“ทะ ทูลฝ่าบาท ตอนนี้เสวียหวงกุ้ยและพระราชชายา รวมถึงเหล่าพระสนมมิสามารถถวายงานฝ่าบาทได้พ่ะย่ะค่ะ พวกนางต่างส่งขันทีมาแจ้งข่าวอาการป่วยเนื่องจากปวดเข่า สะโพกหลุด เจ็บหลังกันหมดพ่ะย่ะค่ะ”
หยางจื่อไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน อันที่จริงวันนี้เขาตั้งใจจะไปหาเสวียอวี้เจินให้นางปรนนิบัติเขาเสียหน่อยแต่นี่เสวียอวี้เจินป่วย แถมคนอื่นๆ ก็พากันมาป่วยพร้อมกันหมด แล้วเขาจะทำอย่างไร เขาเป็นถึงจักรพรรดิครอบครองหญิงสาวนับร้อยแต่ถึงเวลาต้องการจริงๆ กลับไม่สามารถเรียกใช้ใครได้สักคน
“ฝีมือใคร ฮองเฮาใช่หรือไม่” เสียงเค้นต่ำเย็นยะเยือกของหยางจื่อถาม จางกงกงที่ยืนมองข้างๆ เห็นแล้วรู้สึกกลัวแทนฮองเฮาเพราะอาการดวงตาไร้แววปรานีแบบนี้คือพระองค์กำลังโกรธจัด
“ฝ่าบาทจะเลือกป้ายหยกของฮองเฮาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีฝ่ายสำนักพระราชวังมิวายละล่ำละลักถามต่อ มองป้ายในมือของโอรสสวรรค์ที่ถูกกำแน่นไม่นานก็หักคามือดังเปรี๊ยะ
หยางจื่อเงียบและเงียบ ก่อนจะพูดออกมา
“หนิงซูเยว่ สวยเย็นดั่งดวงจันทร์ ดีล่ะ คืนนี้เราจะสอยดวงจันทร์ลงมาบดขยี้ ดูสิจะกล้าเล่นเล่ห์กับเราอีกหรือไม่ สั่งการลงไปจุดโคมตำหนักเฟยเฟิงคืนนี้เราจะไปค้างกับฮองเฮา”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนเดิมได้โอกาสถอยแล้วก็รีบผ่อนลมหายใจออกมาที่ยังรักษาศีรษะไว้ได้ แล้วรีบหลบฉากออกไปแจ้งข่าวแก่ตำหนักเฟยเฟิงทันที
ตำหนักเฟยเฟิง
หนิงซูเยว่เพิ่งเปิดเปลือกตาขึ้นมาจากการนอนกลางวัน เหมยเอี้ยนนางกำนัลเห็นเจ้านายตื่นแล้วก็รีบนำผ้าชุบน้ำมาให้เช็ดหน้าเช็ดมือ ขันทีประจำตำหนักก็ก้าวเข้ามารายงานด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม
“ทูลฮองเฮา วันนี้กงกงจากสำนักพระราชวังให้มาทูลว่าฝ่าบาทให้จุดโคมที่ตำหนักเฟยเฟิงพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรายงานน้ำเสียงปลาบปลื้มแต่หนิงซูเยว่ตกใจจนแทบจะลุกขึ้นยืน
‘ฮ่องเต้ยังไม่เข็ดอีกหรือไง’
อาการเหล่านี้ของนาง เหล่าขันทีกับนางกำนัลต่างมองว่านางดีใจจนลืมตัว แต่ไม่ใช่เลย หนิงซูเยว่พ่นลมหายใจออกมาอีกระลอก สีหน้าบึ้งตึงที่ฉายผ่านครู่สั้นๆ กลับมานิ่งสงบเหมือนเดิม แล้วโบกมือไล่ขันทีออกไป จนในห้องเหลือแต่คนสนิทของนางคือเหมยเอี้ยนกับซูเหวินที่เพิ่งยกน้ำชาเข้ามาให้
“ฮองเฮาเพคะ เป็นโอกาสของพระองค์แล้วที่จะแย่งชิงความโปรดปรานกลับมาจากเสวียหวงกุ้ยเฟย พระองค์ต้องทำให้สำเร็จนะเพคะ หม่อมฉันกับซูเหวินจะช่วยกันเตรียมน้ำไว้ให้สรงแล้วจุดกำยานให้ทั่วตำหนักเลยเพคะ”
หนิงซูเยว่เบนสายตามามองนางกำนัลทั้งสอง พวกนางดูมีความสุขผิดกับนางที่กำลังทุกข์ถนัดต้องคิดหาวิธีรับมือ ทั้งเหมยเอี้ยนและซูเหวินจงรักภักดีกับหนิงซูเยว่คนเก่ามาก เห็นได้ชัดว่าคงสงสารที่เจ้านายถูกทิ้งร้างมานาน พอวันนี้ฮ่องเต้บอกว่าจะมาค้างที่ตำหนัก พวกนางจึงดีใจมาก แต่หนิงซูเยว่รู้ว่าที่ฮ่องเต้มาเป็นเพราะไม่มีตัวเลือกและอาจมาคิดบัญชีแค้นกับนาง
เมื่อคืนหลังจากหยางจื่อกลับไปตอนเช้าเขายังส่งหมอหลวงมาตรวจชีพจรนางทันที เขาไม่ได้รักใคร่นางแต่อยากเล่นงานนางเหมือนกัน โชคดีที่นางหัวไวรีบบอกว่าระดูหมดแล้ว ดังนั้นในวันนี้จึงมีป้ายหยกของนางไปอยู่ในถาดเลือกป้ายของจักรพรรดิ จะว่าไปก็เหมือนจักรพรรดิจะเหลือทางรอดไว้ให้นางสายหนึ่งเพราะถ้าส่งหมอหลวงมาในคืนนั้นเลยหมอหลวงต้องตรวจพบว่านางไม่ได้มีระดูอย่างที่บอกฮ่องเต้แล้วโทษหนักที่หลอกลวงเบื้องสูงก็ต้องหล่นใส่ศีรษะนางอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
หนิงซูเยว่ยังไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของหยางจื่อนัก แต่ถ้าให้มองสถานการณ์ก็เป็นไปได้หลายส่วนว่าจักรพรรดิจอมสำราญเกรงใจบิดาของนางที่ยังสู้รบอยู่ชายแดน หากจะลงโทษนางตอนนี้จะมีผลต่อขวัญกำลังใจของคนที่กำลังใช้เลือดชโลมแผ่นดินและกลัวว่าถ้าทำร้ายนาง บิดาของนางจะกลับมาช่วงชิงบัลลังก์ไปหรือเปล่า
“พวกเจ้าไปเถอะแล้วก็จุดกำยานกลิ่นมะลิไว้ให้ข้าด้วย”
ทั้งเหมยเอี้ยนและซูเหวินต่างมองหน้ากัน ดีใจที่เจ้านายคิดลงแย่งชิงความโปรดปรานกับสนมชายาคนอื่นแล้ว พวกนางจึงรีบไปเตรียมน้ำคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็ช่วยหนิงซูเยว่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมแช่น้ำ
เสร็จทุกขั้นตอนภายในหนึ่งชั่วยาม หนิงซูเยว่สวมชุดนอนบางเบาสีแดงที่ออกแบบเอง เรือนร่างราวนางพญาแต่ยังอิดออดไม่อยากออกไปยืนรอรับที่หน้าตำหนัก คล้ายคิดวางแผนอะไรกับนางกำนัลจนไม่ทันดูเวลา กระทั่งเกี้ยวที่ฮ่องเต้นั่งมาหยุดที่หน้าตำหนักแล้ว พวกนางก็ไม่รู้
หยางจื่อเห็นมาแต่ไกลแล้วว่าไม่มีเงาร่างของหนิงซูเยว่คอยต้อนรับ เขาอยากรู้ว่านางทำอะไรอยู่ทำไมถึงไม่ออกมารอรับเขา จางกงกงจะประกาศการมาถึงแต่เขาโบกมือห้ามไว้
“ไม่ต้อง” หยางจื่อโบกมือห้าม เดินด้วยฝีเท้าเบาไปหยุดที่หน้าห้องบรรทมภายในตำหนักเฟยเฟิงที่เขาเพิ่งเคยมาไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาเบาๆ
“ข้าดูงดงามหรือยัง วันนี้ข้าต้องทำให้ฝ่าบาทร่วมแท่นบรรทมแล้วก็หลงใหลจนมอบโอรสกับข้าให้ได้ ข้าต้องการมีโอรสที่ภายภาคหน้าจะเป็นรัชทายาทให้กับอาณาจักรต้าชิง ถึงตอนนั้นตำแหน่งฮองเฮาของข้าก็จะมั่นคงมากขึ้นไปอีก ไม่มีใครทำอะไรข้าได้”
หยางจื่อหน้าแข็งทื่อ ผู้หญิงขี้อิจฉาก็ว่าน่าชิงชังแล้ว นี่มาเจอผู้หญิงเจ้าแผนการแถมยังทะเยอทะยานถึงขั้นวางแผนทำให้เขาลุ่มหลงจนมอบโอรสให้นางอีกเขาถึงกับระงับอารมณ์หงุดหงิดไม่อยู่ นางคิดได้ยังไงกันว่าเขาจะมอบลูกให้นาง หยางจื่อผลักประตูแล้วยืนสีหน้ามืดทะมึนอยู่ตรงนั้น หนิงซูเยว่เห็นเข้าก็ทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย รีบย่อตัวคำนับ
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
“ลุกขึ้น” หยางจื่อหมดอารมณ์จะมีมารยาทกับนางอีก จึงไม่พูดว่าไม่ต้องมากพิธี แล้วหันไปไล่นางกำนัลทั้งสองคนออกไป
หนิงซูเยว่มองตามการกระทำของหยางจื่อก็ลอบคิดว่าปลากินเบ็ดแล้ว นางตั้งใจพูดให้หยางจื่อได้ยิน นางไม่มีเล่ห์กลอะไรอีกนอกจากวางเดิมพันกับความคิดของฮ่องเต้
หากเดิมพันครั้งนี้แพ้ นางต้องเสียพรมจรรย์ให้เขาไปก็คงต้องทำใจแต่ถ้าไม่... ฮ่องเต้รังเกียจนางจนไม่อยากร่วมเตียงด้วยก็ถือว่านางยังดวงดีอยู่ เช้าวันรุ่งขึ้นนางต้องจุดธูปไหว้เจ้า ที่ยังเหลือทางรอดให้นางเดินต่อไป อันที่จริงนางสั่งให้นางกำนัลคนหนึ่งแอบไปดูต้นทางเอาไว้เมื่อเห็นเกี้ยวใกล้ถึงตำหนักจึงเริ่มแผนการ
“หม่อมฉันไม่ได้ออกไปรอต้อนรับ ขอฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วนะเพคะ หม่อมฉันมัวแต่สั่งงานนางกำนัลให้เตรียมน้ำแกงไว้ให้ฝ่าบาทจนไม่ทันดูเวลา”
“ไม่เป็นไร เราไม่ถือสาเจ้าหรอก”
หยางจื่อไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาทำให้หนิงซูเยว่ขมวดคิ้ว แถมเขายังประคองสองบ่าของนางให้ขยับเข้าไปใกล้ หนิงซูเยว่ตกใจจนเผลอทำตัวแข็งทื่อแต่เพียงครู่เดียวก็คลี่ยิ้มปล่อยตัวโอนอ่อนผ่อนตาม หยางจื่อจับตัวนางไว้ แล้วอุ้มลงไปนั่งบนตัก จนนางหน้าเหวอ
“ฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาทจะทำอะไรเพคะ ทรงงานหนักมาทั้งวันเสวยน้ำแกงก่อนดีไหมเพคะ”
“เราไม่อยากกินน้ำแกงของเจ้า แล้วเราก็จะไม่สั่งลงโทษเจ้าที่ไม่ออกไปรอรับเราด้วย เจ้าพอใจหรือไม่” เขาเชยคางนางขึ้นมาแล้วประสานสายตากับนาง
‘มาแปลก ฮ่องเต้จะมาไม้ไหน’