอย่างเคย เธอลองส่งไปทักทายครั้งหนึ่ง แต่เห็นเขาเงียบไปก็เลยไม่คิดจะส่งไปก่อนอีกแล้ว รอให้เขาส่งมาเองดีกว่า แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่มาสักที หรือว่าเขาจะลืมไปแล้วนะว่าเคยคุยกับเธออยู่ทุกวัน
แต่เอ๊ะ นั่นข้อความใหม่นี่ ของใคร ใช่เคนหรือเปล่า
ชั่ววินาทีที่กำลังคาดเดา ปุ่มสีเขียวๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของการออนไลน์ก็ปรากฏขึ้น พร้อมๆ กับข้อความของคนที่เธอรอคอยอย่างใจจดใจจ่อมาโดยตลอด สรุปว่าเขาเพิ่งจะมา
“สวัสดีครับ ไม่ได้คุยกันหลายวันเลย คุณเป็นยังไงบ้างครับ”
“สวัสดีค่ะ สบายดีนะคะ ไม่เห็นคุณตอบข้อความพิมพ์ตั้งหลายวันแล้ว ยุ่งอยู่เหรอคะ ก็รออยู่ว่าหายไปไหน นึกว่าไม่สบายเสียอีก”
“ผมยุ่งมากๆ เลยช่วงนี้ หวังว่าคุณจะเข้าใจผมนะครับฮันนี่ แต่ยังไงมกราคมปีหน้านี้ผมก็ต้องไปพบคุณให้ได้อยู่แล้ว”
“พิมพ์รู้ค่ะว่าคุณน่าจะมีงานเยอะ ไม่ต้องกังวลนะคะ วันนี้โดนฝน รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยมากเลยค่ะ”
“รักษาสุขภาพด้วยนะครับ”
“แล้วคุณหายไปไหนมาคะ ไม่เห็นส่งข้อความมาตั้งหลายวัน” ยังจะเซ้าซี้ถามเขาอีก แฟนหรือก็ไม่ใช่
“ผมยุ่งๆ แล้วก็มีประชุมค่อนข้างบ่อยครับ เลยไม่ค่อยได้ออนไลน์เท่าไหร่ครับ”
“อ๋อ ค่ะ งั้นคุณทำงานเถอะค่ะ พิมพ์ไม่กวนแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับฮันนี่ วันนี้ผมมีเวลาคุยกับฮันนี่ได้นานๆ เลย ผมเคลียร์งานไว้หมดแล้ว ฮันนี่ไม่อยากคุยกับผมเหรอครับ”
“เปล่าค่า แค่เกรงใจกลัวว่าจะรบกวนเวลางานคุณเท่านั้นเอง”
“ผม…คิดถึงฮันนี่นะครับ…ผมอยากเจอคุณมาก”
“ค่ะ”
“ไว้เราเจอกัน…เราน่าจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน…เดินจูงมือไปไหนมาไหนด้วยกัน ฮันนี่ว่าดีมั้ย”
“ไม่รู้สิคะ เอาไว้เราเจอกันก่อนดีกว่านะคะ เผื่อถึงเวลาจริงๆ คุณติดงานแล้วมาไม่ได้”
“ผมตั้งใจไว้แล้ว ผมต้องไปให้ได้ เราจะอยู่ด้วยกันนะฮันนี่ ผมอยากอยู่ใกล้ๆ คุณ คุณจะยอมมาเจอผมหรือเปล่าครับ”
“คือ…พิมพ์คงสะดวกแค่แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้คุณน่ะค่ะ แต่จะไปเจอได้หรือเปล่า ไม่แน่ใจนะคะ ไว้ถ้าคุณออกมากินข้าวที่ร้านอาหารที่ไหนใกล้ๆ ที่ทำงานของพิมพ์ เราอาจจะมีโอกาสเจอกันก็เป็นได้ค่ะ”
“ฮันนี่ครับ…ผมจริงจังกับการเดินทางในครั้งนี้ เพราะผมอยากไปหาคุณนะครับ”
“เอ่อ…พิมพ์ดีใจนะคะที่คุณอยากพบพิมพ์ เอาเป็นว่า ยินดีต้อนรับสู่เมืองไทยล่วงหน้านะคะ”
“ครับ…ผมอยากเห็นตัวจริงคุณจัง คงจะสวยกว่าในรูปแน่ๆ ดวงตาคุณสว่างไสวเหมือนแสงดาวในยามท้องฟ้ามืด ใบหน้าคุณก็อ่อนหวานละมุนตาเหมือนพระจันทร์ในคืนเดือนหงายเลย…”
“ฮ่าๆ คุณเพ้ออะไรออกมาคะ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ พิมพ์ถ่ายรูปขึ้น ตัวจริงน่ะคนละเรื่องเลย ถ้าคุณมาเห็นอย่าวิ่งเผ่นหนีไปไหนนะคะ รับปากพิมพ์ก่อน”
“ผมเชื่อครับว่าฮันนี่เป็นคนน่ารักและมีเสน่ห์ ไม่งั้นผมคงไม่รอคอยที่จะนั่งคุยกับคุณ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยเจอหน้ากันหรอกครับ”
“แล้ว…แฟนคุณไม่งอนแย่เหรอคะมานั่งคุยกับพิมพ์แบบนี้”
“ผมเป็นหนุ่มโสดครับ ไม่มีใครมาว่าหรอก ว่าแต่ฮันนี่เถอะ แฟนฮันนี่ไม่เคืองเหรอครับที่มาคุยกับผมบ่อยๆ”
