“ตายแล้ว เอ็งเป็นอะไรไป ทำไมมือไม้อ่อนแบบนี้ล่ะ”
“ขอโทษจ้ะยาย ฉันคงหิวไปหน่อย”
วันวิสาหลบตาบอกแล้วรีบหยิบช้อนมาตักข้าวกินต่ออย่างรีบๆ จนสำลักนั่นแหละยายอบถึงได้ช่วยตบหลังให้ ระหว่างนั้นก็ออกปากบ่นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าสติของคนเป็นหลานกลับไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวอีกแล้ว ยิ่งนึกถึงกางเกงชั้นในที่ตัวเองลืมไว้ ใบหน้าก็พลันร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ หวังว่าเขาคงไม่ตามหาเธอด้วยการโชว์ชั้นในต่อหน้าทุกคนหรอกนะ
ยิ่งคิดเหงื่อกาฬก็ยิ่งผุดซึมเต็มขมับเสียจนต้องปาดทิ้งลวกๆ
“เอ็งไม่สบายรึเทียน” ยายอบรีบถาม ยิ่งเห็นแก้มของหลานแดงก่ำก็พานต้องแตะหน้าผากดูอย่างรีบร้อน
“ตัวเอ็งร้อนนี่ เอ็งต้องรีบกินข้าวและก็ไปกินยาซะ ถ้าไม่ดีขึ้น ยายจะพาเอ็งไปหาหมอ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกจ้ะ สงสัยโดนฝนเมื่อวานก็เลยเป็นไข้นิดหน่อย กินยานอนพักก็คงหายแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็ต้องพักผ่อนให้มากๆ ไม่ต้องออกมาช่วยยายทำงานหรอก”
“แต่...”
ครั้นเห็นหลานสาวทำท่าคัดค้าน ยายอบก็รีบโพล่งขึ้น “เอ็งไม่ต้องห่วงหรอกน่า เอ็งดูแลตัวเองเถอะ ถ้าเอ็งเป็นอะไรขึ้นมา ยายก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ยังไง ดังนั้นเอ็งต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ นะเทียน”
“จ้ะยาย” วันวิสาได้แต่มองหน้ายายอบด้วยตาแดงๆ แล้วฝืนกินข้าวไปอีกหลายคำ จนกระทั่งกินไม่ไหวถึงได้ไปหยิบยาลดไข้มากินแล้วกลับเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องเงียบๆ ที่เธอป่วยไม่ใช่เพราะตากฝนหรืออะไรหรอก อาจเป็นเพราะค่ำคืนที่ถูกไฟพิศวาสแผดเผาเรือนร่างต่างหาก แต่ว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ใช้โอกาสนี้หลบหน้าหลบตา ไม่ออกไปพบพ่อเลี้ยงตามคำเรียก เพราะถ้าออกไปเผชิญหน้ากับเขา เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำตัวอย่างไร แกล้งตีหน้าซื่อๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ เธอทำไม่ได้หรอก ก็ในเมื่อแค่คิดถึงใบหน้าของเขา ปากของเขา มือของเขา เสียงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่ราดรดทุกอณูเนื้อบนเรือนร่างก็พลันทำให้เธอขาอ่อนระทวยจนต้องทิ้งร่างลงบนเตียงอย่างสิ้นแรง
ขณะเดียวกัน เมธัสก็เอาแต่เดินไปเดินมาอยู่ภายในบ้าน ในสมองตอนนี้เขาลืมเรื่องราวของเพียงรุ้งไปจนหมดสิ้น เหลือแค่เพียงสภาพห้องที่เละเทะเท่านั้นที่อยู่ในสายตา ยิ่งเก็บข้าวของหล่นเกลื่อนกลาดให้เข้าที่เข้าทางมากเท่าไร ภาพวาบหวามในยามค่ำคืนที่ผ่านมาก็พลันค่อยๆ ปรากฏเด่นชัดขึ้น แต่ทำไม พอนึกถึงเจ้าของร่างบอบบางที่บิดครวญอยู่ใต้ร่างแล้ว เขากลับไม่สามารถมองเห็นหน้าเธอได้
จนจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อยนั่นแหละ ถึงได้ทิ้งตัวลงนั่งบนปลายเตียง พร้อมจ้องมองกางเกงชั้นในตัวน้อยๆ ที่ยังวางอยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีกับมัน จะทิ้งก็กลัวเจ้าของจะต่อว่า จะปล่อยไว้ก็ทำให้เขาเอาแต่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“เธอเป็นใครกันแน่...” เจ้าของกางเกงในปริศนายังคงเป็นความสงสัยหนึ่งเดียวที่เมธัสพยายามค้นหา โดยเฉพาะกลิ่นหอมของดอกมะลิอ่อนๆ ที่อบอวลอยู่ภายในปากในจมูก ยิ่งทำให้เขาไม่สามารถตัดใจทำอะไรได้ลง สุดท้ายก็คว้าของต่างหน้าที่อีกฝ่ายทิ้งไว้นำไปเก็บในลิ้นชักของตู้เสื้อผ้าเท่านั้น
เมื่อเก็บมันพ้นสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มก็หยิบเอาเสื้อคลุมลายทางมาสวมใส่ ก่อนจะเดินลิ่วๆ ออกจากบ้านเพื่อตามหาร่องรอยของใครบางคนที่อาจทิ้งไว้ระหว่างทาง หรือแม้แต่รอบๆ บ้านของเขา
แต่ดูเหมือนสายฝนในยามค่ำคืนกับรอยเท้าของคนงานในปางจะกลบในสิ่งที่เขาตามหาไปจนหมดแล้ว จึงได้แต่ยืนกัดปากมองไปรอบๆ อย่างพิจารณา รอบๆ บ้านของเขาแวดล้อมไปด้วยบ้านพักของคนงานหลายสิบครอบครัว แต่ละครอบครัวก็มีลูกเล็กญาติพี่น้องอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่อีกด้วย เขายังมองไม่ออกเลยว่า เป็นผู้หญิงคนไหนในปางไม้กันแน่
“คงไม่ใช่ผู้ชายหรอกนะ...” พอความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว เมธัสถึงกับส่ายหน้าแรงๆ แต่เมื่อนึกถึงกางเกงชั้นในสีชมพูสดนั่นแล้วก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น อย่างน้อยๆ คนที่เขามีสัมพันธ์ด้วยก็คงไม่ใช่ผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์
เดินไปรอบๆ อยู่สักพัก คนงานหนึ่งกลุ่มก็ร้องทักขึ้น “หาอะไรอยู่หรือครับพ่อเลี้ยง”
ชายหนุ่มมองกลุ่มคนตรงหน้า เมื่อเห็นพ่อแม่ลูกแล้วก็เด็กสาวสองสามคนจึงได้แต่หรี่ตาลง ผู้หญิงพวกนี้อายุราวๆ สิบสี่สิบห้า เขาคงไม่หน้ามืดตัวมัวข่มเหงพวกเธอ และดูๆ ไปเด็กพวกนี้ก็น่าจะยังบริสุทธิ์อยู่จึงยิ้มแห้งๆ ตอบ “ไม่ได้หาอะไรหรอก ฉันก็แค่มองไปรอบๆ เท่านั้น หลายวันมานี้พวกนายก็เห็นว่าฉันเอาแต่ดื่มเหล้า ยังไม่เคยถ่างตากว้างๆ มองปางไม้ของตัวเองให้เต็มตาเลย”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่กวนแล้วนะจ๊ะนาย”
“ไปเถอะ แล้วอย่าลืมเรื่องรวมพลวันพรุ่งนี้ล่ะ”
“ไม่ลืมจ้ะ ผู้จัดการแจ้งพวกเราทุกบ้านทุกครอบครัวหมดแล้ว”
“ดี...แล้วเจอกัน” เมื่อนึกถึงวันพรุ่งนี้แล้วก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าเขาเจอกับผู้หญิงคนนั้น เขาจะสามารถจำเธอได้ไหม และถ้าจำได้เขาควรจะพูดอะไรกับเธอบ้าง ในเมื่อหัวใจของเขาไม่ได้มีไว้เพื่อเธอสักหน่อย สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็แค่ความผิดพลาดที่เขาไม่ได้ตั้งใจ ทุกอย่างเป็นเพราะเหล้าขาวเจ็ดแปดขวดนั่นต่างหาก เขาอุตส่าห์ดื่มพวกมันติดกันหลายวัน ไม่คิดจริงๆ ว่าฤทธิ์เดชของมันจะย้อนกลับมาทำลายเขาเสียจนไม่กล้าแตะต้องอีก มาถึงวันนี้เห็นขวดที่หล่นเกลื่อนกลาดก็ยังอดเสียวไส้ไม่ได้เลย