ยักษ์ชั้นกลางมีรูปลักษณ์สวยงาม สวมเครื่องประดับและอาภรณ์วิบวับตระการตา แม้จะไม่มีมีรัศมีเปล่งประกายเช่นยักษ์ชั้นสูง แต่ผิวพรรณและเรือนร่างก็มีสง่าราศีนัก ต่างจากยักษ์ชั้นต่ำที่มีรูปร่างอัปลักษณ์ ผมหยิกหย็อง ตัวดำมะเมื่อม ตาโปน ผิวหยาบดุจกระดาษทราย อีกทั้งยังนิสัยดุร้าย ยักษ์เหล่านั้นล้วนรับใช้เป็นบริวารยักษ์ชั้นกลาง
ทว่า...วิรัลย์เป็นยักษ์ชั้นกลางที่มีรูปร่างงดงามแท้ๆ เหตุใดจึงได้ดุร้ายดุจยักษ์ชั้นต่ำกันเล่า?
ถึงจะไม่ได้สำแดงออกมาด้วยการโวยวายพาโล แต่ความเงียบงันและท่าทางน่าเกรงขามนั้นก็ส่อลักษณะว่าเป็นลักษณะนิสัยดุร้ายอยู่พอสมควร
ไอศูรย์ขบคิดโดยหาได้เหลียวมองตนเองแต่อย่างใดว่าเป็นเพราะเขานั่นล่ะที่ทำให้วิรัลย์ต้องเดือดดาล มิหนำซ้ำยังจะพูดออกมาอีก
“น้องวิรัลย์เคยได้ยินหรือไม่ที่เขาว่ากันว่าอสุรานั้นไซร้มีหลายประเภท บ้างก็ใจดี บ้างก็ดุร้าย”
คำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาวิรัลย์เบนสายตากลับมามองผู้พูดอีกครั้ง ก่อนต้องชักสีหน้าเมื่อไอศูรย์จำนรรจาประโยคถัดไปให้ได้ยิน
“น้องยักษ์ของพี่คงจะเป็นอย่างหลังกระมัง เจ้ายักษ์ดุร้าย”
ถูกค่อนแคะโดยไร้ซึ่งความผิด วิรัลย์ก็มองอย่างหยามเหยียด ก่อนจะโต้ออกมาบ้าง
“ส่วนเจ้าก็คงจะเป็นประเภทฟั่นเฟือน สติไม่สมประดี ถึงได้วิปลาสเพียงนี้ หลงรักใคร่ข้าซึ่งเป็นอริราชย์ยังไม่พอ ยังจะหมายปองครอบครองบุรุษด้วยกันอีก เจ้าคงทำศึกมากไปถึงได้ไม่เป็นผู้เป็นคน”
ไอศูรย์หลุดหัวเราะ หนึ่งนั้นดีใจที่วิรัลย์ยอมเปิดปากพูดกับเขาเสียที อีกหนึ่งก็ขบขันกับการตอบโต้ที่แสบสัน เขา ยื่นใบหน้าชะโงกข้ามโต๊ะแล้วว่าเสียงแผ่วยั่วเย้า
“พี่ไม่คิดเลยว่าคนเงียบขรึมเช่นน้องจะมีวาจาเหลือร้ายดุจเข็มแหลมทิ่มแทง ช่างบริภาษพี่ได้รวดร้าวใจเสียเหลือเกิน”
อยากจะเอาขอบพานทองจามหน้านัก!
ต้องกำมือแน่นแค่ไหนกันถึงจะไม่พลั้งเผลอไปคว้าเอาพานที่มีผลหมากรากไม้แกะสลักประณีตไปตีใบหน้าหล่อเหลาของจอมทัพอสุราที่หยอกเย้าเขาให้เสียโฉมเข้า
แต่สุดท้ายก็ระงับโทสะของตนเองได้ คมเขี้ยวอสุราหายไปแล้ว ไอศูรย์ยินดียิ่งที่ยอดกมลของเขาคลายโทสะเสียที ก่อนจะนั่งหลังตรงตามเดิม พลันเอื้อมมือไปหยิบชิ้นเนื้อสมันจากพานทองคำพานหนึ่งไปตรงหน้าวิรัลย์
“กินเนื้อนี่เสียสิ พี่ตั้งใจให้นางกำนัลปรุงมาให้เจ้าเลยทีเดียว เนื้อสมันนี้ พี่ก็เป็นคนล่ามาให้เจ้า”
เขาว่าด้วยสัตย์จริง เมื่อรุ่งอรุโณทัย เขากับการิตและนายทหารราพณ์อีกราวสิบตนพากันควบโตเทพอัสดรเข้าพงไพรในเขตแดนมนุษย์ เหตุที่ต้องไปล่าสัตว์ถึงเขตแดนต้องห้ามนั้นเป็นเพราะคิดว่ายักษ์ป่าอย่างวิรัลย์ที่อยู่ยังพื้นที่ทุรกันดารคงจะหาได้เคยลิ้มรสสัตว์ในดินแดนมนุษย์มาก่อน จึงหมายให้ได้ลิ้มลองเป็นลาภปาก
ทว่า...วิรัลย์กลับไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด เหลือบมองด้วยสายตานิ่งเรียบ ไม่ใคร่จะรับอาหารจากมือหยาบกร้านของคนตรงหน้า
เพราะเอาแต่มองเฉยๆ ไอศูรย์จึงย่นริมฝีปากว่าตระแหน่แง่งอน
“อย่าตัดรอนน้ำใจพี่เลย เพียงคำเดียวเท่านั้น ถือเสียว่าเป็นน้ำใจพี่ที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้”
หากกินแล้ว หนี้บุญคุณก็จะหมดสิ้นกันใช่ไหม?
วิรัลย์รู้ว่ามิอาจลบล้างได้หรอก แต่ก็ยอมกินด้วยตัดรำคาญ หากแต่เมื่อเอื้อมมือไปหมายจะหยิบเอาชิ้นเนื้อในมือของไอศูรย์ อีกฝ่ายก็ชักมือกลับ หลบหลีกไม่ยอมให้คว้าเอาโดยง่าย
เรียวคิ้วสวยขมวดมุ่น สายตาจับจ้องยังคนหยอกเย้าอย่างเดือดดาล
“หากจะกิน ก็จงกินจากมือพี่เถิด พี่จะป้อนให้”
ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก!
“เจ้า...”
วิรัลย์แค่นเสียงออกมา อยากจะเอาพานฟาดดวงหน้าหล่อเหลานั่นเต็มแก่จริงๆ แล้ว ทว่าไอศูรย์ก็หาได้สนใจแต่อย่างใด นอกจากจะยื่นมือมาตรงหน้าอีกครั้ง
“อ้าปากสิน้องยักษ์ เนื้อสมันชิ้นนี้ พี่จะป้อนเจ้าเอง”
หากไม่ตอบรับ ไอศูรย์คงตอแยไม่เลิกรา วิรัลย์จึงยอมเปิดปากขึ้น งับเอาชิ้นเนื้อสมันจากมือหนาเข้าปากเคี้ยวช้าๆ
เห็นดวงกมลลิ้มรสโอชาของอาหารที่เขาล่ามาให้กับมือแล้ว ไอศูรย์ก็อดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้ พลันยกมือขึ้นมากุมหน้าอกข้างซ้ายอีกครั้ง ก่อนจะครางเสียงต่ำ
“อา...”
วิรัลย์ชะงัก ปรายตามองราวกับจะถามว่าเป็นอะไร เพราะท่าทางของไอศูรย์นั้นแลดูคล้ายเจ็บป่วยทางกายกะทันหัน หากแต่เมื่อได้ยินคำตอบ...
“เห็นเจ้ากินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วไซร้ ใจพี่ที่ว่าแกร่งกว่าหินผา ในเพลานี้ช่างเปราะบางเพราะความน่าเอ็นดูของเจ้ายิ่งนัก เหตุนี้เองพี่ถึงทูลขอเจ้าเป็นรางวัล ไม่เสียทีที่เอ่ยไปเช่นนั้น ยอดกมลของพี่”
...เขาก็กำมือแน่นจนสั่นระริกอีกครา
คงไม่ต้องใช้พานตีแสกหน้าแล้วกระมัง เบื้องบาทเขาเลยก็แล้วกัน ไม่ยุ่งยากดี
มาทำให้ขนลุกซ้ำซากอยู่ได้ จะหาเรื่องกันหรืออย่างไรนะ