หนึ่ง
ศักดิ์ศรีขององค์หญิง
ค่ำคืนนั้นฮ่องเต้มีราชโองการเลื่อนการจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากแคว้นลี่อย่างกะทันหัน อ้างว่าองค์หญิงประชวรจึงไม่มีพระทัยจัดงานเลี้ยงรื่นเริง
เท่านี้ชัดเจนแล้วว่าองค์หญิงกู่หลันอิงมีน้ำหนักในพระทัยของพระราชบิดามากเพียงไร
ทว่า... บัดนี้ทางคณะทูตจากแคว้นลี่เองก็มีปัญหาบางอย่างที่ต้องจัดการเช่นเดียวกัน
ภายในตำหนักรับรองคณะทูตคล้ายถูกเมฆหมอกสีดำปกคลุม ทหารผู้ติดตามถูกสั่งให้เฝ้ารออยู่ด้านนอก หากไม่ได้รับคำสั่งก็ห้ามเข้ามาด้านในเป็นอันขาด
“องค์ชาย”
ฟ่านอู๋เฉียวยืนอยู่เบื้องหน้าผู้เรียก ทว่าเด็กชายกลับเบนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับไม่ได้ยินเสียงทุ้มดังกล่าว
ชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดมองแววตาดื้อดึงซึ่งถอดแบบมาจากมารดาก็พลันถอนหายใจ “เฉียวเฉี่ยว”
ขวับ!
สรรพนามใช้เรียกที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ฟ่านอู๋เฉียวหันมาถลึงตามองคนเรียกอย่างหัวเสีย “เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามเรียกนามนี้!”
หยวนเซ่าซึ่งสวมชุดลำลองเรียบง่ายเลิกคิ้วพลางกอดอก “ในเมื่อทรงมิได้เป็นใบ้หูหนวก กระหม่อมค่อยเบาใจหน่อย”
ถ้อยคำจิกกัดรังแต่จะทำให้อารมณ์ของฟ่านอู๋เฉียวดำดิ่งลงกว่าเดิม ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านอกจากจะเป็นพระอาจารย์ผู้สอนสิ่งต่างๆ ให้เขาแล้ว อีกฝ่ายยังเป็นถึงน้องชายของมารดาซึ่งรับตำแหน่งรองเสนาบดีแห่งแว่นแคว้น
แต่เนื่องจากหยวนเซ่าไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน วันนี้ทั้งวันเขาจึงปลอมตัวเป็นชาวบ้านเดินสำรวจไปทั่วเมืองหลวง ปล่อยให้ฟ่านอู๋เฉียวทำหน้าที่ราชนิกุลที่ดี โดยการเข้าเฝ้าฮ่องเต้และไปพบว่าที่คู่หมั้น
ยิ่งเมื่อนึกถึงใบหน้าอวบอูมที่พูดจาอวดฉลาดนั่นแล้ว ฟ่านอู๋เฉียวก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเป็นทวีคูณ
“มีอะไรจะพูดก็รีบพูด ข้าจะนอนแล้ว”
“วันนี้กระหม่อมได้รับรายงานจากทหาร เกี่ยวกับพฤติกรรมของพระองค์ที่มีต่อองค์หญิงน้อย” หยวนเซ่าเข้าประเด็นทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา ร่างสูงโปร่งย่อตัวลง ใบหน้าหล่อเหลาสมกับที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนุ่มหน้าหยกอยู่ในระดับเดียวกับผู้ที่อายุน้อยกว่าเขาถึงเก้าปี “ต่อให้ทรงไม่ชื่นชอบการถูกบังคับให้หมั้นหมาย แต่พระองค์จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”
“เพราะนางอัปลักษณ์!”
ผู้ฟังเลิกคิ้ว “เพราะเหตุผลเพียงแค่นั้น องค์ชายถึงกับต้องทำร้ายน้ำใจองค์หญิงเชียวหรือ”
ฟ่านอู๋เฉียวกลอกตาล่อกแล่ก ความจริงเนื้อแท้เขามีความรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่เป็นเพราะได้รับการเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเคยตัว เขาจึงไม่คิดยอมรับว่าตนเองทำผิด “ข้ารังเกียจแววตาถือดีของนาง!”
หยวนเซ่ายืนเต็มความสูงพลางถอนหายใจเสียงดัง “ความสัมพันธ์ของสองแคว้นจะให้มาร้าวฉานด้วยเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไร”
“แต่...แต่ข้า...!”
“ไปขออภัยองค์หญิงเสีย”
ฟ่านอู๋เฉียวแหงนหน้ามองผู้มีศักดิ์เป็นน้า เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ข้าบอกให้องค์ชายเสด็จไปขอโทษองค์หญิงเสีย” รองเสนาบดีหนุ่มกล่าวย้ำอีกหน
“ข้า... ข้าไม่ไป!” เด็กชายเถียงกลับ เรื่องอะไรเขาต้องไปขอโทษนาง
ก็นางอัปลักษณ์จริงๆ เรื่องนี้เขาไม่ได้โกหกเสียหน่อย!
“ดี” คนอายุมากกว่าหรี่ตามองเขา “ตกลงองค์ชายจะไม่เสด็จไปใช่หรือไม่”
การถามย้ำอีกหนส่งผลให้ฟ่านอู๋เฉียวเริ่มมีสีหน้าไม่มั่นใจ ทว่าก็แค่พริบตาเดียวก่อนที่เขาจะสะบัดหน้าไปอีกทาง “ใช่! ข้าจะไม่ไปเด็ดขาด”
“ได้” ในเมื่อไม่สำนึก หยวนเซ่ามองว่าต่อให้ใช้กำลังลากไปก็คงไม่มีประโยชน์ ในทางกลับกันอาจทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงกว่าเดิม
คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็หมุนกายเดินตรงไปที่ประตู
“นั่นท่านจะไปไหน!” เสียงของฟ่านอู๋เฉียวร้องถามอย่างร้อนรน หยวนเซ่าหันหน้ากลับมา
“ในเมื่อองค์ชายไม่ไป กระหม่อมก็จะเป็นคนไปขอโทษองค์หญิงเอง”
เด็กชายรีบวิ่งมาขวางรองเสนาบดี “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษนาง เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“องค์ชาย พวกเราสองคนเดินทางมาที่นี่ในฐานะทูตของแคว้นลี่ หากความสัมพันธ์ของสองแคว้นต้องร้าวฉาน ผู้ที่ต้องรับผิดชอบไม่ใช่พระองค์หรอก... แต่เป็นกระหม่อมที่ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ต่างหาก” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เขารู้สึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้ยอมผ่อนปรนให้หลานชายมาโดยตลอด ถึงฟ่านอู๋เฉียวจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาท แต่ก็ถือว่าได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้มากพอที่จะถูกพะเน้าพะนอจนเสียคน
“กระหม่อมคงต้องไปแล้ว เกรงว่าหากช้าเกินไป องค์หญิงจะเข้าบรรทมเสียก่อน”
แววตาที่แสดงออกว่าผิดหวังในตัวเขา ส่งผลให้ฝ่ามือของคนเป็นหลานเย็นเฉียบ ครั้นชายหนุ่มก้าวออกจากห้อง เสียงทุ้มเข้มก็กำชับกับทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอก
“หากข้ายังไม่กลับมา ห้ามให้องค์ชายเสด็จออกนอกตำหนักเป็นอันขาด”
“ขอรับ ท่านหยวนเซ่า”
ถึงแม้ว่าฟ่านอู๋เฉียวจะเป็นองค์ชาย ทว่าผู้ที่รับผิดชอบการเดินทางโดยแท้จริงก็ยังเป็นรองเสนาบดีหนุ่มซึ่งเป็นที่ไว้วางพระทัยขององค์จักรพรรดิอยู่ดี
หลังจากหยวนเซ่าแจ้งชื่อและตำแหน่งของตนต่อหน้าทหารที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักเซี่ยงรื่อ ชายหนุ่มก็เตรียมรับคำปฏิเสธในการเข้าพบไว้เรียบร้อย
เรื่องนี้จะโทษองค์หญิงก็ไม่ได้ ในเมื่อทางเขาเป็นฝ่ายเสียมารยาทก่อน
แต่ถึงแม้ว่าการมาตำหนักเซี่ยงรื่อในวันนี้จะไร้ประโยชน์ อย่างไรเสียเขาก็ต้องมาเพื่อแสดงความจริงใจให้นางได้เห็น
ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าการคาดเดาของตนเองผิดมหันต์ เมื่อนางกำนัลผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในตำหนักเพื่อชี้แจงการขอเข้าเฝ้าองค์หญิงน้อย
“องค์หญิงเรียนเชิญท่านรองเสนาบดีไปดื่มน้ำชาด้านในตำหนักเจ้าค่ะ”
หยวนเซ่านิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเรียนผู้มาแจ้งแก่ตนด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจเท่าไรนัก “ท่านนางกำนัล”
อี้หลานผินใบหน้ากลับมาพร้อมกับค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม “มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้เจ้าคะ”
“ข้าทราบมาว่าปีนี้องค์หญิงกู่หลันอิงทรงมีอายุครบเจ็ดปีใช่หรือไม่”
นางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงพยักหน้าครั้งหนึ่ง “ท่านรองเสนาบดีเข้าใจถูกต้องแล้ว”
“อ้อ...” ไม่รู้เพราะเหตุใด ชายหนุ่มอายุยี่สิบเอ็ดจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา
จากข่าวสารที่เขาได้รับก่อนหน้านี้ กู่หลันอิงเป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวของฮ่องเต้แคว้นเว่ย ดังนั้นนางจึงได้รับความรักจากครอบครัวและราษฎรอย่างล้นหลาม
ดังนั้นเขาจึงเตรียมใจไว้แล้วว่า นางน่าจะถูกตามใจจนเสียคนไม่ต่างจากฟ่านอู๋เฉียว
ทว่า...อาจเป็นไปได้ว่าการคาดเดาของเขาจะผิดพลาดไป
หยวนเซ่าคิดพลางใช้มือขยับคอเสื้อตนเองให้เรียบร้อย ก่อนจะก้าวตามอี้หลาน เข้าเฝ้าผู้ที่เขาตั้งใจจะมาขอโทษในฐานะทูตของแคว้นลี่