ไอศูรย์พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดเป็นอื่นจากคำพูดของเขา ซึ่ง...ก็ถูกต้อง คราแรกเขาก็หมายจะมาเยี่ยมเยือน ‘ของรางวัล’ ของตนนั่นแล แต่พอมาเห็นว่าวิรัลย์ชำระกายาอยู่ในสระกลางตำหนัก ก็อดใจที่จะเกี้ยวพาราสีไม่ไหวด้วยหลงใหลเป็นยิ่งนัก ดูผิวพรรณผ่องแผ้วดุจทองคำพิสุทธิ์นั่นสิ ช่างเย้ายวนภุมรีเช่นเขาให้สัมผัสยิ่งนัก ไหนจะดวงหน้าเฉิดฉายงดงาม ดวงตาเรียวฉายแววเย่อหยิ่ง จมูกโด่งรั้นได้รูป ริมฝีปากกระจับสีแดงชาด เรือนผมนุ่มสีนิลกาฬ... ล้วนแล้วชวนให้น่าหลงใหลเหลือคณา เรือนร่างของวิรัลย์นั้นโสภาราวกับมีมนตราประทับ ล่อลวงให้จอมอสุราผู้มีใจแข็งแกร่งดั่งหินผาแปรเปลี่ยนเป็นขี้ผึ้งต้องไฟได้ในบัดดล เป็นเช่นนี้แล้ว เขาจะยับยั้งช่างใจอย่างไรไหว
“ออกไป”
วิรัลย์เปล่งเสียงราบเรียบมาอีกครั้ง ทว่ามีความหนักแน่นและเกรี้ยวกราดเจือปน ด้วยรู้แล้วว่าตนถูกทูลขอเป็นของรางวัลด้วยเหตุผลกลใด พลันคิดไปว่ายักษาตรงหน้าช่างจิตวิปลาสยิ่งนัก ยิ่งเหลือบมองไปยังแกนกลางลำตัวของไอศูรย์และพบว่าแกนกายเกสรแห่งบุรุษเพศชูชันอย่างกระหายใคร่สังวาส วิรัลย์ก็หัวเสียกว่าเดิม
“ข้าบอกให้ออกไป”
ถูกขับไล่ไสส่งนับครั้งไม่ถ้วนแล้วกระมัง ไอศูรย์พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ริมฝีปากหนาย่นยู่แลกระเง้ากระงอด
“พี่ร้องขอเจ้าเป็นรางวัลก็ด้วยเพราะเสน่หา ไยน้องยักษ์แก้วตามิเห็นแก่ใจพี่บ้าง”
เสียงร่ำตัดพ้อหลุดออกจากจอมอสุรา สายตาวิงวอนยอดกมลให้ใจอ่อนให้อภัยในการกระทำจาบจ้วงของตน หากแต่กลับถูกตัดรอนเมื่อวิรัลย์ปรายตามองอย่างเดียดฉันท์ ก่อนจะว่า
“ให้สมสู่กับเจ้า ข้ายอมถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นเสียดีกว่า”
ช่างหยิ่งผยองนักเจ้ายักษ์น้อยของพี่...
แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่ จู่ๆ ก็ถูกตะบองยักษ์ของเขาชี้หน้า ไม่แปลกที่จะโกรธเกรี้ยว เขาเองก็หาได้ตั้งใจ เมื่อครู่ที่ไปโอบรัดเอวเข้า มันไปกระตุ้นให้เขาเกิดกำหนัดอย่างพอดิบพอดีน่ะ
“พี่หาได้อยากจะร่วมสังวาสกับเจ้าเสียหน่อย เพียงแต่หมายจะพูดคุยเฉยๆ”
หากเชื่อในน้ำคำก็คงจะกลายเป็นยักษ์โง่เขลา
วิรัลย์พ่นลมออกจากจมูกเต็มแรง ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ และไม่ใคร่สนใจคนตรงหน้าอีกต่อไป ตอนนี้เดือดดาลกว่าเดิมเสียอีกเมื่อตระหนักรู้ได้อย่างแจ่มแจ้งว่าแท้จริงแล้ว ไอศูรย์ทูลขอตนเป็นของรางวัลเพื่อการใด
เป็นของบำเรอ! เจ้ายักษ์ชั้นต่ำนั่นกำแหงนัก!
