จะถอยหลังกลับในเพลานี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว

1210 Words
และครั้งนี้...ก็เป็นอีกครั้งที่กษัตริย์แห่งปรมะมีพระบัญชาให้กองทหารยกทัพมารุกรานเวรุฬา ทว่าเพราะเสียไพร่พลในการออกศึกเมื่อเดือนก่อน จึงทำให้ทัพที่ยกมาในครั้งนี้มีกองกำลังลดถอยลงไปมาก ครั้นได้ยินว่ากองทัพแห่งปรมะนครอ่อนกำลังลง อีกทั้งไพร่พลก็มีเพียงกระผีก วิรัลย์...ราชกุมารยักษาของกษัตริย์แคว้นเวรุฬาจึงหมายใจจะสร้างคุณงามความดีให้พระราชบิดาได้ประจักษ์ เพราะเป็นราชกุมารอันดับรั้งท้ายอันเกิดจากนางสนมยักษีตนหนึ่ง จึงทำให้พระราชบิดาไม่แลเหลียว พระองค์จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีพระโอรสองค์นี้อยู่ด้วย ซึ่งนั่นก็ไม่น่าแปลก วิรัลย์เป็นถึงราชกุมารอันดับที่ร้อยกว่า จะหลงพระกรรณ หลงพระเนตรไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หาได้มีผู้ใดให้ความสนใจ แต่เมื่อวิรัลย์กราบทูลพระราชบิดาตามความประสงค์ของตน เขาจึงถูกจดจำได้ในฐานะผู้ขันอาสาออกศึก กษัตริย์แห่งเวรุฬาทรงเห็นดีด้วยพระองค์ก็มิใคร่ให้พระราชโอรสซึ่งมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์เอาชีวิตไปเสี่ยงเท่าใดนัก จึงไม่ทัดทานอันใด มอบหมายให้วิรัลย์ทำตามใจประสงค์ เพราะหากวิรัลย์ได้รับชัยชนะกลับมา ผู้เป็นพระราชบิดาก็จะได้รับคำสรรเสริญว่ามีพระราชโอรสเกรียงไกร แต่หากปราชัย...ก็แค่เสียราชกุมารที่จำไม่ได้แม้แต่ชื่อไปคนหนึ่งก็เท่านั้น ทว่าการพระราชทานอนุญาต นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับวิรัลย์... เขาเจียมตัวด้วยตระหนักดีว่าตนเป็นพระราชโอรสที่ถือกำหนดจากนางสนมท้ายแถว เพียงได้ถือกำเนิดโดยสืบเชื้อสายหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ก็นับว่ามีบุญวาสนาสูงส่งแล้ว แต่...แม้นมีศักดิ์เป็นราชกุมาร หากมิได้เป็นยุพราชแล้ว จะมีความหมายอันใดกัน? ถึงจะเจียมตัว แต่ลึกๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน การตัดสินใจอาสานำทัพ นอกจากจะสร้างความดีความชอบให้กับตน เขายังหมายจะเอาชนะใจเหล่าเสนาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้เป็นพวกพ้องของตนอีกด้วย เป็นราชโอรสรั้งท้ายเช่นนั้นรึ? แล้วไม่มีสิทธิ์ชิงบัลลังก์ยุพราชผู้เป็นพระเชษฐาเลยหรือไร? วิรัลย์วางแผนในใจเงียบๆ สวมเกราะ มือถืออาวุธ เข้าดำรงตำแหน่งจอมทัพในศึกครานี้... ศึกแห่งแว่นแคว้นยักษาจวนเจียนจะอุบัติ หลังจากที่วิรัลย์นำทัพมาเฝ้าดูท่าทีของต่างฝ่ายยังยอดเขาหน้าประตูเมืองมานานนับสัปดาห์ เขาก็แลเห็นว่ากองทัพของเขาสามารถเอาชัยมาให้แก่เวรุฬาได้ไม่ยากนัก และการที่มานั่งเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของทัพอริราชย์ก็หาได้มีประโยชน์อันใด เพลานี้สมควรแก่เวลาที่จะยาตราทัพบดบี้กองทัพจากแคว้นปรมะให้ราบเรียบเป็นหน้ากลองต่างหาก หากแต่ความเห็นของเขาที่หลุดออกจากปากไปนั้นหาได้มีผู้ใดเห็นดีด้วย ครั้นยักษ์หนุ่มเอ่ยปากจะยกพลเข้าโจมตี เหล่าเสนาบดีอำมาตย์ซึ่งเป็นผู้วางแผนการรบก็พากันคัดค้านเป็นเสียงเดียว “ทูลพระราชกุมาร กระหม่อมมิเห็นว่าเป็นการอันควรที่จะยาตราทัพเข้าตีกองทัพของปรมะนครในเพลานี้ ขอให้องค์วิรัลย์ทรงพระทัยเย็นก่อน” ใครบางคนเป็นตัวแทนกล่าวกับผู้เป็นนายที่นั่งอยู่ในพลับพลา สายตาเย็นเยียบของยักษ์หนุ่มชำเลืองมอง