“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ ฮองเฮาเป็นหญิงเดียวในดวงใจของฝ่าบาทอยู่แล้วนกกาอย่างพวกหม่อมฉันจะนับเป็นอะไรได้ หม่อมฉันขอยึดฮองเฮาเป็นที่พึ่งพิงเพคะ”
หนิงซูเยว่แค่นเสียงในลำคอครั้งหนึ่ง “ใครๆ ก็รู้ว่าหญิงเดียวในใจของฝ่าบาทคือใคร เจ้าก็ยังพูดข้อนี้ขึ้นมา เจ้าพูดเพื่อต้องการอะไรกันแน่ อย่างเช่นก่อนหน้าที่พวกเจ้าจะเข้ามา พวกเจ้าก็สุมหัวนินทาข้าซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายใน เสวียอวี้เจินเจ้าเป็นถึงหวงกุ้ยเฟยเจ้าก็ร่วมวงด้วย ไยไม่คิดห้ามปรามสนมชายาคนอื่น เจ้าไม่รู้ตัวหรือว่ากำลังทำผิด”
เสวียอวี้เจินเบิกตากว้าง ฮองเฮาไม่ถามนางสักคำว่าทำจริงหรือไม่แต่ยัดเยียดว่านางเป็นตัวการเลยทีเดียว
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบเลย” เสวียอวี้เจินรีบทูลตอบ
หนิงซูเยว่ยิ้ม “พระราชชายาลู่เฟย งั้นเจ้าบอกมาว่าใช่เจ้าหรือไม่ที่เป็นคนเริ่มการซุบซิบนินทาข้า”
ลู่เฟยหยารีบเงยหน้าขึ้นตอบ “หม่อมฉันไม่รู้เรื่องเพคะ”
“ถ้าเสวียหวงกุ้ยเฟยไม่รู้เรื่อง พระราชชายาลู่เฟยก็ไม่รู้เรื่อง แล้วพวกเจ้าล่ะรู้เรื่องกันหรือไม่” หนิงซูเยว่หันไปถามเสียงต่ำกับเหล่าสนมชายาคนอื่นๆ
พวกนางต่างอกสั่นขวัญแขวนจนก้มหน้างุด ประสานเสียงพร้อมกันว่า “หม่อมฉันไม่รู้เรื่องเพคะ”
“ดีล่ะ พวกเจ้าไม่ยอมรับ แต่ข้าได้ยินสิ่งที่พวกเจ้านินทาข้าชัดเจน ข้าจะลงโทษให้พวกเจ้าออกไปนั่งคุกเข่าหน้าตำหนักเป็นเวลาสองชั่วยามเพื่อสำนึกผิด พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าข้าออกไปยืนด้านหน้าตำหนักและได้ยินเรื่องที่พวกเจ้าคุยกันหมดทุกคำด้วยหูข้าเอง”
ตอนนี้สีหน้าของพวกเหล่าสนมชายาต่างซีดเผือดอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก พวกนางสะเพร่าเลินเล่อไม่ทันดูให้ดีว่าฮองเฮาออกมายืนอยู่หน้าตำหนักตั้งแต่เมื่อไรจึงเผลอพูดนินทากันอย่างที่เคยทำ
“พวกเจ้าออกไปนั่งคุกเข่าเพื่อสำนึกผิดกันได้แล้ว ข้าไม่อยากเห็นหน้าอีก เหมยเอี้ยนเจ้าพาขันทีอีกสองคนไปคอยดูพวกนางให้ดี อย่าให้ใครแอบหลบหนีไปได้ ข้าเหนื่อยแล้วจะพักผ่อน”
“เพคะฮองเฮา” เหมยเอี้ยนนางกำนัลคนสนิทขานรับแล้วหันไปพูดกับเหล่าสนมชายา “เชิญหวงกุ้ยเฟย พระราชชายา และพระสนมทั้งหลายไปนั่งคุกเข่าได้แล้วเพคะ”
เสียงงึมงำดังขึ้นแต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งฮองเฮาพวกนางลุกออกไปนั่งคุกเข่ากันด้วยสีหน้าระทมทุกข์ ทั้งง่วงทั้งเมื่อย อาหารเช้าก็ยังไม่ได้กิน แถมยังต้องมานั่งคุกเข่าเมื่อยขา นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว เหล่าสนมชายาต่างก่นด่าหนิงซูเยว่ แปลกใจกับความเฉียบขาดไม่เหมือนเดิมของฮองเฮา
ด้านในตำหนัก หนิงซูเยว่มองเหล่าสาวงามของฮ่องเต้ที่นั่งคุกเข่าตากลมตากแดดด้วยสายตาขบขัน พวกนางบอบบางปานนั้นเจอลงโทษคุกเข่าเห็นทีจะไม่มีใครถวายงานได้อีกหลายวัน สมน้ำหน้าฮ่องเต้หน้ามึนจอมหื่นนัก ครั้งนี้นางยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง ถือว่าคุ้มค่า คุ้มค่ายิ่งนัก
เมื่อคืนนางชวนฮ่องเต้เล่นหมากรุกพอจะเริ่มเล่นโอรสสวรรค์ก็คุมสีหน้าอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป หุนหันลุกขึ้นออกจากตำหนักไปทันที จึงกลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทาในเช้าวันนี้ของเหล่าสนมชายาว่านางถูกฮ่องเต้เททิ้ง แต่พวกนางไม่รู้หรอกว่านางตั้งใจอ่อยฮ่องเต้ไว้จนถึงครึ่งคืนให้หมดอารมณ์ไปไหนต่อไม่ได้แล้วกลับตำหนักใหญ่ไปค้างเติ่งที่ห้องบรรทมตัวเอง ส่วนนางก็นอนหลับสบายใจ
หนิงซูเยว่หัวเราะขำ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ยังจำสีหน้าราวกับกินของแสลงของโอรสสวรรค์ได้ ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักหยกชั้นดีบูดบึ้งคงอยากจะบีบคอนางแต่ต้องข่มใจไว้ หนิงซูเยว่ไม่ใส่ใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อีกแล้ว ตอนนี้นางคิดแค่ว่าต้องอยู่เหนือทุกคนในวังหลัง ใครก็มาลากนางลงต่ำไม่ได้
นางพาร่างเฉิดฉันไปหน้ากระจกแล้วสั่งนางกำนัลคนสนิทอีกคน
“ซูเหวินเจ้าไปนำถุงชาที่ข้าสั่งให้ทำไว้มาให้ที ข้าจะมาส์กดวงตาสักหน่อยและห้ามใครเข้าพบด้วย ข้าต้องการพักผ่อน”
“เพคะฮองเฮาหม่อมฉันจะคอยเฝ้าหน้าตำหนักไม่ให้ใครมารบกวน”
“ดีมาก” สั่งแล้วนางก็ล้มตัวลงนอนพิงกับเตียงกุ้ยเฟยที่เป็นแบบยาวมีที่เท้าแขนอย่างสบายอารมณ์
หนิงซูเยว่สั่งให้คนของนางนำชาที่เหลือแต่กากแล้วมาใส่ถุงเล็กๆ เก็บไว้ เพื่อนำมาใช้มาส์กดวงตาในตอนเช้า ถ้าวันไหนนางอยากได้ความสดชื่นก็จะใช้ชากลิ่นกุหลาบ แต่ถ้าต้องการให้เลือดไหลเวียนดีก็จะใช้กากชาที่ยังอุ่นอยู่มาประคบช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตจึงทำให้ขอบตาของนางไม่หมองคล้ำเหมือนสนมชายาคนอื่น นี่เป็นเคล็ดลับของนางที่นำมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
ตำหนักใหญ่ ฉากหน้าของโอรสสวรรค์ที่เหล่าขุนนางเห็นเป็นประจำคือพระองค์เสพติดความสุขสำราญ วันเว้นวันจะต้องมีนางรำร่างอ่อนช้อยเข้าวังไปถวายความสุขสำราญใจให้กับพระองค์ นางรำเหล่านั้นกำลังร่ายรำสวยงามอยู่เบื้องหน้าโอรสสวรรค์ เสียงดนตรีดังก้องกังวานไปทั่วตำหนักสร้างความเบิกบานแก่จักรพรรดิเป็นยิ่งนัก แต่เหล่าข้าราชสำนักที่ลอบยืนอยู่ด้านนอกต่างไม่มีใครชื่นชอบ แต่ต่างก็ชินชากับการที่จักรพรรดิของพวกเขาเจ้าสำราญนัก
เสพดนตรี ชมนางรำร่ายรำทุกวัน นั่นคือสิ่งที่เหล่าขุนนางเห็นแต่ภาพความจริงหลังม่านสีทองระย้าคือ หยางจื่อกำลังอ่านจดหมายลับจากชายแดนที่เขาส่งทหารองค์รักษ์ลับไปสืบข่าวเกี่ยวกับกู้ม่านเอ่อจิน
“ฝ่าบาทจะเรียกตัวท่านกู้ม่านเอ่อจินกลับวังหลวงเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หยางจื่อโบกมือสีหน้าเหี้ยมเกรียมผิดจากปกติที่มีรอยยิ้มแย้มสรวลอยู่บ้าง “ยังก่อนเราจะให้กู้ม่านเอ่อจินปราบพวกบฎตามชายแดนให้ราบคาบเสียก่อนแล้วเราจะเรียกเขากลับมา จากนั้นจะบีบให้เขาออกจากราชการด้วยตัวเขาเองไม่ให้เกี่ยวกับเราทำแบบนี้ชาวฮั่นจะไม่เกลียดชังพวกเราชาวแมนจู”
จางกงกงติดตามหยางจื่อมานานจึงยังรักษาสีหน้าได้สงบราบเรียบแม้จะได้ยินเรื่องที่คาดไม่ถึง สำนวนนี้ยังใช้ได้ดี ‘เสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพล’
“เราไม่ไว้ใจกู้ม่านเอ่อจิน ตอนนี้เขามีอำนาจทหารในมือมากเกินไป อีกทั้งประชาชนก็รักใคร่เขามาก ที่สำคัญลูกสาวยังมาเป็นฮองเฮาคนข้างกายเราอีก พูดง่ายๆ ตอนนี้แค่หลับตานอนเรายังไม่อาจไว้วางใจได้เลย ถ้าหากกู้ม่านเอ่อจินคิดการณ์ใหญ่ขึ้นมาเราคงกลายเป็นฮ่องเต้ที่ไร้บัลลังก์ เราไม่แน่แก่ใจว่ากู้ม่านเอ่อจินมีความจงรักภักดีกับเราแค่ไหน”
จางกงกงมีสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากคิดตาม เขารับใช้ใกล้ชิดหยางจื่อมาตั้งแต่เป็นองค์ชายเล็กๆ จนมาเป็นองค์รัชทายาท กระทั่งมาเป็นจักรพรรดิ เขารู้ว่าเอกบุรุษตรงหน้าเป็นคนที่รอบคอบ ระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ ด้วยตำแหน่งฮ่องเต้ที่มีคนรายล้อมรอบตัว เห็นหน้าไม่รู้ใจ ไม่อาจรู้ได้ว่าใครจงรักภักดีจริงหรือแสร้งทำ
“กระหม่อมจะสืบเรื่องทางชายแดนส่งให้ฝ่าบาททราบทุกระยะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
“ดี ถ้าหากได้ข่าวอะไร ไม่ว่าเวลาไหน เจ้าก็ต้องรีบรายงานให้เรารู้”
หยางจื่อฟังเรื่องสำคัญจบก็ตรวจฏีกาที่มีขุนนางส่งมาจนเสร็จก็ไล่นางรำให้กลับไป ขันทีกองสำนักพระราชวังก็เดินเข้ามาขอเข้าเฝ้าด้วยสีหน้าซีดเผือด
“กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดละเว้นโทษของกระหม่อมด้วย เนื่องจากวันนี้กระหม่อมมิอาจนำป้ายมาให้ฝ่าบาทเลือกได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีจากสำนักพระราชวังว่าแล้วก็ทรุดตัวคุกเข่า ก้มหน้าในมือยกถาดขึ้นเหนือหัว ทั้งตัวมีอาการสั่นเทาด้วยกลัวความผิด
หยางจื่อขมวดคิ้วมองไปที่ถาดทองคำก็พบแต่ความว่างเปล่าไม่มีป้ายของสนมชายาคนใดวางอยู่สักป้าย คงมีแต่ป้ายหยกแทนตัวของฮองเฮา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ป้ายของสนมชายาคนอื่นหายไปไหนกันหมด ของเสวียหวงกุ้ยเฟยล่ะ เราจะเลือกป้ายของนาง ปกติสนมชายาที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ไม่ได้มีรอบเดือนจะต้องมีป้ายในถาด”