ถึงจะรู้แล้วว่าไอศูรย์ปรารถนาสิ่งใดจากตน ทว่าเขาก็หาได้คิดหลบหนี การหนีหาใช่ทางออก อีกทั้งยังเสื่อมเสียเกียรติอีกด้วยเพราะการหนีนั้นเป็นหนทางของคนขี้ขลาด แต่หลังจากนี้คงต้องระวังตนไว้ให้มาก เพราะดูจากท่าทางของไอศูรย์แล้ว คงจะไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่
ซึ่งก็จริงดังคาด เพราะทันทีที่เห็นวิรัลย์รีบขึ้นจากสระแล้วหมายจะกลับเข้าห้องชั้นใน ไอศูรย์ก็รีบเร่งดีดตัวขึ้นจากสระน้ำเช่นกัน ถลาเข้ามาหมายจะคว้าเอาตัวของวิรัลย์อีกครั้ง
“น้องยักษ์...”
คราวนี้วิรัลย์ไหวตัวหลบได้ทันด้วยการทิ้งตัวลงต่ำหลบหลีก ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง มือก็คว้าเอามีดสั้นจากกองอาภรณ์ของไอศูรย์เอาไว้ได้ เมื่อผุดลุกยืนอีกครา ก็ใช้มีดสั้นนั้นจ่อที่ลำคอของตนเอง
“หากเจ้าก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าว ข้าจะกระทำอัตวินิบาตกรรมเสียให้สิ้น”
ไอศูรย์ชะงักในทันที แววตาแข็งกร้าวของวิรัลย์บ่งบอกชัดเจนว่าหาใช่เพียงคำขู่ เขาทำจริงดั่งถ้อยคำที่เปล่งออกมาแน่ ดังนั้นไอศูรย์จึงไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
“น้องยักษ์ใจเย็นก่อนเถิด พี่เพียงมาเยี่ยมเยือนน้องจริงๆ หาได้คิดเป็นอื่นใด”
แต่การที่เปลื้องผ้ามาร่วมอาบน้ำด้วยนั้น...มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ
ประโยคหลังเป็นเพียงความคิดในใจ ไม่กล้าแม้จะเอื้อนเอ่ย เพราะเกรงจะทำให้วิรัลย์โกรธขึ้งมากกว่าเดิมอีก ดูคมเขี้ยวที่งอกออกจากปากคู่นั้นสิ ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไปเลยแม้แต่น้อย
วิรัลย์ค้างในท่านั้นอยู่ชั่วครู่ด้วยไม่ไว้ใจ แต่เมื่อเห็นไอศูรย์ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว มือก็ลดมีดสั้นลง ก่อนจะเปล่งวาจาออกมา
“ออกไปจากที่นี่ซะ หากเจ้าไม่อยากได้เพียงร่างไร้วิญญาณของข้า”
เอาจริงเป็นแน่แท้... ไอศูรย์ยอมศิโรราบโดยง่าย มือทั้งสองยกขึ้นสูง ก่อนจะเดินอ้อมไปคว้าเอาอาภรณ์มาสวมใส่ วิรัลย์ไม่ปล่อยมีดสั้นออกจากมือ คล้ายกับว่าจะยึดเอาไปเป็นของตนโดยไม่ร้องขอผู้เป็นเจ้าของ แต่จะเอาก็เอาไปเถิด ไม่ใช้ผิดที่ผิดทาง ไอศูรย์ก็หาได้ขัด ขอเพียงอย่าปลิดชีพตนก็พอ
“ถ้าเช่นนั้นวันหน้า พี่จะมาใหม่ น้องยักษ์พักผ่อนให้เกษมสำราญเถิด พี่ไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
ทั้งที่ไม่อยากไป แต่เพลานี้ไม่เหมาะสมให้อยู่ต่อ ไอศูรย์จึงรีบเร่งออกจากตำหนักไปโดยพลัน เป็นครั้งแรกที่เขาปราชัยให้กับยักษาตนอื่น
หากยักษ์ตนนั้นไม่ใช่วิรัลย์ที่เขาต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกพบ เขาคงจะไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยง่ายเช่นนี้...