ก่อนที่น้ำเสียงไร้อารมณ์ใดๆ จะเอ่ยตามมา “หากไม่ยกทัพเข้าตีเพลานี้ แล้วจะให้ข้าเข้าตีเพลาใดกันเล่า” แม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงนั้นเจือปนความไม่พอใจ เขาใคร่จะสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์เต็มแก่แล้ว ไยพวกยักษ์เฒ่าเหล่านี้ถึงต้องมาขัดกันด้วย “กระหม่อมเกรงว่านั่นจะเป็นกลอุบายของปรมะ การที่พระองค์ยกทัพเข้าตีอาจจะทำให้ตกหลุมพรางเป็นได้ ขอให้พระองค์พระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ” วิรัลย์กลอกตา เขาได้ยินเหล่ายักษ์เฒ่าพูดพร่ำประโยคนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว “พวกเจ้าเห็นข้าเป็นเด็กอมมือ ไม่ประสากับการออกทัพจับศึกหรือไร พวกเจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าข้าเองก็เคยออกรบนับครั้งไม่ถ้วน แล้วมีครั้งใดบ้างที่ข้าปราชัยกลับมา?” ไร้เสียงโต้ตอบ สิ่งที่วิรัลย์พูดนั้นเป็นจริง ทุกครั้งที่วิรัลย์ออกศึก หาได้เคยมีครั้งไหนพ่ายแพ้กลับมาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะศึกเล็กหรือใหญ่ ล้วนนำชัยมาทั้งสิ้น เพียงแต่...ผู้นำทัพหาใช่เขา ทว่าเป็นจอมทัพผู้เกรียงไกรคนอื่นๆ ต่างหาก เขาไปกับกองทัพในฐานะหนึ่งในผู้วางอุบายการรบเท่านั้น หาได้มีหน้าที่รับผิดชอบยิ่งใหญ่เท่ากับศึกครั้งนี้ เมื่อไม่มีผู้ใดแย้ง วิรัลย์จึงระบายลมหายใจออกมา ก่อนจะว่าเสียงเรียบอีกครั้ง “ข้าจะนำทัพไปสังหารคนของปรมะนครเสียให้สิ้น จงมีคำสั่งออกไปว่าให้เหล่าทหารนายกองเตรียมพร้อมโจมตี” เหล่าอำมาตรย์ต่างมองหน้ากัน ความวิตกกังวลฉาบพรายราวกับเห็นเค้าลางร้ายผุดพรายเป็นเงาดำทะมึนอยู่เบื้องหน้า เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ วิรัลย์ก็ขึ้นขี่หลังดุรงค์ไกรสร[1] ห้อตะบึงนำทัพออกไปยังที่มั่นของกองทัพปรมะ ครั้นเหล่าทหารอริราชย์เห็นกองทัพอีกฝ่ายดาหน้าเข้ามา พลันก็พากันวิ่งวุ่นแตกพ่ายไปอีกทิศ ทหารหาญในวันก่อนกลายเป็นหนูตัวเล็กที่วิ่งหนีราชสีห์หัวซุกหัวซุน ทันทีที่เห็นทหารอีกฝ่ายมุ่งหน้าลงไปทางตีนเขาพนาวัน วิรัลย์ก็ย่ามใจ คิดว่าตนจะเอาชัยมาให้พระราชบิดาเชยชมได้ก็ออกคำสั่งให้ดาหน้าเข้าสังหารโดยไม่คิดการใดๆ และนั่น...เป็นความผิดพลาด แท้จริงแล้วทหารปรมะหาได้แตกพ่ายจนหลบหนีออกจากพงไพร ทว่าเป็นกลอุบายที่จอมทัพแห่งปรมะนครวางไว้โดยการส่งกองทัพส่วนหนึ่งขึ้นไปยังยอดเขาเพื่อหลอกล่อให้ทัพของอีกฝ่ายลงมา เมื่อแผนการสัมฤทธิ์ผล วิรัลย์จึงได้เห็นว่ายังตีนเขามีกองทัพเรือนหมื่นแสนของปรมะนครรอห้ำหั่นอยู่เบื้องล่าง จะถอยหลังกลับในเพลานี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว... เมื่อเสียรู้ก็มิอาจยอมเสียเกียรติ วิรัลย์ยอมสิ้นชีวีในสนามรบมากกว่าที่จะหนีทัพกลับไปยังแคว้น มือแกว่งไกวดาบอันเขื่องสังหารทหารศัตรูคนแล้วคนเล่า เขี้ยวโค้งยาวโผล่ออกจากปากด้วยอารมณ์โกรธาที่ถูกล่อหลอก บัดนี้เขากราดเกรี้ยวราวกับถูกวิญญาณร้ายสิงสู่ [1] ดุรงค์ไกรสร เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ เป็นสัตว์ผสมระหว่างสิงห์กับม้า มีกายเป็นม้าสีแดง หางสีดำ กีบสีดำเหมือนม้า ส่วนหัวเป็นสิงห์ ดุรงค์ไกรสรเป็นสัตว์กินเนื้อ ลักษณะเด่นคือสามารถวิ่งได้เร็วดุจม้าและมีความแข็งแรงดั่งสิงห์
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD