เวลาห้าทุ่มกว่า ณ เซเว่นสาขาที่ของขวัญทำงาน วันนี้ของขวัญยังคงเข้ากะดึก เธอมาทำงานและได้ทำเรื่องลาออกไว้แล้ว ตอนแรกก็ไม่อยากจะออก แต่คุณย่าสมพิศไม่ยินยอม ย่าอยากให้ของขวัญเลี้ยงน้องขิมอย่างเต็มที่ ทำหน้าที่หลานสะใภ้ให้เต็มที่ ของขวัญจึงทำตามที่ย่าต้องการ
แม่กับพ่อของเธอได้โฉนดที่ดินคืนเป็นที่เรียบร้อย ช่วงนี้พ่อเธอก็สงบเสงี่ยมไม่ค่อยแอบออกไปเล่นพนัน ก็ไม่รู้ว่าจะทนได้นานสักแค่ไหนกัน
ตั้งแต่ไปเจอคุณย่าสมพิศที่บ้านวันนั้น ของขวัญก็ถูกสั่งให้ขนของเข้ามาอยู่ในบ้านธนบดินทร์ได้เลยและห้องนอนที่เธอนอนก็คือห้องของเฮียหนึ่ง ซึ่งของขวัญยังไม่ได้เจอเฮียหนึ่งสักครั้ง เธอเดาว่าเขาคงหลบหน้าเธอ
คนในครอบครัวของเฮียแทบจะดีกับขวัญกันทั้งนั้น ที่ไม่ชอบขวัญแน่ ๆ ก็คงจะเป็นเฮียหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ” ของขวัญเอ่ยทักลูกค้าเมื่อเสียงกริ่งหน้าประตูดัง ขณะนี้เธอปีนอยู่บนชั้นวางเหล้า เนื่องจากดึกมากแล้ว ลูกค้าไม่ค่อยมีก็เลยขึ้นมาจัดเรียงเหล้า
“คิดเงินด้วยครับ” เสียงทุ้มเอ่ย
ของขวัญมองหาเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เธอจึงค่อย ๆ ลงจากชั้นเหล้า มาคิดเงินให้ลูกค้า ลูกค้าวางของที่หยิบมาจากข้างเคาน์เตอร์ ของขวัญหยิบมายิงราคา จากนั้นเงยหน้ามองลูกค้าพร้อมกับแจ้งราคา
“ทั้งหมด 224 บาทค่ะ”
“อื้ม” เขาจ่ายเงินแบงค์พัน เธอรับมาด้วยมือที่สั่น ไม่คิดว่าการเจอหน้ากันจัง ๆ ครั้งแรกจะเจอกันเพราะเฮียหนึ่งมาซื้อถุงยางอนามัยสองกล่องที่ราคากล่องละ 112 บาท ขนาดที่เขาซื้อคือ 56 ระหว่างที่ของขวัญก้มหน้าก้มตาหาเงินทอนด้วยหัวใจที่สั่นไหว เฮียหนึ่งก็จ้องเธอไม่วางตา
ดูท่าแล้วก็ไม่ต่างจากที่เพื่อนและลูกน้องในร้านสาธยาย ค่อนข้างซื่อบื้อ ไร้เดียงสา เห็นแล้วรำคาญลูกตาชะมัด
“เงินทอนค่ะ รบกวนลูกค้าเช็กเงินทอนก่อนออกจากร้านนะคะ” เธอส่งยิ้มเหมือนกับยิ้มให้ลูกค้าทุกคน กฎของการทำงานคือรอยยิ้มและมารยาทที่ดี
บางทีเฮียหนึ่งอาจจะไม่รู้จักเธอก็ได้ เขากับเธอไม่เคยพูดคุยกันสักครั้งนี่นา
“ครบ” เขานับตามที่เธอต้องการ จากนั้นก็ยื่นถุงยางอนามัยหนึ่งกล่องมาตรงหน้าเธอ เสียงทุ้มเอ่ย “ฝากเอาไปเก็บที่ห้องด้วย”
“คะ?” ใจเธอกระตุกวูบ รีบหลบตาเขาอย่างไว
“จะมาเป็นแม่น้องขิมไม่ใช่หรือไง”
“...ค่ะ”
“งั้นก็เอาไปเก็บที่ห้องด้วย ให้พ้นสายตาลูกล่ะ ไม่ใช่ให้ลูกเอาไปเล่น”
“ค่ะ” เธอรับมาแล้วรีบหยิบใส่กระเป๋ากางเกงอย่างไว เขารู้ เขารู้ว่าเป็นเธอเหรอ บ้าเอ๊ยของขวัญ พูดขนาดนี้แล้วเขาก็ต้องรู้สิ
“หึ” เฮียหนึ่งแค่นเสียงในลำคอ มุมปากแสยะยิ้มแล้วเดินออกจากร้านสะดวกซื้อ
ของขวัญมองตามเห็นว่ามีผู้หญิงยืนรอเขาอยู่หน้าร้าน เมื่อเขาเดินออกไปผู้หญิงคนนั้นก็เกาะแขนเขา เดินหายลับตาเธอไป
การที่เขาทำแบบนี้ก็ชัดเจนมากว่าเขาน่ะไม่เต็มใจจะแต่งงานกับเธอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีคนที่รักอยู่แล้วก็ได้ ท่าทีของเขาชัดเจนว่าไม่ยินดีจะแต่งงานกับเธอ เขาคงรังเกียจที่เธอเอาตัวเองมาชดใช้หนี้แทนพ่อแม่ ข่าวลือที่ถูกลือออกไปก็ใช่ว่าเธอจะไม่ได้ยิน ชาวบ้านเขาลือกันทั่วว่าเธอคือสะใภ้ที่คุณนายสมพิศอยากได้ แต่ไม่ใช่เมียที่เฮียหนึ่งอยากได้ ตั้งแต่เริ่มคุย เริ่มเตรียมงานแต่งก็ไม่เห็นหลานชายคนโตกลับบ้าน
ต่อให้รู้ว่าเขาไม่เต็มใจจะแต่ง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นลำพังเธอคนเดียวไม่สามารถยกเลิกงานแต่งที่จะเกิดได้ แม่ของเธอหมดหนี้แล้ว แม่ไม่เป็นหนี้คุณนายสมพิศแล้ว เธอจะกลับลำตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างน้องขิมก็ชอบเธอมาก เธอไม่อยากจะเห็นเด็กน้อยที่น่ารักขนาดนั้นต้องเสียใจ
ในเมื่อไม่อยากให้สักคนเสียใจก็ต้องเป็นเธอเองที่ต้องแบกรับความเสียใจครั้งนี้
“เมื่อกี้ลูกค้ามาเหรอ” เสียงของโอมเพี้ยงที่ขอย้ายกับเพื่อนอีกคนมาอยู่กะเดียวกับของขวัญ
“ใช่ ฉันนึกว่าแกอยู่”
“โทษทีไปเข้าห้องน้ำมา แล้วเป็นไร หน้าซีด ๆ”
“เปล่า ไม่ได้เป็นไร” จะพูดไปได้ยังไงว่าว่าที่เจ้าบ่าวมาซื้อถุงยางอนามัยไปใช้กับผู้หญิงคนอื่น ย่าสมพิศดีกับขวัญมาก ขวัญจะพูดเรื่องของหลานชายย่าจนทำให้เกิดเรื่องเสียหายได้ยังไง กลับกันต้องปกป้องไม่ให้ใครมาว่าร้ายเขาได้
“ยังไงก็ต้องแต่งใช่ไหม” เมื่อเห็นว่าไม่มีลูกค้าและเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็ไปจัดของตามชั้นโอมเพี้ยงจึงเอ่ยถาม
“แต่งสิ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว รอแค่วันงานเท่านั้น โอมก็ไปด้วยนะ”
“อืม ไปดิ ต้องไปอยู่แล้ว” คำที่เคยอยากพูดให้ของขวัญรับรู้ เขาขอเก็บมันไว้ในใจตลอดไปก็แล้วกัน พูดออกไปตอนนี้รังแต่จะทำให้ชีวิตของเธอยุ่งยากมากกว่าเดิม ยังไงซะเขาก็ไม่มีปัญญาใช้หนี้ให้พ่อแม่เธอแบบนั้น ต่อให้ถูกใจ ต่อให้รักเธอมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือเธอแบบที่คนตระกูลนั้นช่วยเธอ แม้ว่าพูดความรู้สึกออกไปแล้ว เธอนั้นตอบรับก็ใช่ว่าจะมีความสุขได้นาน ยังไงซะเขามันก็เท่านี้ ไม่ได้ร่ำรวย มีแต่รักจะช่วยอะไรเธอได้
ความรู้สึกของเขาคงต้องเก็บไว้ในใจตลอดไป