เมื่อเวลาเริ่มงานของวันใหม่มาเยือน ผู้คนในปางไม้หลายร้อยชีวิตก็ทยอยกันมาหยุดอยู่บริเวณลานกว้าง แต่ละคนชะเง้อคอยืดคอยาวมองไปยังบ้านไม้ยกสูงซึ่งสร้างเป็นห้องทำงานของผู้เป็นนาย บริเวณด้านหน้านั้นมีระเบียงยื่นยาวออกมา และตอนนี้เจ้าของปางไม้ที่ให้ข้าวให้ชีวิตก็ค่อยๆ เดินลงบันไดมาหยุดต่อหน้าทุกคนในระยะใกล้ชิด
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง/สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง” สองเสียงจากทั้งสตรีและบุรุษดังลั่น แม้แต่เด็กน้อยตัวเล็กๆ ยังส่งเสียงทักทายโบกไม้โบกมือให้
ตั้งแต่อยู่บนระเบียง เมธัสก็กวาดตามองทุกคนตรงหน้าอย่างสังเกตอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีอะไรที่เขาจะรู้สึกคุ้นเคยหรือจำได้เลย จึงต้องเดินลงมาเพื่อสัมผัสพวกเขาในระยะใกล้ชิด เขาหวังเหลือเกินว่าจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำจากผู้หญิงคนใดคนหนึ่งซึ่งอยู่ในลานนี้
“มากันครบหรือยัง” พ่อเลี้ยงเมธหันไปถามลุง
หวายซึ่งเป็นผู้จัดการไร่
อีกฝ่ายนิ่วหน้ามองไปจนถ้วนทั่วก่อนจะผงกหน้า
“น่าจะครบแล้วครับ”
“ดี...” เมธัศครางรับเพียงเท่านั้นก็เดินทักทายทุกคนไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาเอาแต่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แล้วก็หน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ ถ้าใครมีความสามารถพิเศษอะไรหรือถนัดด้านไหนเขาก็จะสนใจเป็นพิเศษแล้วก็โยกย้ายตำแหน่งงานที่เหมาะสมให้ จนผ่านเหล่าคนงานชายหลายร้อยมาถึงแถวของผู้หญิงซึ่งเป็นลูกและเมียของคนงานชายนั่นแหละถึงได้พิจารณาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับผู้หญิงวัยสิบห้าสิบหกขึ้น เขาจะหยุดแล้วจ้องพวกเธอเขม็ง ราวกับว่าผู้หญิงพวกนี้ไปทำผิดเรื่องใหญ่โตมา
แรกๆ พวกเธออาจจะหัวใจเต้นแรงกับการได้เห็นพ่อเลี้ยงในระยะกระชั้นชิด แต่พอสบสายตาแล้วก็ต้องหลบหน้าด้วยเนื้อตัวสั่นเทาเพราะว่าแววตาของพ่อเลี้ยงช่างดูอันตรายเหลือเกิน
จนพบหน้าใกล้หมดทุกคนนั่นแหละ ชายหนุ่มถึงได้ร้องถามขึ้นอีกครั้ง “หมดแค่นี้หรือ ไม่น่าเชื่อว่าคนทั้งปางจะเหลือแค่นี้”
“บางคนก็ออกไปทำงานอื่น หรือไม่ก็ไปทำงานกรุงเทพฯ กันหมดแล้วจ้ะนาย ที่เหลือก็แค่คนเก่าคนแก่กับพวกเด็กๆ ที่รักบ้านเกิดเท่านั้น”
พ่อเลี้ยงเมธลอบทอดถอนหายใจเล็กน้อย เหลืออีกห้าคนก็เป็นพวกอายุย่างเข้าหกสิบกันทั้งนั้นจึงได้แต่ยิ้มทักทายแล้วหมุนกายหันหลังให้ ทว่าปลายเท้าหนาหนักกลับชะงักกึกเมื่อลมพัดผ่านนำพากลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นจมูกลอยมาใกล้
“นี่มัน...”
“มีอะไรหรือครับพ่อเลี้ยง” หวายรีบถาม เมื่อเห็นผู้เป็นนายหมุนกายไปหยุดอยู่ตรงหน้าของยายอบ
เมธัสเอาแต่มองยายหนังเหี่ยวๆ อายุใกล้ร้อยตาไม่กะพริบ ขาของเขาเริ่มอ่อนแรงเสียจนแทบทรุดไปกองกับพื้น ใบหน้าที่เพิ่งสร่างจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ซีดเผือดยิ่งกว่าไก่ต้มเสียอีก ยิ่งใกล้ กลิ่นมะลิอ่อนๆ ก็พลันคลุ้งจมูกเสียจนสำลักหน้าดำหน้าแดง ถ้าหากเป็นยายแก่ๆ ตรงหน้าจริงๆ ละก็ เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายยังจะมีชีวิตรอดอยู่ จึงได้แต่กลั้นใจถามขึ้น
“ทำไมยายถึงมีกลิ่นมะลิติดตัวล่ะ”
“อ้อ...บ้านยายแกปลูกมะลิไว้รอบๆ แล้วก็เก็บส่งขายในตลาดเช้าด้วยจ้ะพ่อเลี้ยง” หวายเป็นคนตอบ “ทุกๆ วันพระ ยายอบก็จะเป็นคนร้อยมาลัยไปถวายพระ วันแม่หรือวันพ่อก็จะร้อยให้เด็กๆ คนละพวงเอาไปกราบพ่อกราบแม่”
“อย่างนั้นหรือ...” เมธัสได้แต่คราง หัวสมองของเขามันอื้ออึงอย่างไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะคิดหรือทำอะไรต่อ เขาอยากถามจริงๆ ว่าค่ำคืนก่อนหน้านี้ยายอบแกได้ออกจากบ้านบ้างหรือเปล่า แต่คำถามมันกลับติดอยู่กับปลายลิ้น จนได้ยินเสียงผู้จัดการโพล่งขึ้นถึงได้เบิกตาโต
“อ้าว! แล้วหนูเทียนไม่มารึยาย ปกติเห็นยายไปไหน หนูเทียนก็ไปด้วยทุกที่”
ยายอบยิ้มแหยๆ แล้วตอบโดยไม่คิด “นังเทียนมันป่วยมาสองสามวันแล้วล่ะ นี่ก็ยังนอนซมอยู่ในบ้าน เมื่อเช้าเห็นมันลุกไม่ไหวข้าจึงไม่ได้ปลุก อีกอย่างมันก็ไม่ได้ทำงานอะไรในปางก็เลยไม่รู้ว่าต้องเรียกมันมาด้วย”
“นั่นสินะ ยายอบหวงหนูเทียนจะตาย ให้ร้อยแต่มาลัยแล้วก็มาช่วยงานในครัวของพวกเราไม่กี่ครั้งเท่านั้น”
“ก็จะอะไรล่ะ หลานของแกสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก แกก็ต้องรักต้องหวงมากเป็นธรรมดา” คนรูปร่างอ้วนท้วนวัยห้าสิบซึ่งยืนอยู่ข้างๆ โพล่งขึ้นอย่างเข้าใจ “ปล่อยหนูเทียนไปสักคนเถอะพี่หวาย เด็กคนนั้นน่าสงสาร พ่อแม่ก็ทิ้งขว้าง ถ้าไม่ได้ยายอบคงตายไปนานแล้ว”
“นั่นสิ”
“แต่ถึงจะอย่างนั้น...” หวายจึงหันมามองผู้เป็นนายอย่างเกรงใจ “ว่าแต่พ่อเลี้ยงจะให้ผมตามหนูเทียนมาไหมครับ”
จากเรื่องที่ทุกคนเอ่ยขึ้น ทำไมตอนนี้เขารู้สึกมั่นใจนักว่า บางทีผู้หญิงในค่ำคืนนั้นอาจจะเป็นเด็กเทียนที่ทุกคนพูดถึงก็ได้ จึงลอบกลืนน้ำลายแล้วกลั้นใจถามออกมา
“ว่าแต่...เด็กเทียนที่ทุกคนพูดนี่ คือใครหรือ ฉันไม่ยักรู้ว่าในปางไม้มีเด็กชื่อเทียนด้วย”
“โอ๊ย! จะว่าเด็กก็ไม่แล้วจ้ะ นายจำไม่ได้หรือ ก็หนูน้อยในห่อผ้าขาวที่ถูกทิ้งไว้หน้าปางไม้เมื่อยี่สิบสามปีก่อนไง ตอนนั้นนายอายุสิบห้าสิบหก บางทีคงจะได้ยินข่าวบ้าง พวกเราช่วยกันตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงอยู่หลายปี จนไม่พบนั่นแหละยายอบ ที่ไม่มีลูกมีหลานจึงรับอาสาดูแล คงเป็นเพราะถูกทิ้งให้แมงกัดต่อยจนบวมแดงไปทั้งตัว โตขึ้นสุขภาพจึงไม่ค่อยดีนัก โดนฝุ่นมากๆ ก็ไม่ได้ ยายอบแกก็เลยให้ร้อยมาลัยส่งตลาดแล้วก็ให้ทำงานบ้าน บางครั้งก็มาช่วยพวกเราในครัว ฝีมือทำกับข้าวของหนูเทียนอร่อยเชียวแหละ ช่วยพวกเราได้มากเหลือเกิน”
ยิ่งฟังเสียงเล่าลือ เมธัสก็ยิ่งนึกใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ออก แต่ก็แอบโล่งใจเพราะว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้จริงๆ เขาก็คงจะรอดพ้นข้อกล่าวหากระทำชำเราเด็กแล้ว แต่ที่ยังติดใจสงสัยก็คือ ถ้าเป็นเธอจริงๆ แล้วเธอไปที่บ้านเขาได้ยังไง เขาคงไม่ได้ออกมาลากเธอเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำด้วยตัวเองหรอก
ครั้นเริ่มแน่ใจจึงสั่งให้ทุกคนแยกย้าย แล้วปรายตามองตามหลังของยายอบไปเรื่อยๆ กระทั่งเห็นทิศทางที่แกก้าวเดินไปดวงตาคู่คมถึงได้หรี่แคบลงเพียงนิด จากนั้นก็หมุนกายกลับไปทำงานของตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนบ่ายคล้อยถึงได้เดินไปยังทิศทางที่ยายอบไป