บทนำ
ตั้งแต่เด็ก ท่านอาจารย์มักชมว่านางมีความจำที่ดีและแม่นยำกว่าผู้อื่น
ภาพวาด โคลงกลอน เดินหมาก ดีดพิณ นางล้วนร่ำเรียนได้ไกลกว่าสตรีอื่นในวัยเดียวกัน ภายหลังจึงมีเวลาว่างศึกษาความรู้แขนงอื่นเพิ่มเติม
เนื่องจากมารดาลาจากโลกใบนี้ไปตั้งแต่นางอายุเพียงหกเดือน ผู้ที่เลี้ยงดูนางจึงเป็นนางกำนัล เสด็จพ่อ และเสด็จพี่ทั้งหลาย
วันนี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าโปร่งถูกเกลี่ยด้วยกลีบเมฆสีขาวที่เคลื่อนคล้อยไปมา
ฤดูใบไม้ผลิอากาศเย็นสบาย บุปผาในอุทยานจึงผลิบานชูช่อ กลิ่นหอมหวานละมุนเคล้ากับกลิ่นของน้ำชาที่ส่งควันขาวลอยฟุ้ง
ร่างอวบของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบนั่งอยู่ในศาลาใหญ่อย่างสงบ แก้มป่องเปล่งปลั่งสองข้างมีเลือดฝาดซับสีชมพู ดวงตาเรียวที่ถูกบีบอัดจากแก้มตุ่ยชื่นชมความงามของมวลดอกไม้ที่มีผีเสื้อดมดอม แม้จะเป็นเด็กอายุน้อย ทว่านางเติบโตมาพร้อมกับพี่ที่อายุมากกว่า ทำให้นางคิดและวางตัวเป็น นำหน้าอายุที่แท้จริงไปพอสมควร
“อี้หลาน”
เสียงหวานเล็กเอ่ยเรียกคนที่ยืนอยู่ข้างกาย
“เพคะ องค์หญิง”
กู่หลันอิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ชุดที่สวมใสเป็นสีชมพูอ่อนสดใส ตัดกับผืนหญ้าเขียวขจีด้านนอกศาลา “การเข้าเฝ้าของคณะทูตเสร็จแล้วหรือยัง”
“ทูลองค์หญิง ก่อนหน้าจะเสด็จมาที่อุทยาน ทหารได้มารายงานว่าคณะทูตได้ออกจากท้องพระโรงแล้วเพคะ”
เด็กหญิงกะพริบตาครั้งหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนประหนึ่งว่าเป็นสีทองยามอยู่ในที่แจ้งฉายแววเบื่อหน่าย “ข้าอยู่ที่นี่ได้กี่ชั่วยามแล้ว”
“เกือบสองชั่วยามแล้วเพคะ” อี้หลานตอบอย่างนอบน้อม
กู่หลันอิงพยักหน้าน้อยๆ มิน่านางถึงได้รู้สึกอยากดีดพิณ
นางมักจะฝึกดีดพิณในเวลาเดิมทุกวัน เพราะมันมักจะตรงกับช่วงเวลาที่เหล่าพี่ชายเดินทางกลับมาจากค่ายทหารพอดี
เด็กหญิงคิดพลางปรายตาไปยังภูเขาจำลองหินทางด้านหลัง ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง “เรากลับกันเถิด”
นางกำนัลคนสนิทถึงกับหน้าเสีย “จะไม่รอแล้วหรือเพคะ”
“หากไม่ใช่คนรักษาเวลา ข้าก็ไม่จำเป็นต้องรอ” กู่หลันอิงไม่เพียงพูดเปล่า ร่างอ้วนป้อมหยัดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้
อีกฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่าวันนี้เป็นวันนัดหมายพบกันครั้งแรกในฐานะคู่หมั้น แต่เขากลับเจตนามาช้าโดยไม่ส่งคนมาแจ้ง
ในเมื่อไม่ให้เกียรติกันแบบนี้ แล้วนางจะอยู่รอต่อไปให้เสียเวลาทำไม
กู่หลันอิงไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำสอง อี้หลานก็ค้อมศีรษะรับทันที “ข้าน้อยทราบแล้วเพคะ”
องค์หญิงหนึ่งเดียวในพระราชวังเปรียบเสมือนไข่มุกล้ำค่าของแว่นแคว้น การที่แคว้นลี่ไม่ให้เกียรติผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของที่นี่ พวกนางเองก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารออีกต่อไปเช่นกัน
เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบก้าวเดินอย่างเชื่องช้าโดยมีนางกำนัลสี่คนเดินตามหลัง อี้หลานกางร่มยืนอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งพวกนางล่วงผ่านเขตภูเขาหินจำลอง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงแหลมที่แสดงให้รู้ว่าผู้พูดยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ดึงดูดทุกสายตาให้หันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน
ผู้มาใหม่แต่งกายด้วยชุดที่แตกต่างจากพวกนางโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากยังเป็นเด็กชาย อีกฝ่ายจึงไม่มีกลิ่นอายองอาจของบุรุษให้เห็น ทว่าผิวพรรณหน้าตา จัดเป็นองค์ประกอบที่ลงตัว รับรองว่าเขาย่อมเติบโตเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง
กู่หลันอิงมองเลยไปยังนายทหารแต่งกายแปลกตาที่ยืนถัดออกไป คาดคะเนจากอายุของเด็กชายและจำนวนทหารที่ติดตาม คาดว่าคนผู้นี้คือคู่หมั้นของนางไม่ผิดแน่
“หม่อมฉันกู่หลันอิง ถวายบังคมองค์ชายเพคะ” แม้ร่างกายจะอ้วนกลม ทว่านางกลับสามารถถอนสายบัวได้อย่างงดงามอ่อนช้อย ไร้ที่ติ
ฟ่านอู๋เฉียวยกมือเท้าสะเอว จ้องหน้านางเขม็ง “หึ! เจ้าน่ะหรือองค์หญิงแห่งแคว้นเว่ย”
คำพูดทักทายที่ไร้มารยาท ส่งผลให้เด็กหญิงผู้อายุน้อยกว่ามองเขานิ่ง
นางสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายยืนหลบอยู่หลังภูเขาจำลองมองดูนางนานแล้ว ดูก็รู้ว่าเขาคงทราบว่านางคือคู่หมายของตนเช่นเดียวกัน
“เพคะ”
“เหลวไหลสิ้นดี!” เด็กชายที่สูงกว่านางเท่าหนึ่งเชิดหน้า “สตรีที่อ้วนเป็นหมู แถมยังหน้าตาอัปลักษณ์เยี่ยงเจ้าจะเป็นคู่หมายของข้าได้อย่างไร!”
คำพูดที่ดังจนแทบเป็นเสียงตะโกน ส่งผลให้บ่าวไพร่และข้าบริวารที่อยู่ตรงนี้ต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ทว่าฟ่านอู๋เฉียวกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขายังชี้นิ้วใส่นาง มองด้วยแววตารังเกียจ “จำไว้ให้ดี ข้าฟ่านอู๋เฉียวจะไม่ยอมแต่งงานกับเจ้าอย่างเด็ดขาด ข้าต้องการถอนหมั้นกับเจ้า!”
นางกำนัลผู้ติดตามกู่หลันอิงต่างสะดุ้งไปตามๆ กัน
หมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะถอนหมั้น
หมายความว่าอย่างไรที่องค์หญิงของพวกนางอัปลักษณ์
จริงอยู่ที่กู่หลันอิงมีรูปร่างอวบกลม แต่นางเพิ่งอายุเจ็ดขวบ ในวัยแบบนี้ไม่มีคำว่าน่าเกลียด องค์หญิงของพวกนางมีน้ำมีนวล มีแก้มกลมๆ เช่นนี้น่ารักจะตายไป!
ในขณะที่เหล่านางกำนัลกำลังเดือดดาลจนหน้าแดงก่ำ ผู้ถูกปรามาสกลับวางสีหน้าเรียบเฉย
“องค์ชายเพคะ”
ในที่สุดนางก็ส่งเสียง
ฟ่านอู๋เฉียวมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย เขาคาดหวังจะให้เด็กหญิงอัปลักษณ์ร้องไห้ขี้มูกโป่งจนใบหน้าน่าเกลียดดูไม่ได้ ทว่าผลที่ได้กลับตรงกันข้าม
“หึ... ต่อให้เจ้าขอร้องอ้อนวอนอย่างไร ข้าก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจเป็นอันขาด!” เขายกมือขึ้นกอดอก
กู่หลันอิงส่ายหน้าน้อยๆ “หม่อมฉันไม่คิดจะเปลี่ยนพระทัยขององค์ชายอยู่แล้วเพคะ”
ฟ่านอู๋เฉียวถลึงตามองนาง “แล้วเจ้าต้องการจะพูดอะไร”
“หม่อมฉันมีเรื่องที่ต้องการพูดอยู่สองเรื่อง” นางประสานมือทาบไว้บนท้องกลมของตนเอง มองอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัว “หนึ่ง ที่หม่อมฉัน กู่หลันอิง ไม่ตอบโต้หรือร้องไห้หลังจากได้ฟังถ้อยคำหยาบคาย ไร้ซึ่งการให้เกียรติ ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันไม่โกรธ แต่เพราะหม่อมฉันให้เกียรติพระองค์ในฐานะราชนิกุลและทูตจากแคว้นลี่”
การกระทำเช่นนี้เสมือนตบหน้าอีกฝ่าย นางกล่าวเช่นนี้ไม่ต่างจากพูดอ้อมๆ ว่าองค์ชายแห่งแคว้นลี่ไร้มารยาท ไม่ให้เกียรติคนของแคว้นเว่ย
ทหารที่ยืนออด้านหลังต่างพากันหน้าเสีย แต่เพราะพวกเขาเป็นเพียงข้ารับใช้ ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นหรือสั่งสอน ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ก้มหน้านิ่ง
“สอง หากองค์ชายมีพระประสงค์จะยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย หม่อมฉันย่อมไม่บังคับฝืนพระทัย เพียงแต่อยากให้พระองค์ทรงคิดและไตร่ตรองให้ดี สัญญาการหมั้นหมายครั้งนี้เป็นเรื่องระหว่างแคว้นลี่กับแคว้นเว่ย ที่สำคัญ เสด็จพ่อเคยตรัสกับหม่อมฉันว่า แคว้นลี่เป็นผู้ส่งหนังสือหมั้นหมายมาที่แคว้นเว่ยตั้งแต่หม่อมฉันเพิ่งอายุได้สองขวบ ล่วงผ่านมาห้าปีหากองค์ชายทรงต้องการยกเลิก หม่อมฉันคงต้องปรึกษาเรื่องนี้กับเสด็จพ่อ เพื่อให้ทางแคว้นลี่ชดเชยค่าเสียหาย”
กู่หลันอิงจ้องตาฟ่านอู๋เฉียว แคว้นเว่ยมิอาจถือว่าเป็นแคว้นมหาอำนาจ ทว่ากองกำลังทหารที่แข็งแกร่งก็มิใช่ว่าจะดูเบาได้เช่นกัน
หากคิดจะรังแกนางคนเดียว นางย่อมไม่สนใจ แต่ถ้าคิดจะใช้นางเป็นเครื่องมือดูหมิ่นแคว้นเว่ย นางยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
ฟ่านอู๋เฉียวมองแววตาเอาจริงเอาจังนั่นแล้ว มือของเขาก็พลันเกร็งแน่น มุมปากพลันกระตุกถี่
เด็กหญิงอายุแค่นี้แต่กลับวางมาดใหญ่โต คำหนึ่งก็อ้างแคว้นลี่ สองคำก็อ้างแคว้นเว่ย
คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้ดูฉลาดรึอย่างไร! น่ารังเกียจสิ้นดี!
“ค่าเสียหายบ้าบออันใด ข้าต่างหากที่เสียหาย!” เด็กชายวัยสิบสองปีโกรธจนสีหน้าบิดเบี้ยว “กู่หลันอิง หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นองค์หญิง คงไม่มีใครคิดอยากจะแต่งหมูอัปลักษณ์สติไม่ดีเยี่ยงเจ้าเป็นภรรยา!”
อี้หลานเลี้ยงดูองค์หญิงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ได้ฟังคำปรามาสจากองค์ชายซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็แทบจะทนไม่ไหว
ทว่าอีกฝ่ายเป็นถึงพระราชอาคันตุกะ จึงเสียมารยาทด้วยไม่ได้เป็นอันขาด
หญิงสาวในชุดนางกำนัลกำมือแน่นจนข้อนิ้วขาว ผิดกับกู่หลันอิงที่หรี่ดวงตาจนแทบกลายเป็นเส้นตรง
“แต่หม่อมฉันเป็นองค์หญิง” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบกล่าวเสียงเรียบ “หากองค์ชายตัดสินพระทัยเด็ดขาดแล้วว่าจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย และสิ่งนี้ได้รับการเห็นชอบจากทางแคว้นลี่ ขอองค์ชายได้โปรดร่างหนังสือชี้แจ้งเป็นทางการ เพื่อให้ทางแคว้นเว่ยได้พิจารณาและดำเนินการต่อไป”
ในขณะที่องค์ชายแห่งแคว้นลี่แสดงความไม่พอพระทัยเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของนาง กู่หลันอิงที่อายุน้อยกว่าถึงห้าปีกลับโต้ตอบ... ไม่ใช่ด้วยฐานะของเด็กหญิงที่ถูกรังเกียจ แต่ด้วยฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นเว่ย
ทหารผู้ติดตามฟ่านอู๋เฉียวต่างหันมามองหน้ากัน แม้กู่หลันอิงจะด้อยเรื่องความงดงาม ทว่าสติปัญญาและการระงับอารมณ์กลับอยู่ในระดับที่น่าเลื่อมใส
ต่อไปภาคหน้า หากกู่หลันอิงแต่งงานเข้าสกุลใด นางย่อมสามารถส่งเสริมให้สามีเจริญก้าวหน้า กลายเป็นบุรุษที่ไร้เทียมทานอย่างแน่นอน
“เจ้า... สามหาว!” ฟ่านอู๋เฉียวเดือดดาลเหลือจะกล่าว แต่เพราะคำพูดของอีกฝ่ายสมเหตุสมผลมากเกินไป เขาจึงคิดคำเถียงนางไม่ทัน
เหมือนเช่นเคย กู่หลันอิงยังคงทำหูทวนลม มินำพาต่อสีหน้าและน้ำเสียงโกรธแค้นของคู่หมั้น
“หากทรงไม่มีสิ่งใดจะหารือเพิ่มเติม หม่อมฉันคงต้องขอตัวก่อนเพคะ” นางกล่าวจบก็ถอนสายบัวอย่างงดงาม จากนั้นก็ออกคำสั่งให้นางกำนัลติดตามนางกลับตำหนัก
ปล่อยให้ฟ่านอู๋เฉียวโมโหจนตัวสั่นอยู่ข้างภูเขาจำลองในอุทยานต่อไป
------------