ดั่งฝันหมุนกายอยู่ในชุดฮองเฮาสีแดงงดงามสะท้านทุกสายตา แต่กลับรู้สึกหนักศีรษะอย่างประหลาดเพราะตาลาเซ่อสีดำประดับด้วยดอกโบตั๋นสีแดงขนาดใหญ่ปักเลื่อมลาย ข้างๆ มีพู่ไหมสีแดงคล้ายคลึงเครื่องประดับศรีษะของนางในสมัยปลายราชวงศ์ชิงทำให้เธอรู้สึกว่าทรงตัวยาก แต่เมื่อก้มมองต่ำลงไปที่เท้าคงไม่ใช่ตาลาเซ่ออันเบ้อเร่อที่สวมบนศีรษะเพียงเท่านั้น หากแต่เป็นรองเท้าทรงกระถางซึ่งฐานของรองเท้าปกติควรอยู่ตรงด้านปลายสุดของรองเท้าแต่กลับมาอยู่ตรงกึ่งกลางรองเท้าทำให้ดั่งฝันรู้สึกว่าร่างกายกำลังจะทรงตัวไม่อยู่ราวกับเรือที่โคลงเคลงฝ่าเกลียวคลื่นกลางมหาสมุทร
ดั่งฝันตะลึงตาค้างเมื่อพบว่าร่างที่กำลังเซถลาคว้าไว้ได้แต่ลมกลับมีใครบางคนรวบรัดร่างเธอเอาไว้ได้ทันท่วงทีดวงตาดำขลับมองเขาตาไม่กะพริบด้วยความตื่นตะลึง
“สามีแห่งชาติ!!”
“สามหาว!!”
“ไม่ได้หาว แค่มองเฉยๆ”
“เจ้าเถียงเราหรือหนิงซูเยว่อย่างนี้ต้องส่งไปตำหนักเย็น”
“ทำไมต้องตำหนักเย็น บ้าหนังจีนหรือเปล่าอีกอย่างฉันไม่ชอบตำหนักเย็นมีตำหนักอุ่นไหม”
“ฮองเฮานอกคอกเถียงคำไม่ตกฟากข้าควรจะทำยังไงกับเจ้า”
“ฮองเฮา ใครเป็นฮองเฮา” เธอกวาดตามองทางซ้ายก็ไม่เห็นมีใคร หันไปทางขวาก็ไม่เห็นมีคน มองตรงหน้าก็เห็นแต่คนรูปหล่อหน้าบูดบึ้ง ดวงตาคู่คมจ้องเธอราวกับจะหาเรื่อง
ดั่งฝันไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังเถียงอยู่กับใคร ทว่าชุดคลุมมังกรเก้าตัวแหวกสี่ทางสีเหลืองสดมีลายเมฆมงคลห้าสีประดับ ส่วนปลายแขนเสื้อเป็นรูปกีบม้าทำให้เธอรู้สึกพิศวง แต่นอกเหนือจากนั้นเมื่อประเมินด้วยสายตาของของคอสตูมมืออาชีพทำให้เห็นว่างานดีมาก การแต่งกายของเขาราวกับชุดของฮ่องเต้ในสมัยราชวงศ์ชิงเพราะมีเอกลักษณ์ที่ลวดลายผ้าซึ่งมีความพิถีพิถัน อีกทั้งเนื้อผ้าที่ใช้ทักถอก็ดูเป็นเอกลักษณ์
ยังไม่ทันได้ปะทะคารมกันต่อดวงตาคู่สวยที่กรีดอายไลน์เนอร์ไว้จนดูเฉี่ยวคมก็มองเห็นควันสีขาวที่ลอยฟุ้งลงมาปรับเปลี่ยนเป็นรูปทรงชายแก่เคราขาวดูมีสง่าราศี การแต่งกายเหมือนพวกเหล่าเทพเซียนในหนังจีนไม่มีผิดเพี้ยน
“นี่ใครกันอีก!” ดวงตาคู่สวยมองอย่างฉงน
ชายชราหนวดเคราขาวเป็นระเบียบกล่าวเสียงทุ้ม “เราเป็นเทพพ่อสื่อสวรรค์และจะมาเป็นพยานในการพาพวกเจ้าทั้งสองกลับมาพบกัน เนื้อคู่อย่างไรเสียก็ต้องกลับมาหาคู่ของตน”
“เนื้อคู่! ไม่มีทางนางหรือที่เป็นเนื้อคู่ของข้า” เป็นเขาผู้ชายหน้าหล่อที่ชิงพูดขึ้นก่อนทำให้ดั่งฝันชักฉุน
“ดูที่นิ้วมือพวกเจ้าด้ายแดงที่ผูกเจ้าสองคนไว้ด้วยกันเป็นพยาน”
ชายหนุ่มรูปงามก้มหน้ามอง “งั้นข้าจะตัดมันเสียเดี๋ยวนี้ เท่านี้นางกับข้าก็ไม่ใช่เนื้อคู่กันแล้ว” เขาดึงดาบสีเงินยวงออกจากฝัก คมดาบส่องประกายแวววับทำให้ดั่งฝันกรีดร้องลั่น
“อย่านะ ข้าไม่เรียกท่านว่าสามีแห่งชาติแล้วก็ได้ ไม่เห็นต้องฆ่าต้องแกงกัน” ดั่งฝันผงะ กล่าวเสียงเครือแล้วถอยหลังหนี
เสียงทุ้มบอกด้วยความรำคาญ “ข้าจะตัดด้ายแดงไม่ได้ตัดคอเจ้า”
ใครบางคนเดินฝีเท้าหนักผ่านมาด้านหลังพร้อมกับม้วนกระดาษในมือซึ่งเป็น Break down สำหรับการถ่ายทำซึ่งจะเรียกง่ายๆ ว่าปฏิทินการทำงานของกองถ่ายที่ระบุซีน เลขซีนนักแสดงเอาไว้รวมถึงชุดสำหรับนักแสดง
“ยัยฝันเฟี่องเรื่องชุดนักแสดงไปถึงไหนแล้ว”