“ไม่หรอกค่ะ…พิมพ์ไม่มีแฟน ก็เคยมีนะคะ แต่ไม่น่าเรียกแฟน เรียกว่าคนรู้จักกันดีกว่าค่ะ”
“ท่าทางเหมือนฮันนี่ไม่ค่อยอยากพูดถึง…เขา เป็นผู้ชายไทยหรือเปล่าครับ แล้วเกิดอะไรขึ้น เขาทำอะไรไม่ดีกับคุณหรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ พิมพ์ไม่ได้คิดมากอะไร คิดแค่ว่าถ้าไปกันไม่ได้ก็จบดีกว่า โดยเฉพาะคนที่โกหกหลอกลวง คบไปก็ไม่มีประโยชน์ค่ะ”
“อืม…ผมเสียใจด้วยนะฮันนี่ ถ้าเรื่องที่ผมถามทำให้คุณรู้สึกเศร้า”
“ไม่เลยค่ะ คุณอย่ากังวลเลยนะคะ”
“ครับผม…แล้วฮันนี่ลืมเขาได้แล้วหรือยังครับ…ถ้าผมจะถามอะไรตรงๆ ฮันนี่จะโกรธหรือเปล่า”
“อะไรเหรอคะ”
“ฮันนี่รักเขา หรือมีอะไรกับเขาหรือเปล่าครับ”
“……”
“ฮันนี่ อย่าโกรธผมเลยนะครับ ผมแค่อยากรู้ว่า เขากับฮันนี่คบกันถึงขั้นไหน ถ้าฮันนี่แค่กำลังทะเลาะกับผู้ชายคนนั้น ผมจะได้วางตัวได้ถูก ว่าควรจะรักษาระยะห่างระหว่างเรายังไง”
“ขอตอบทีละอย่างนะคะ อันแรก ลืมไปนานแล้วค่ะ ไม่ใช่แค่ลืมด้วย แต่ไม่อยากจะจดจำต่างหาก แต่ขอไม่บอกนะคะว่าเขาทำอะไรไว้กับพิมพ์ พิมพ์คิดว่าคงไม่ใช่ความรัก ไม่งั้นพิมพ์คงไม่ลืมเขาง่ายๆ แบบนี้ และสุดท้าย พิมพ์ไม่ได้มีอะไรกับเขาค่ะ ผู้หญิงไทยเราหากจะมีอะไรกับใครสักคน ก็อยากจะมีกับคนที่รักและอยากจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตทั้งนั้นแหละค่ะ”
“โอเคครับ…ผมขอโทษที่ถามอะไรละลาบละล้วง ฮันนี่อย่าโกรธผมนะครับ”
“ช่างเถอะค่ะ ยังไงคุณก็ถามไปแล้วนี่คะ”
“ครับ…ฮันนี่ ชอบกินอะไร ถ้าเราเจอกัน เราไปดินเนอร์ด้วยกันนะ”
“ได้ค่ะ ถ้ามีโอกาสนะคะ พิมพ์ไม่ค่อยได้ออกไปไหนตอนเย็น เบื่อรถติดน่ะค่ะ ปกติพิมพ์จะชอบกินข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง แต่คุณคงกินไม่ได้แน่ๆ”
“ถ้าไม่เผ็ดมาก ผมก็พอกินได้บ้างนะครับ”
“แต่เมนูตามที่พิมพ์ว่าเผ็ดมากค่ะ”
“เอ่อ งั้นผมขอบายละกัน ฮันนี่พาผมไปชิมอย่างอื่นเถอะนะครับ”
“คิกๆ นึกว่าอยากลองชิมซะอีก มาทั้งทีลองหน่อยสิคะ ไม่งั้นเดี๋ยวเหมือนมาไม่ถึงเมืองไทยนะคะ”
“ไม่ไหวหรอกครับ ผมคงลิ้นพองกันพอดี ถ้าต้องกินอะไรเผ็ดๆ แบบนั้น”
“งั้นไม่ต้องใส่พริกก็ได้ค่ะ…หรือว่าจะลองชิมปลาร้าทรงเครื่องดีคะ อร่อยสุดยอดในสามโลกเลยค่ะ”
“ปลาร้าทรงเครื่องคืออะไรเหรอครับ…เป็นพันธุ์ปลาชนิดหนึ่งหรือเปล่า เหมือนพวกทูน่า หรือแซลมอน อะไรแบบนี้มั้ยครับ”
“เอ่อ…มันไม่เหมือนเลยค่ะ เอาไว้ถ้าคุณมา พิมพ์จะลองหาให้ชิมนะคะ ไม่แน่นะคุณอาจจะชอบก็ได้”
“อืมครับ…ผมต้องไปแล้วฮันนี่ ไว้คุยกันใหม่นะครับ ถ้าผมจัดการเรื่องการเดินทางเรียบร้อยเมื่อไหร่ จะรีบบอกคุณทันทีเลยนะครับนางฟ้าของผม…จุ๊บบบบบ!”
“บายค่ะ”
พิมพ์อรนั่งยิ้มกริ่มอารมณ์ดีอยู่หน้าโต๊ะทำงาน จนไม่ได้สนใจมองนาฬิกาว่าใกล้จะได้เวลาเลิกงานกลับบ้านแล้ว หญิงสาวนั่งอ่านข้อความโต้ตอบที่ผ่านมาแล้วตั้งแต่ต้นจนจบอย่างสบายอารมณ์
กระทั่งยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจและเอียงตัวไปมานั่นแหละ จึงได้เห็นว่ามีใครบางคนที่มายืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหลัง โดยที่เธอไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด…