เหล่าสนมนางในทั้งหลายต่างซ่อนรอยยิ้มรอชมเรื่องสนุก
ลู่ไทเฮาจ้องเขม็งไปที่ลูกสะใภ้หมาดๆพลางหรี่ตาลง
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ อะไรกัน ข้าให้รู้สึกแปลกใจนัก เหตุใดชุนมามาจึงมีความคิดลบๆเช่นนั้นเล่า และทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ การที่ข้ามิได้รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอไทเฮา เพราะข้ารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็ได้เจอ แม้แต่ฮ่องเต้ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโอรสสวรรค์ข้าก็ได้เจอมาแล้ว ชีวิตข้ามีเรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย ทั้งตื่นเต้นแบบดีใจที่จู่ๆก็ได้มาเป็นฮองเฮา ตำแหน่งที่ใครต่อใคร เอ้อ…” นางหยุดพูดพลางปรายตามองเหล่าโฉมสะคราญทั้งหลายที่นั่งเรียงรายอยู่ อันที่จริงก็อยากจะพูดต่อว่า ‘ตำแหน่งที่ใครต่อใครต่างใฝ่ฝัน จับจ้องและต้องการไขว่คว้ามาเป็นของตนเอง’ แต่นางก็หยุดคำพูดไว้แค่นั้น ที่เหลือให้พวกนางไปคิดต่อเอาเอง เชื่อว่าคงมีใครหลายๆคนที่อกใกล้จะแตกอยู่แล้ว
“แต่เจ้าก็จะได้เป็นฮองเฮาเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น อย่าลืมสิ” ลู่ฝูหลันยิ้มเยาะ
“นั่นเป็นสิ่งที่หม่อมฉันเฝ้ารอเพคะ อันที่จริงหม่อมฉันไม่อยากจะเป็นฮองเฮาถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ หม่อมฉันเชื่อว่าทุกๆคนคงรู้ที่มาที่ไปของหม่อมฉัน”
“หึ! รู้สิ สตรีสกุลอี้ เจ้าเป็นฮองเฮาที่แหกขนบของการเป็นฮองเฮา ประวัติศาสตร์มิอาจจารึกชื่อของเจ้าเอาไว้ในบันทึกของราชวงศ์ฉินได้หรอก” ลู่อิงเหยาอดรนทนไม่ไหวกับอากัปกิริยาถือดีของสตรีจากชนชั้นต่ำผู้นี้
“ท่านผู้นี้คือ?” อี้เหม่ยหรงหันไปทางลู่อิงเหยาพลางเลิกคิ้วสูง
“ลู่กุ้ยเฟย พระสนมขั้นกุ้ยเฟยเพียงหนึ่งเดียว พระนัดดาของไทเฮา” เป็นชุนเจียอีที่อดใจไม่ไหว รีบเอ่ยออกมา
“อ้อ! เป็นเช่นนั้น แล้วพระสนมขั้นที่สูงที่สุดตอนนี้คือลู่กุ้ยเฟยใช่หรือไม่ ชุนมามา?” อี้เหม่ยหรงทำทีเอ่ยถาม
“มิใช่ เป็นข้า อวี้ไป๋หลาน อวี้หวงกุ้ยเฟย” อวี้ไป๋หลานยืดอกและตั้งคอให้ตรงเพื่อให้ตนดูมีสง่าราศีที่สุด
“อ้อ! มีตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยด้วยเช่นนั้นหรือ ข้าเองก็เพิ่งจะเข้าวัง ยังจำไม่ได้ว่าพระสนมมีตำแหน่งอันใดบ้าง และตำแหน่งไหนสูงกว่าตำแหน่งไหน”
“อวี้หวงกุ้ยเฟยทรงเป็นสตรีที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมากที่สุดเพคะ ฮองเฮาอาจจะยังมิทราบ” เสียงนั้นดังมาจากด้านหลังของอวี้ไป๋หลาน เป็นนางกำนัลคนสนิทของนางอย่างจางซิงอี๋นั่นเองที่อยากประกาศศักดาของผู้เป็นนาย
“อ้อ! เป็นเช่นนั้นรึ ฝ่าบาททรงโปรดปรานหรือไม่ทรงโปรดปรานสนมนางในคนใดแล้วมันต้องเกี่ยวอันใดกับข้าด้วยหรือไม่ หรือว่าข้าต้องร่วมโปรดปรานกับฝ่าบาทด้วย แต่เอ๊ะ…เมื่อกี้เจ้าบอกว่านางมีตำแหน่งเป็นหวงกุ้ยเฟย ซึ่งสูงกว่าตำแหน่งกุ้ยเฟย แต่อย่างไรก็คงต่ำกว่าตำแหน่งฮองเฮาอยู่ดีใช่หรือไม่ เมื่อตะกี้นางใช้คำพูดแทนตัวว่า…ข้า ในขณะที่พูดกับข้า แบบนี้ถูกหรือไม่ ถูกหรือไม่ชุนมามา”อี้เหม่ยหรงหันไปทางชุนเจียอีเพื่อหาเสียงสนับสนุน
“อะ…เอ่อ…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉันเพคะ” ชุนเจียอีเอ่ยเสียงแข็ง เรื่องอะไรนางต้องไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วยเล่า สู้นั่งบนภูดูเสือกัดกันจะดีกว่า
“มิเกี่ยวได้เช่นไร ตำแหน่งของท่านคือ นางกำนัลอาวุโสซึ่งเป็นนางกำนัลคนสนิทของไทเฮา ผู้คนจึงเรียกว่ามามา ท่านคงจะใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงแห่งนี้มานาน เรื่องขนบธรรมเนียมนั้นมิอาจไม่รู้ จริงหรือไม่?”
“อะ…เอ่อ…” ชุนเจียอีอึกอัก อี้เหม่ยหรงคงหวังจะว่านางกระทบผู้เป็นนายของนางละสิว่าไม่รู้จักอบรมสั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชา เรื่องนี้จะยอมให้นางลูบคมไทเฮามิได้
“เอาล่ะ เป็นอย่างที่ฮองเฮาว่า อวี้หวงกุ้ยเฟย ข้านั่งฟังอยู่ เมื่อตะกี้ข้าเองก็ได้ยินว่าเจ้าใช้คำพูดที่ไม่ถูกต้องพูดกับฮองเฮา ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรีที่มาจากชนชั้นต่ำ เจ้าเป็นสตรีที่มาจากชั้นสูง แต่อย่างไรเสียก็อย่าลืมว่าตอนนี้นางเป็นฮองเฮา นางอยู่เหนือเจ้า เจ้าต้องให้ความเคารพนาง” ลู่ไทเฮาได้ที ตีทั้งม้าทั้งแพะ นางสาแก่ใจยิ่งนักที่ได้เหยียดหยันชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของอี้เหม่ยหรงและยังได้เหน็บแนมอวี้ไป๋หลาน หวงกุ้ยเฟยผู้เย่อหยิ่งเพราะทะนงตนว่าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากกว่าผู้ใด
อี้เหม่ยหรงหาได้รู้สึกเจ็บใจกับคำพูดของลู่ไทเฮา ก็แค่ยายแก่ปากมาก เมื่อไม่สามารถขัดขวางการเป็นฮองเฮาของนางได้ ก็ได้แต่พูดจาเย้ยหยันชาติกำเนิดของนาง ฮึ! เป็นสตรีจากชนชั้นต่ำแล้วอย่างไร ตอนนี้นางได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่มีศักดิ์สูงสุดในแผ่นดินแคว้นฉาง ( หากไม่นับไทเฮานะ) อีกอย่าง…ตำแหน่งฮองเฮาที่เหล่าสนมพากันจับจ้องตาเป็นมันอยู่นี้นางก็ไม่เคยคิดอยากได้
“หม่อมฉัน อวี้หวงกุ้ยเฟย ขอประทานอภัยที่เผลอใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมกับฮองเฮาเพคะ” อวี้ไป๋หลานจำใจคุกเข่าเอาหัวโขกพื้นสองสามทีพอเป็นพิธีเพื่อให้ดูเหมือนว่านางนั้นสำนึกผิดจริงๆ
“ลุกขึ้นเถิด หวงกุ้ยเฟย เรื่องแค่นี้ข้าไม่ติดใจหรอก มันเป็นเรื่องที่หาสาระอันใดมิได้ เรื่องที่พวกเราควรให้ความสนใจมากที่สุดในตอนนี้ควรเป็นเรื่องความเป็นอยู่และปากท้องของราษฎร พวกเราอยู่ภายในวังหลวงกินอยู่สุขสบาย แต่คนข้างนอกกลับใช้ชีวิตลำบากยิ่งนัก”
“ฮึ! เป็นสตรี ห้ามก้าวก่ายราชกิจ กฎข้อนี้ฮองเฮาไม่รู้รึ?” ลู่ไทเฮาทำทีเป็นพูดเสียงแข็ง
“หม่อมฉันมิได้ก้าวก่ายราชกิจอันใด เพียงแต่เป็นห่วงชาวบ้านตาดำๆที่ไม่มีกินเพคะ” อี้เหม่ยหรงแก้ต่าง
“อ้อ! จริงสิ ข้าลืมไปว่าฮองเฮามีพื้นเพมาเช่นไร คงจะเข้าใจหัวอกคนพวกเดียวกันดีสินะ” ลู่ฝูหลันรู้สึกสาแก่ใจทุกครั้งที่ได้เหยียดหยันชาติกำเนิดของอีกฝ่าย
หากแต่อี้เหม่ยหรงกลับไม่รู้สึกใดๆกับคำพูดดูถูกนั้น นางรู้ดีอยู่ว่าวันนี้จะเจออะไรบ้าง นับจากก้าวแรกที่นางเดินเหยียบย่างออกมาจากพระตำหนักเหมยกุ้ยนางก็รู้แล้วว่าวันนี้ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ
อี้เหม่ยหรงหรี่ตาลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้ก่อนที่นางจะมาที่นี่
“เหตุใดวันนี้ฮองเฮาจึงไม่ใส่อาภรณ์สีแดง วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผู้ที่เป็นประมุขแห่งวังหลังควรจะใส่สีแดงเข้มให้ดูมีพลัง?” พอลู่ไทเฮาเอ่ยปากถาม อี้ฮองเฮาก็ยิ้มออกมาทันที ในที่สุดนางก็ได้ตัวผู้บงการแล้ว แล้วจะหาว่านางไม่เป็นมิตร ไม่อ่อนน้อมไม่ได้นะ แต่ที่แน่ๆคือนางนั้นไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด
“ทูลไทเฮา เพราะหม่อมฉันเป็นสตรีชาวบ้าน ต้องตรากตรำทำงานกลางแดด ทำให้ผิวพรรณดูกระด้าง มิใช่ผิวขาวนวลเหมือนสตรีชาววังหรือสตรีที่มาจากชนชั้นสูง หม่อมฉันลองสวมอาภรณ์ทุกชุดแล้ว ชุดสีแดงเลือดนกนั้นดูไม่เหมาะกับหม่อมฉันเพคะ”
“ไม่เหมาะอย่างไรเพคะ?” เป็นชุนเจียอีอีกแล้วที่อดใจไม่ไหว เผลอกระแทกเสียงถามออกมาจนได้
“เพราะหม่อมฉันใส่แล้วดูคล้ำลง ดูหม่นหมอง ดูไม่มีสง่าราศี หม่อมฉันเป็นฮองเฮาโดยการว่าจ้างเพื่อดึงชะตาของแคว้นฉางให้พ้นจากเภทภัยต่างๆ หากตัวหม่อมฉันแลดูหม่นหมอง ไม่มีสง่าราศีก็เกรงว่าแคว้นฉางของพวกเรานั้นจะไม่พ้นภัยต่างๆในเร็ววันนะสิเพคะ ทั้งหมดทั้งมวลหม่อมฉันคิดเผื่อแผ่นดินของเรานะเพคะ”
ลู่ฝูหลันรู้สึกคับแค้นใจยิ่งนัก แผนการทำให้อี้เหม่ยหรงต้องเสียหน้ากลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนอื่นๆเป็นต้องพังลงไปสินะ ที่น่าเจ็บใจไปมากกว่านั้นคือถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงไทเฮา แต่นางก็มิอาจซื้อเหล่านางกำนัลและขันทีของพระตำหนักเหมยกุ้ยได้เลยแม้สักคนเดียว พวกเขาช่างภักดีต่อผู้เป็นนายยิ่งนัก ลู่ฝูหลันคิดว่าคนพวกนี้ล้วนต้องเป็นคนของอันอ๋องแน่ๆ
เป็นอย่างที่ลู่ไทเฮาทรงคิดไว้ ฉินอันอ้ายได้มองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง อี้เหม่ยหรงจะอยู่รอดปลอดภัยในวังหลังหรือไม่นั้นส่วนหนึ่งก็มาจากบ่าวรับใช้ หากมีบ่าวที่ซื่อสัตย์นางย่อมมีทางรอด แต่หากพวกเขาเหล่านั้นเป็นพวกบ่าวขายนายมันก็ยากที่นางจะอยู่รอดได้
ตามธรรมเนียมนิยม ในวันอาทิตย์ฮองเฮาซึ่งเป็นประมุขแห่งวังหลังจะนิยมสวมใส่อาภรณ์สีแดง อาจจะเป็นสีแดงสด สีแดงเลือดนก หรือสีแดงเข้ม เช้านี้อี้เหม่ยหรงก็ได้ลองสวมใส่ชุดสีแดงเลือดนกนั้น อาจจะเป็นโชคดีของนางที่หลังจากที่ล้มหน้าคว่ำลงไปพอลุกขึ้นได้และกำลังจะก้าวขาพ้นขอบประตู ตะเข็บด้านข้างของอาภรณ์บริเวณใต้รักแร้นั้นก็ได้หลุดลุ่ยออกมา แสดงถึงความไม่พิถีพิถันในการตัดเย็บ หรืออาจจะเป็นการกลั่นแกล้งให้ผู้สวมใส่ต้องเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัลก็เป็นได้ เมื่อเป๋าเจียงเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบเตือนอี้เหม่ยหรง พร้อมกับนำอาภรณ์ต่างๆที่ห้องภูษาส่งมาให้ทั้งหมดมาตรวจดูก็พบว่าชุดของฮองเฮาแห่งแคว้นฉางมีปัญหาเดียวกันถึงเจ็ดชุด มีเพียงอาภรณ์สีม่วง สีเหลืองอ่อนและสีเขียวตองเท่านั้นที่ไม่มีปัญหาอย่างที่ว่า เป๋าเจียงเหมยจึงตัดสินใจให้ผู้เป็นนายสวมใส่อาภรณ์สีม่วงเข้มแทน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ลู่ฝูหลัน , ชุนเจียอี และลู่อิงเหยาทำสีหน้าไม่พอใจ
เพราะอี้เหม่ยหรงหกล้มก่อนหน้าจึงทำให้ตะเข็บของชุดที่สวมใส่หลุดรุ่ยก่อนถึงเวลาเข้าเฝ้าไทเฮา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางต้องเปลี่ยนชุดใหม่และได้รู้ความจริงอะไรบางอย่าง
‘พวกนางเล่นงานข้าตั้งแต่ยังไม่ได้เจอหน้ากันซะด้วยซ้ำ แบบนี้จะให้ข้าปล่อยผ่านได้อย่างไร อ้อ! คนของห้องภูษาอีก อย่านึกนะว่าข้าจะให้ปล่อยผ่าน ข้าอยู่ในส่วนของข้า ไม่ก้าวก่าย ไม่เบียดเบียน ไม่หาเรื่องผู้ใด เป็นพวกเจ้าเองที่อยู่ไม่สุข เพียงแค่ปีเดียวเหตุใดพวกเจ้าถึงอดทนรอไม่ได้ ข้าเองก็ไม่อยากอยู่นักหรอกในวังหลวงนี่ ฮึ! หลังจากนี้หนึ่งปีข้าก็จะไปแล้ว เชิญพวกเจ้าฆ่าฟันห้ำหั่นกันให้พอใจ’ อี้เหม่ยหรงนึกพลางทอดถอนใจ
พระจันทร์กลมโตสีเหลืองนวลแขวนตัวอยู่เหนือทิวต้นอิงฮวาที่อยู่ริมพระตำหนักสาดแสงนวลกระจ่างทั่วบริเวณวังหลวงยามค่ำคืน อี้เหม่ยหรงนั่งทอดถอนใจอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย สายตามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง
ภายใต้เงากระเบื้องหลังคาของพระตำหนักต่างๆและภายในแนวกำแพงอิฐสูงใหญ่ของวังหลวงแห่งนี้ สตรีมากหน้าหลายตาต่างดิ้นรนอยากจะมา ‘เสี่ยงดวง’ ที่นี่
ว่ากันว่า…วังหลังคือสถานที่กลืนกินผู้คน สตรีจำนวนมากที่เมื่อได้เข้ามาอยู่แล้วก็ไม่ได้กลับออกไปอีกเลย แต่ก็มีสตรีหลายต่อหลายคนใฝ่ฝันที่จะได้เข้ามาอยู่ในกรงทองนี้ แย่งชิงความโปรดปรานจากหนึ่งบุรุษผู้อยู่เหนือผู้คนทั้งใต้หล้า แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น วังหลังเป็นสถานที่ดัดนิสัย หล่อหลอม และปรับเปลี่ยนผู้คน จากดรุณีวัยใสจิตใจบริสุทธิ์กลายเป็นสตรีมากเล่ห์ ร้อยมารยาได้ทั้งสิ้น
อี้เหม่ยหรงระบายลมหายใจหนักหน่วงหลายครั้ง นี่นางจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้างนะ นางจะรักษาตัวรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยจนถึงวันที่เป็นอิสระได้หรือไม่ มีผู้คนนับพันอาศัยอยู่ในวังหลวงแห่งนี้แต่เหตุใดหญิงสาวจึงได้รู้สึกโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงาเช่นนี้นะ….คิดถึงท่านแม่เหลือเกิน ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