แสงแดดอ่อนๆในเช้าวันใหม่กำลังสาดส่องเข้ามาข้างใน เสียงนกร้องเซ็งแซ่ภายในสวนรอบ ๆ บ้านพร้อมใจส่งเสียงร้องดังฟังดูไพเราะราวกับกำลังประสานเสียงร้องเพลง ต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจีเริ่มแตกกิ่งก้านสาขาหลังจากได้รับฝนห่าใหญ่ในหลายวันที่ผ่านมาจนแลดูร่มรื่น หากแต่คนในบ้านเศรษฐบดินทร์ แห่งนี้กลับไม่ได้รู้สึกภิรมย์ไปกับธรรมชาติเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
บนโซฟาหนังนำเข้าสุดหรูภายในบ้านหลังใหญ่ ร่างสูงของ ภูมิพัฒน์ เศรษฐบดินทร์ บุตรชายคนเดียวของ ภาคิน เศรษฐบดินทร์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัยกลางคนซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองมากที่สุดในขณะนี้ เด็กหนุ่มในวัยสิบแปดปีกำลังนอนขดตัวอยู่บนโซฟา บนศีรษะและแขนขายังมีผ้าพันแผลพันไว้จนดูคล้ายซอมบี้ ภายในอ้อมกอดมีรูปมารดากำลังส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่นแต่ทว่ารอยยิ้มนั้นเขากลับไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว
“คุณหนูคะ ป้าว่าคุณหนูขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมาทานอาหารเช้ากันดีกว่านะคะ ประเดี๋ยวคุณท่านก็คงกลับมาแล้ว ป้าเกรงว่าคุณหนูของป้าจะโดนดุเอานะคะ” ชดช้อย สตรีในวัยกลางคนซึ่งทำหน้าที่เป็นแม่นมและผู้ดูแลบ้านหลังนี้มายาวนาน ลูบศีรษะคุณหนูของนางอย่างรักใคร่
“ผมไม่ไป...ผมจะรอคุณพ่อ” ภูมิพัฒน์ตอบแต่ทว่าเขายังคงนอนกอดรูปมารดาดังเดิม น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมารดาเมื่ออาทิตย์ก่อน
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วจนเกิดสายฟ้าขึ้นเป็นครั้งคราว ท่ามกลางสายฝนที่สาดเทลงมาในยามค่ำคืน แต่สำหรับการได้อยู่ในบ้านกับเกมที่ชอบเล่นเป็นประจำช่างเป็นความสุขที่ภูมิพัฒน์หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ร่างสูงของเขานอนอยู่บนโซฟาตัวเก่าซึ่งมี ตรีเนตร ผู้เป็นมาราดานั่งอยู่เคียงข้างเหมือนทุกครั้ง ถึงแม้อายุจะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลายแต่เขาก็ยังคงทำตัวเหมือนเด็กน้อยตามติดตรีเนตรแจยิ่งกว่าอะไร ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะเขาเติบโตมากับผู้เป็นแม่มากกว่าภาคินผู้เป็นบิดามัวแต่ติดงานที่บริษัทจนไม่มีเวลาให้เขาเสียเท่าไหร่
“นี่แม่ยอมให้เล่นเกมแบบนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ นับตั้งแต่พรุ่งนี้เราต้องตั้งในอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว” ตรีเนตรลูบศีรษะบุตรชายอย่างนึกเอ็นดู “เรียนจบมาจะได้ไปช่วยงานที่บริษัทคุณพ่อ คุณพ่อจะได้ไม่เหนื่อย”
ใบหน้าตรีเนตรดูกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อเอ่ยถึงสามี แต่ถึงกระนั้นก็ได้แต่เก็บความข่มขื่นบางอย่างไว้ข้างใน
ต่อหน้าบุตรชายเธอจะแสดงให้เขาเห็นไม่ได้เด็ดขาด
“ผมไม่อยากเป็นเหมือนคุณพ่อหรอกครับ ทำงานกลับบ้านดึกแทบทุกวัน น่าเบื่อจะตาย” เจ้าของใบหน้าคมคร้ามออกแนวไปทางฝรั่งเศสเพราะได้รับมาเสี้ยวหนึ่งจากมารดาที่มีเชื้อเป็นลูกครึ่งเอ่ยขึ้นก่อนจะใช้จมูกที่โด่งเป็นสันหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ด้วยความรัก “อยู่กับแม่แบบนี้ดีกว่าเยอะเลย”
“จะได้อยู่เล่นเกมทั้งวันเลยใช่มั้ยล่ะ แม่รู้ทันนะ” ตรีเนตรใช้นิ้วจิ้มหน้าผากบุตรชายเบาๆ พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ภูมิพัฒน์จึงผละออกจากอ้อมกอดเพื่อให้มารดาได้คุยธุระสำคัญต่อ
“ว่าไงนะได้เรื่องแล้วเหรอ...ดีมาก...ส่งที่อยู่มันมาให้ฉันทางได้เลย ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” ตรีเนตรกดรับโทรศัพท์แล้วกรอกเสียงใส่ด้วยความร้อนใจ ก่อนจะปรี่เข้ามาหยิบกระเป๋าใบงามบนโต๊ะหน้าโซฟา
“ฝนตกหนักขนาดนี้คุณแม่จะไปไหนครับ” บุตรชายเอ่ยถามรีบวางเกมในมือทิ้งทันทีเมื่อเห็นท่าทีร้อนใจของมารดา
“ลูกอยู่บ้านนะ เดี๋ยวแม่กลับมา” ตรีเนตรไม่มีเวลามาเอ่ยอะไรกับบุตรชายให้มากความ ขืนชักช้ากว่านี้เดี๋ยวไก่ได้ตื่นกันพอดี
“ให้ผมไปด้วยนะครับ ผมเป็นห่วงคุณแม่” ภูมิพัฒน์รีบวิ่งตามหลังมารดาออกไป พักหลังมานี้เขาเห็นเธอมักจะคุยโทรศัพท์อยู่บ่อยครั้งแถมยังเฝ้าติดหน้าจอไม่ยอมไปไหน แม้กระทั่งทำอาหารตรีเนตรก็มักจะแอบหยิบมือถือติดตัวไว้เสมอจนภูมิพัฒน์นึกแปลกใจ
“ฉันบอกให้เข้าไปรอในบ้าน ทำไมแกถึงดื้อด้านนักฮะ!” เสียงตวาดลั่นของมารดาทำให้เขาสะดุ้งตกใจขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่เกิดมาตรีเนตรแทบจะไม่ขึ้นเสียงหรือตวาดเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่เขาทำผิดก็มักจะถูกตักเตือนพร้อมด้วยเหตุผลเสมอไป
“แต่ผมอยากไปด้วย ผมเป็นห่วงคุณแม่นี่ครับ” บุตรชายเอ่ยเสียงอ่อนจนตรีเนตรนึกอ่อนใจแกมรู้สึกผิดที่เผลอพลั้งปากตะคอกใส่เขาอย่างลืมตัว
“ก็ได้ แม่ยอมให้เราไปด้วยก็ได้ เราเองก็โตมากพอที่จะรับรู้อะไรได้แล้วล่ะ” ตรีเนตรยิ้มรีบปรับอารมณ์ให้เย็นลงแล้วตอบบุตรชายก่อนจะเดินนลงไปเปิดประตูรถให้ภูมิพัฒน์แล้วจึงสตาร์ทออกไปสู่ถนนใหญ่ทันที
ถึงแม้จะไม่รู้ความหมายที่ผู้เป็นแม่บอกเขาก็ยอมขึ้นมานั่งบนรถแต่โดยดี ภูมิพัฒน์ไม่รู้เลยว่าผู้เป็นแม่จะพาเขาไปที่แห่งใดแต่ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากเอ่ยถาม ดูจากอารมณ์ที่กำลังคุกกรุ่นของมารดาบวกกับความเร็วของรถแล้วเขาควรจะนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เป็นดีที่สุด
ฝนหยุดไปแล้วเหลือเพียงแต่น้ำที่ขังบนพื้นถนนเท่านั้น แสงไฟนีออนที่คอยส่องข้างทางค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นป่ารกทึบเมื่อรถแล่นมาถึงชานเมือง ถนนหนทางค่อนข้างเปลี่ยวมีบ้านคนอาศัยอยู่บ้างประปรายเท่านั้น
หลังจากขับรถข้ามป่ามาครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างดูโล่งใจขึ้นมาทันทีเมื่อพบกับความสว่างจากสองข้างทางอีกครั้ง รถค่อยๆแล่นไปบนถนนใหญ่จนกระทั่งเข้าไปจอดแน่นิ่งอยู่หน้าบ้านไม้หลังเก่า ๆ หลังหนึ่ง ซึ่งมีรถของสามีถูกจอดไว้ตรงหน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว
บ้านไม้หลังโตแต่ทว่าดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด บันไดทางขึ้นมีไม้บางขั้นแตกไปเกือบครึ่ง ใต้ถุนบ้านมีแคร่ไม้ไผ่ขนาดใหญ่วางอยู่ ภูมิพัฒน์เงยหน้ามองขึ้นไปบนบ้านที่มีแต่แสงไฟสีส้มคอยส่องสว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังคาที่ทำจากสังกะสีขึ้นสนิมเขรอะจนมีรูโหว่หลายจุด ยิ่งทำให้เขารู้สึกอนาถใจขึ้นมาทันที
บ้านโทรม ๆ แบบนี้อยู่ไปได้อย่างไรกัน
“ตาภูมิรอแม่ที่นี่นะลูก เดี๋ยวแม่ลงมา” ตรีเนตรสั่งบุตรชายให้รออยู่ในรถส่วนตัวเองรีบเปิดประตูลงไปทันที
เสียงไม้เก่าๆตรงบันไดส่งเสียงลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดเมื่อตรีเนตรย่างเท้าขึ้นไปทีละขั้น ก่อนทีประตูบานไม้เก่า ๆ นั่นจะถูกกระชากให้เปิดออกอย่างง่ายดาย
เด็กน้อยวัยสิบขวบกำลังนั่งระบายสีทำการบ้านอยู่หน้าทีวีสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้มาเยือนที่ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่หน้าบ้าน
“พี่สาวแกอยู่ไหน” ตรีเนตรเอ่ยถาม
เด็กน้อยไม่ตอบ แต่กลับใช้ดินสอสีในมือชี้ไปที่ประตูห้องซึ่งอยู่สุดทางของบ้านด้วยความไร้เดียงสา
ตรีเนตรชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจกระชากประตูห้องนั้นออกทันทีตามที่น้องสาวของเจ้าของบ้านเป็นคนบอก
“คุณเนตร! คุณมาได้ยังไง” เสียงบิดาตะโกนถามด้วยความตกใจ ทำให้ภูมิพัฒน์ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ ใกล้กับรถมารดารีบถลาขึ้นไปบนเรือนไม้หลังเก่าด้วยความอยากรู้ทันที
ภายในบ้านมีหญิงสาววัยยี่สิบปลาย ๆ กำลังนั่งห่อตัวอยู่ในผ้าห่มผืนเก่า มีมุ้งสีขาวถูกแขวนไว้กับฝาผนัง ข้าง ๆ กันมีร่างของภาคินเปิดเปลือยท่อนบนนั่งตัวสั่นด้วยความไม่พอใจ โดยมีมารดายืนชะงักค้างอยู่ตรงหน้าประตู ภาพตรงหน้าไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ แม้แต่เด็กอายุสิบแปดอย่างภูมิพัฒน์ยังรู้เลยว่าบิดาของเขามีชู้