ดั่งฝันปรือตาขึ้นมาตามเสียงอันดังสนั่นแล้วพบว่าเธอหลับคากองเสื้อผ้าซึ่งยืมมาจากห้องเสื้อแบรนด์หรูเพื่อให้นักแสดงได้สวมใส่เข้าฉาก ไม่น่าเชื่อว่าความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำทำให้เธอหลับจนฝันเป็นตุเป็นตะ
“ว่าไงเจ๊เพ็ญ” เจ้าของมือเรียวปิดปากหาว
“ไงยะบ้านไม่มีให้นอนเหรอทำอะไรอยู่ไม่หลับไม่นอน เอ้านี่เบรกดาวน์มาแล้วนะคอสตูมพร้อมไหมยะ”
“พร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้วเจ๊”
สาวประเภทสองคนสวยประจำกองถ่ายเบะปากแต่เมื่อเห็นใบหน้าสวยจัดของคอสตูมสาวที่ดูมีเลศนัย เลยเลียบๆ เคียงๆ ถามตามประสาคนช่างสงสัย “ตะกี้หล่อนฝันอะไรถึงร้องลั่นว่าอย่านะ อย่านะ หรือฝันว่าถูกผู้ชาปล้ำเล่าให้ฟังหน่อยสิเจ๊อยากรู้”
“ไม่บอก”
“แหม...นังชะนีหน้าขาว ทำเป็นมีความลับกับเจ๊ เอาเถอะเรื่องของชีเจ๊ไม่ถามก็ได้ แต่เรื่องงานว่าไงเรียบร้อยใช่ไหม”
“ก็บอกแล้วไงเจ๊พร้อมตั้งแต่เมื่อวาน ย้ำคิดย้ำทำเป็นคนแก่ไปได้”
เจ๊เพ็ญช่างจ้อเบ้ปากแต่แววตาระคนเอ็นดู “มั่นใจจริงนะงานนี้ถ้าไม่ปังแกก็พัง”
ดั่งฝันเชิดหน้าสูง ยิ้มอย่างมั่นใจ “คนอย่างดั่งฝันทำการบ้านมาดีไม่มีพังหรอกเจ๊”
งานคอสตูมกองถ่ายเป็นงานฟรีแลนซ์จะได้เงินจากกองถ่ายเป็นก้อนแล้วไปบริหารเอง งานหลักก็คือต้องเข้าประชุมเพื่อรับบรีฟงาน จากนั้นก็กลับมาจัดการเสื้อผ้าทั้งหมดของนักแสดงโดยดูจากบทและ Break down จัดสรรชุดให้เข้ากับฉากและบุคลิกของตัวละคร ทั้งหมดต้องผ่านการทุ่มเทเตรียมตัวมาอย่างดีเพราะงานด้านนี้มีผลตอบรับอยู่สองอย่างไม่ปังก็พังถ้าปังเธอจะมีสิทธิ์ไปต่อและมีชื่อเสียงจนหลายกองละครเรียกหา งานจะหลั่งไหลเข้ามาเองโดยไม่ต้องดิ้นรนวิ่งไปหา ดั่งฝันเป็นหนึ่งในคอสตูมที่มีชื่อเสียงแห่งยุค ยุคห้าจีที่การแข่งขันสูงมาก เธอจึงมั่นใจว่างานนี้มีแต่ปังไม่มีพังแน่นอน เพราะทุกงานที่เธอรับทำล้วนได้รับกระแสคำชมจากคนดูไปในทิศทางที่ดี
อีกฟากหนึ่งของกาลเวลา
ใครบางคนที่ชอบปลอมตัวออกมานอกวังเพื่อหาเรื่องสนุกทำกำลังนั่งชมการแสดงอยู่ในอำเภอแห่งหนึ่งใกล้เมืองหลวง เขาคือบุรุษรูปงามนามว่าหยางจื่ออยู่ในชุดการแต่งกายแบบชาวบ้านแต่ผิวพรรณผ่องใสทำให้ดูโดดเด่นสะดุดตาผู้คน เพียงแต่เขาทำเมินเฉยต่อสายตาที่แอบลอบมอง ดวงตาคู่คมราวกับมังกรจ้องอยู่ที่การแสดง พัดคู่เป็นลายมังกรกับหงส์ส่วนอีกข้างเป็นอักษรจีนคำว่าสุริยันจันทราถูกพัดโบกไปมาเพื่อรับลมเย็นกำลังมองตรงไปที่แท่นการแสดง นักแสดงกำลังแสดงฉากที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการแต่เลี้ยวขบวนเปลี่ยนทิศทางไปหาความสำราญในวังหลัง
“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมว่าเรากลับเข้าวังกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ” เป็นเสียงของรองแม่ทัพคนสนิทกล่าว เขาเองเกรงว่าการออกมาแบบนี้จะทำให้เกิดอันตรายต่อองค์จักรพรรดิเพราะโอรสสวรรค์เลือกทหารองค์รักษ์ติดตามมาด้วยเพียงสามคนเท่านั้น
“เดี๋ยวสิข้ากำลังดูอุปปรากรจีนแสดงกำลังสนุกพวกเขาแสดงเป็นข้าเจ้าสำราญไม่เบา มีทั้งดื่มสุราเคล้านารี”
“คนพวกนี้สมควรถูกประหาร”
“ใครว่ากัน พวกเขาคือเงาสะท้อนอย่างดีที่ประชาชนมีต่อข้า”