ร่างใหญ่อันตรธานหายไป วิรัลย์จึงทิ้งมีดลงกับพื้น มือยกขึ้นลูบใบหน้าอย่างกลัดกลุ้ม
รอดชีวิตจากสงครามและการสำเร็จโทษเพื่อมาตกอยู่ในอุ้งมือของยักษ์สติไม่สมประดีตนนั้น... ช่างน่าอดสูอะไรถึงเพียงนี้
ผู้ที่น่าอดสูหาได้มีแค่วิรัลย์เพียงผู้เดียว ไอศูรย์แลน่าอดสูมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า เพราะทันทีที่กลับมาถึงตำหนักตน เขาก็เปลื้องอาภรณ์ออก ยืนจังก้ามองเงาสะท้อนของตนจากคันฉ่องบานใหญ่
ร่างกายเขามีสิ่งใดไม่น่าพิสมัยกันหรือ เหตุใดวิรัลย์ถึงได้ผลักไส ทั้งยังแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเห็นของสกปรกอย่างนั้น?
ไอสูรย์พิจารณาร่างกายตนอย่างพินิจ เขาเป็นยักษ์รูปงามสมบุรุษ กล้ามเนื้อแลกายาก็สมส่วนเย้ายวนใจเหล่ายักษียิ่งนัก ผิวสีทองสนิมก็ใช่ว่าจะไม่ผุดผ่อง ถึงเนื้อตัวจะมีร่องรอยแผลเป็น แต่ก็เรียบรื่นน่าสัมผัสอยู่ไม่น้อย รูปหน้ารึก็หล่อเหลา เขาไม่ได้คิดเข้าข้างตนเองเป็นแน่ ไม่ว่าผู้ใดก็พูดไว้เช่นนั้น
แล้วเหตุใดกันถึงได้ถูกหมางเมิน?
หรือจะเป็นเพราะเป็นอริราชย?
ไม่หรอก... ขนาดเขาแลเห็นแคว้นเวรุฬาเป็นศัตรู แต่เมื่อแรกพบสบพักตร์ของวิรัลย์ เขายังลืมสิ้นเลยว่าเคยบาดหมางกับเวรุฬาเพียงใด สิ่งนั้นไม่น่าเกี่ยวข้อง
ยืนพินิจอยู่นานโดยไม่สนใจเสียงรอบข้าง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงของใครบางคนร้องเรียก
“เอ่อ...องค์ไอศูรย์พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นหันไปมองก็เห็นว่าเป็นทหารเอกคู่ใจซึ่งมีนามว่า การิต คุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้า
“ทรงทำสิ่งใดอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นการิตที่ถามออกมาอีก เขาเห็นผู้เป็นนายหมุนซ้ายทีขวาทีอยู่หน้าคันฉ่องนานสองนานแล้ว คราแรกก็ไม่ใคร่จะขัดจังหวะด้วยคิดว่าไอศูรย์คงจะใช้เวลาไม่นาน แต่เมื่อเห็นว่าไอศูรย์พิจารณาเรือนร่างตนแล้วแสดงสีหน้าขบคิดไปมาไม่หยุดหย่อน เขาก็จำต้องขัดด้วยมีเรื่องสำคัญของกองทัพจะรายงาน
แต่ดูเหมือนถึงจะเอ่ยขัดจังหวะไปก็หาได้ทำให้รายงานสิ่งสำคัญได้เร็วขึ้น เพราะทันทีที่สิ้นเสียงเขา ไอศูรย์ก็ถามสวนออกมา
“เจ้าคิดว่าข้ารูปโฉมงดงามหรือไม่?”
“หา?”
การิตถึงกับหลุดอุทาน ร้อยวันพันปี ไอศูรย์หาได้เคยถามไถ่เขาเรื่องนี้มาก่อน อย่าว่าแต่ถามไถ่เลย จอมทัพอสุราหาได้เคยสนใจรูปลักษณ์ของตนเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีใครต่อใครชมเชยกันว่าเขามีรูปโฉมหล่อเหลาคมคาย แต่ไอศูรย์กลับคิดเห็นว่าช่างเป็นเรื่องไร้สาระ ทว่าคราวนี้กลับเป็นฝ่ายถามออกมาด้วยตนเอง
หรือจะทำศึกเสียจนฟั่นเฟือนไปแล้ว?
“ข้าถามเจ้าว่าข้ารูปโฉมงดงามหรือไม่?”
เมื่อไม่ได้คำตอบก็ถามออกไปอีก การิตได้สติ รีบพยักหน้ารับ
“พะ...พ่ะย่ะค่ะ องค์ไอศูรย์มีรูปกายงามล้ำเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งนั้นคือความสัตย์จริง ไอศูรย์ได้ยินก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมราวกับว่าไม่พึงใจในคำตอบ แต่ก็หาได้พูดสิ่งใด จนการิตต้องถามออกมาอีก
“มีสิ่งใดรบกวนพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะองค์ไอศูรย์?”
ไอศูรย์สูดลมหายใจเข้าปอด เปล่งวาจาหนักแน่น “ข้ามีความรัก”
“หา?”
ตะลึงงันออกมาอีกจนได้ การิตไม่เคยได้ยินหรือพบเห็นมาก่อนว่าไอศูรย์จะใคร่สนใจยักษีตนใดด้วย แม้กษัตริย์ปรมะจะทูลบำเหน็จรางวัลให้เป็นยักษีงดงาม แต่เขาก็ปฏิเสธตลอด ทว่าจู่ๆ ก็มาบอกว่ามีความรัก...
สติฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ
กระนั้นการิตก็หาได้พูดสิ่งใดออกไป นอกจากรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเห็นว่าอาการของผู้เป็นนายเข้าขั้นหนักหนา
“เช่นนั้นที่พระองค์ทรงกลัดกลุ้มอยู่ก็เพราะเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ไอศูรย์ถอนหายใจออกมาอีกครา ทิ้งตัวลงนั่งยังตั่งใกล้ๆ “ข้าได้ยินใครต่อใครเอ่ยชมว่าข้ามีรูปโฉมงดงามคมคาย ไม่ว่ายักษีหรือยักษาตนใดพบพานก็ลุ่มหลงได้ไม่ยาก แล้วเหตุใดกัน น้องยักษ์ผู้นั้นถึงได้แลรังเกียจเดียดฉันท์ข้า?”
การิตรีบคิดใคร่ครวญว่าผู้เป็นนายเอ่ยถึงผู้ใด แต่ยังไม่ทันจะคิดออกก็ถูกถามเสียก่อน
“เจ้าคิดว่าข้าทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่การิต”
“แล้วพระองค์ทรงทำสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ถามเพราะไม่รู้ ไอศูรย์จึงเล่าออกมาให้ฟังซื่อๆ
“ก็ไม่มีสิ่งใด ข้าเพียงไปเยี่ยมเยือนน้องยักษ์ที่ตำหนัก แล้วบังเอิญแลเห็นว่าน้องยักษ์ลงสรงอยู่ ข้าจึงเปลื้องอาภรณ์หมายจะชำระล้างร่างกายด้วย แต่น้องยักษ์กลับสำแดงทีท่าหวาดกลัว อีกทั้งยังแลรังเกียจข้าเหลือเกิน ผลักไสข้าออกมาอีก”
อ้อ เพราะสิ่งนี้...
การิตจับต้นชนปลายได้ฉับพลัน ขณะเดียวกันก็อยากยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อนนัก