กระบี่คืนสู่คันซอ อาวุธมีคมกลับกลายเป็นเครื่องสาย ที่ลอยล้อทำนองเศร้าสร้อยให้โชยละมัยในอากาศ
ฮุ้นชุนชิวนั่งบรรเลงเพลงซอ ด้วยสีหน้าหม่นหมองเกินกว่าเด็กสาวช่างเจรจาจะเอ่ยคำใดให้ระคาย การระบายความโศกเศร้าผ่านเสียงซอ
อู่จ้าวทำได้เพียงนั่งชันเข่าอยู่ข้างๆมัน ปล่อยใจให้เลื่อนไหลไปกับเสียงจากสายซอ ที่เสียดสีให้ทำนองครวญคร่ำกลบกลืนในห้วงเวลา
แต่แล้วช่วงเวลาแห่งการไว้ทุกข์ ถูกตัดลัดให้รวบสั้น เมื่อกำแพงเหล็กเกิดแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น จนขอบผนังหินเกิดรอยร้าวเป็นเส้นแตกระแหง
" แย่แล้ว แย่แล้ว !...ตาแร้งเฒ่ามันจะพังกำแพงเข้ามาแล้ว " นางผุดยืนร้องลั่น
ทว่าฮุ้นชุนชิวยังสีสายซอ คล้ายไม่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงใดๆในโลกอีก
" นี่เจ้าไม่หวาดกลัวเลยรึ ? …หรือเจ้าคิดว่าสามารถเอาชนะแร้งเฒ่านั้นได้ "
ชายหนุ่มหลับตาพริ้ม มือยังสีคันชักเสียดสีสายหางม้า ส่งทำนองอ้อยอิ่งให้ลอยละมัย ก่อนจะพูดแผ่วเบาเคล้าไปกับดนตรี
" ข้าไม่อาจมีชัยเหนือมันได้หรอก พลังวัตรที่ข้าได้รับยังต้องปรับให้ช่ำชอง มิเช่นนั้นหากใช้ออก คงกระอักโลหิตตายแล้ว "...
" ไอ๊ !...แบบนี้จะทำเช่นไรเล่า !...มันใกล้พังประตูได้แล้วนะ ! "...
โ ค ร ม !.....
เสียงสะท้อนก้องที่กำแพง ทำเอาเด็กสาวสะดุ้งจนตัวโยน
" เมื่อเซียนคฤธรฆ่าข้าแล้ว คงไม่ทำคนไร้วรยุทธอย่างเจ้าหรอก "
คำตอบเรียบง่ายของมัน กระตุ้นโทสะของอู่จ้าวจนใบหน้าแดงซ่าน ….นางชิงชังคนเกียจคร้าน ไม่รู้จักดิ้นรนสู่ชีวิตเป็นที่สุด…
" เจ้ามันคนอกตัญญู ตระบัดสัตย์ รับปากกับพวกท่านผู้อาวุโสจะช่วยเหลือเซียนคฤธร เหตุใดมาล้มเลิกง่ายดายเช่นนี้ แล้วศพของสามผู้เฒ่านี่อีกเล่า หากเจ้าไม่ทำพิธีฝังไหว้บูชา ไหนเลยพวกท่านจะไปสู่สุขติ "
โ ค ร ม !....
ปลายเสียงนางเกิดแรงกระแทกดังสนั่น เข้ามาแทรกเสียงซอของชายหนุ่มจนขาดสิ้น
ฮุ้นชุนชิวชงักมือหยุดการบรรเลง พลางลืมตาขึ้นมองร่างทั้งสามปรมาจารย์ ที่นอนแข็งทื่อไร้ลมหายใจ
" ศิษย์อกตัญญูนักท่านอาจารย์ " ชายหนุ่มกล่าวพลางทรุดเข่าลง แล้วระดมโขกศรีษะคำนับถี่รัว
" เจ้านี่มันจริงๆเลยน่า ! " นางเอ่ยคำด้วยความอ่อนใจ คละเคล้าเข้ากับเสียงโครมครามหลังกำแพง ที่เขยือนเคลื่อนที่มาทีละนิด
" ไม่ได้การแล้ว ! "...
ดรุณีน้อยร้องระทึก ใจก็หวนนึกถึงทางเลือกของค่ายกล ตรงกระบี่อีกด้ามที่ยังอยู่บนแท่นทิศใต้
นางรีบวิ่งไปยังแท่นกระบี่ ท่ามกลางเสียงกระแทกกระทั่นที่ดังถี่ขึ้น ถี่ขึ้น …นางรีบลงมือกดแท่นกระบี่ให้ติดตรึงผนัง แล้วผลที่ตามมาได้ก่อให้ดวงตานางลุกโพลง
เมื่อผนังหินข้างแท่นกระบี่พลันเลื่อนขึ้นเป็นช่องทางกว้าง แสงสว่างสาดส่องมาพร้อมสายลมเย็นชื่น
" วู้ว !...เรารอดแล้วพี่ชุนชิว !..."
นางกู่ร้องเริงร่า ขณะมองบรรยากาศภายนอกอันอุดมด้วยแมกไม้เขียวขจี มีลำธารใสเย็นเลื่อนไหลอยู่ข้างผาหิน ถัดไปจึงเป็นแนวป่ากว้างใหญ่สุดสายตา
พอฮุ้นชุนชิวเดินตามมาสมทบ สีหน้ามันจึงแช่มชื่นขึ้นจากเมื่อครู่เป็นไหนๆ
" เป็นสถานที่ปลอดโปร่งยิ่ง เหมาะสมกับการฝั่งร่างของสามปรมาจารย์นัก "
" ห๊ะ !...เจ้านี่ !...แทนที่จะรีบหนีไปให้ไกล ยังจะมาวุ่นวายกับคนตายอีก "...
เสียงของเด็กสาวคล้ายสายลมแผ่วผ่าน ไม่กระดิกหูฮุ้นชุนชิวสักน้อยนิด ชายหนุ่มเร่งรีบขนย้ายร่างทั้งสามปรมาจารย์ มาไว้ยังหน้าปากทางเข้า ทั้งที่กำแพงเหล็กด้านตรงข้ามกำลังสั่นกระเพื่อม ด้วยแรงปะทะอันทรงพลังไม่หยุดหย่อน
" เราปล่อยให้ทางออกเปิดไว้อย่างนี้ไม่ได้นะพี่ชุนชิว ไม่เช่นนั้นถูกตาแร้งเฒ่าฉีกทึ่งร่างแน่ ! "...
" ไม่มีอันใดยากหรอกน้องชาย "
ฮู้นชุนชิวระบายคำเรียบง่าย เช่นเดียวกับท่วงท่าผ่อนคลายที่มันตวัดฝ่ามือเพียงแผ่วเบา ก็ส่งพลังวัตรฝ่าอากาศเข้าดึงดูดแท่นกระบี่ดึงออกจากผนัง มาตั้งสนิทยังตำแหน่งเดิม
ทันทีนั้นกำแพงหินหนักอึ้งได้ตกลงมากระแทกพื้นดัง โ ค ร ม !....
กลับกลายเป็นภูผาไร้ช่องทางออกดั่งเดิม
" น้องชาย เจ้ายอดเยื่ยมจริงๆ สามารถหาช่องทางเปิดประตูกลได้ หากแถวนี้มีร้านขนม ข้าจะซื้อให้เจ้าเป็นรางวัล "...
" ชิ !...ข้าไม่ใช้ทารกนะ จะได้ชมชอบขนมหวาน ! "...นางกล่าวแย้มยิ้มพริ้มพราย รู้สึกเบิกบานขึ้นมาท่วมท้น เมื่อเห็นฮุ้นชุนชิวถอนตนจากความโศกเศร้าออกมาแล้ว
" ถ้าเช่นนั้น เป็นอันว่าข้าติดหนี้เจ้าครั้งหนึ่งแล้ว หากเจ้าต้องการช่วงใช้ให้ข้าทำอะไร ข้าพเจ้าย่อมกระทำสุดความสามารถ " ฮุ้นชุนชิวกล่าวไปกับรอยยิ้มบางๆ พลางล้วงมือเข้าอกเสื้อ หยิบเอากังหันเด็กเล่นยื่นส่งให้นาง
" คิก คิก คิก…เจ้านี่ประหลาดจริง ใช้กังหันแทนหนังสือสัญญาอย่างนั้นรึ " นางพูดระรื่น พร้อมกับรับกังหันมาเมี่ยงมองอย่างอบอุ่น
" น้องชายเจ้าหาที่นั่งพักผ่อนชั่วครู่เถิด รอให้ข้าทำพิธีกลบฝั่งร่างทั้งสามปรมาจารย์ให้เรียบร้อย แล้วเราค่อยหาทางออกจากที่นี่ดีหรือไม่ "
" อันนี้เจ้ากระทำให้ข้าเองนะ ข้าไม่ได้ช่วงใช้ สัญญายังต้องอยู่เหมือนเดิมนะ "
" เจ้านี่สมเป็นบุตรพ่อค้าใหญ่จริงๆ ไม่ยอมเสียเปล่าสัญญาซื้อขายเลย "
" แน่นอนอยู่แล้วพี่ชาย สัญญาของยอดฝีมืออย่างท่านต้องมีค่าควรเมืองเชียว ข้าไม่ยอมให้สูญเสียไปง่ายดายนักหรอก "
นางระบายรอยยิ้มซุกซน พร้อมเป่าลมจากปากให้กังหันหมุนวนไป….
…อัสดงทอแสงเรื่อเรืองจับขอบฟ้า
อาบไล้ไอหงอยเหงาเคล้าคลอเข้ากับหลุมศพทั้งสามปรมาจารย์ ที่เพิ่งกลบฝังมาดๆ รู้สึกคล้ายพลังชีวิตได้ติดตามไปกับดวงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าในพริบตา
พอเสร็จสิ้นธุระกับร่างปรมาจารย์ ฮุ้นชุนชิวก็นั่งนวยนาดกับพื้น แล้วจับคันซอขึ้นบรรเลงทำนองเศร้าสร้อย ให้ลอยเลื่อนไปถึงปรภพ
ฮุ้นชุนชิวจ่อมจมกับอารมณ์หม่นมัวอยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม กว่าจะฟื้นสติขึ้นมาเห็นอู่จ้าวนั่งหลับพิงโคนไม้ใหญ่
มันมองใบหน้าอ่อนหวานงดงาม ของเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
ยิ่งมองเนินนาน หัวใจมันยิ่งเต้นระทึกอย่างไม่เคยปรากฏ
…" หรือพลังวัตรของทั้งสามอาจารย์ก่อกวนให้อวัยวะภายในผิดแปลกไป "...ชายหนุ่มไม่อาจหาคำตอบได้แน่ชัด เพียงรู้แต่ว่า ไม่อาจคลาดสายตาจากใบหน้างามนั้นได้เลย
" ใบหน้าข้ามีอะไรติดอยู่รึพี่ชุนชิว ถึงได้จ้องไม่วางตาเลย ! "...แรกลืมตาตื่น นางก็เสียดแทงคำพูด ทะลุทะลวงใจเข้าแล้ว
ชายหนุ่มได้แต่อึกๆอักๆ แถไถแก้ตัวไป " ข้าพเจ้าแค่มองคุณชายตกยากอย่างไรเล่า ทั้งสกปรกทั้งหิวโซ ใช่ว่าจะได้พบเห็นง่ายดายนัก "
" แหม !...ถ้ารู้ว่าข้าหิวโหย แล้วเจ้าจะไม่บรรเทาเภทภัยในกระเพาะข้าเลยรึ ? "
" เรื่องนั้นง่ายดายยิ่ง ในลำธารมีปลาน้อยใหญ่อยู่ไม่น้อย คงพอแก้ไขโรคหิวโหยได้อยู่ละมั้ง ! "
" ห๊ะ !...นี่ท่านจะเปลือยกายจับปลาอีกแล้วรึ ! " นางรีบผุดลุกนั่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แทบจะทะลุออกนอกเบ้า
" ฮี ฮึ ฮึ…เพียงแค่จับปลา ไม่จำเป็นต้องลงน้ำหรอกน้องชาย ! "
ฮุ้นชุนชิวกล่าวรวบรัด พร้อมกับชักกระบี่อ่อนออกจากคันซอ แล้วลอยละลิ่วไปยังลำธารใสที่ห่างไปสิบกว่าเซียะ
ชายหนุ่มเผ่นพลิ้วดั่งปักษาปีกเขียวอ่อน โฉบผ่านผิวน้ำไปยังเชิงผาอีกฝั่ง แล้วพลิกตัวส่งเท้าดีดเนินผา ผลักส่งร่างมันกลับ ให้พวยพุ่งเหนือผิวน้ำไปกับกระบี่อ่อนที่สะบัดแทงใส่น้ำสามสี่ครา ก่อนจะทะยานกลับมาหานาง พร้อมมีปลาเกล็ดเทาสามตัวถูกเสียบแทงอยู่ในตัวกระบี่
" โห้ !...พี่ชุนชิวเก่งจังเลย เราไม่อดตายแล้ว ! "...เด็กสาวหัวร่อดีใจ ดวงตาวับวาวมองปลาตัวอ้วนพีไม่กระพริบ
ฮุ้นชุนชิวมองท่วงท่าดีใจของนางแล้วรู้สึกปลาบปลื้มใจตามอย่างประหลาด มันปลดปลาออกจากกระบี่ด้วยรอยยิ้มกว้าง ล้วงเอาหินจุดไฟจากอกเสื้อ ยื่นส่งให้นางด้วยใบหน้าแดงซ่านไม่รู้ตัว
" เจ้าตระเตรียมก่อไฟนะน้องชาย ประดี๋ยวข้าจะไปจับปลามาเพิ่ม " วาจาไม่ทันจาง มันก็โลดแล่นไปดั่งสายลมโชย
" เดี๋ยว ๆ พี่ชุนชิว แล้วหินนี่มันใช้ยังไงล่ะ ? " นางตะโกนไล่หลัง ตาก็มองหินไฟในมืออย่างงงงวย
คุณหนูผู้มั่งคั่งแห่งตระกูลคหบดีใหญ่ ไหนเลยจะรู้จักเครื่องมือหุ่งหาอาหารของบ่าวไพร่
เหตุผลเรียบง่ายแบบนี้เป็นผู้ใดก็เข้าใจท่องแท้ แต่กับฮุ้นชุนชิวดูจะไม่อยู่ในความนึกคิดสักนิด
ยิ่งเวลานี้ลมปราณมันอึดอัดแปรปรวน คล้ายชีพจรกำลังดีดดิ้นไปทั้งร่าง เกรงว่าพลังวัตรของสามปรมาจารย์จะแกร่งกล้าเกินไป จนชายหนุ่มวัยยี่สิบจะไม่อาจผสานรวมได้ง่ายดาย
ฮุ้นชุนชิวเลือกที่จะเคลื่อนขยับกาย ท่องไปในนภา ขณะโคจรลมปราณสลับไปมา หวังจะคลี่คลายความอึดอัดที่บีบรัด
ชายหนุ่มทุ่มเทท่าร่างวิชาตัวเบา โลดแล่นเหนือสายน้ำ ใช้เท้าดีดสะท้อนโขดหิน ส่งร่างกายไปมาระหว่างสองฝั่งลำธารใส่
การกระทำเยี่ยงทารกน้อยของมัน ส่งผลให้ชีพจรโคจรได้คล่องแคล่วโปร่งโล่ง พอคลายกระแสปั่นป่วนในร่างได้บางส่วน
ชายหนุ่มตะโกนร้องปลาบปลื้ม พร้อมโลดแล่นเหนือผิวน้ำไปกับกระบี่ที่ตวัดแทงปลาอีกสามสี่ตัวไว้ ก่อนจะโลดลิ่วคืนสู่ฝั่ง
ทว่ามันลอยตัวมาได้แค่ครึ่งทาง เสียงเอ็ดตะโรของเด็กสาวได้แผดดัง จนมันต้องรีบเร่งทะยานไปหา
" ช่วยด้วย !...ช่วยด้วย !... พี่ชุนชิวท่านอยู่ไหน ? "...
ทันทีที่ชายหนุ่มย่างเท้าลงพื้น แสงไฟอันผ้าวร้อนได้เข้ามาทักทาย จนมันละอุอ้าว
" นี่เจ้าทำอะไรน้องชาย ? "
" ข้าก่อไฟอย่างที่เจ้าบอกอย่างไรเล่า ! "
นางตาลีตาลานร้องเสียงหลง มาเกาะแขนชายหนุ่มด้วยความหวาดกลัว รีบถอยหนีต้นไม้ใหญ่ที่มีไฟลุกโพลงไปถึงยอด ที่ดูคล้ายต้นไม้ปีศาจในนรกภูมิก็ไม่ปาน
" ทำไมไฟมันถึงลุกลามถึงเพียงนี้ ? "
" ก็ข้าจุดหินไฟเท่าไรก็ไม่ติด เลยนึกได้ว่าข้ามีน้ำมันหอมของชาวอาหรับติดตัว เลยลองใช้ดู พอเคาะหินไฟเท่านั้นล่ะ ประกายไฟมันติดขวดน้ำมันเป็นไฟโพลง ข้าตกใจเลยเตะมันไปส่งๆ ที่ไหนได้ มันดันไปติดต้นไม้ใหญ่จนไฟลุกลามขนาดนี้ ! "
...น้ำเสียงแตกตื่นกับสีหน้าซีดเผือก ก่อความขบขันจนฮุ้นชุนชิวหัวร่อ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…
" ไฟโหมรุนแรงขนาดนี้ ไม่ต้องเสียบไม้ย่างปลาแล้วน้องชาย " ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง กล่าวกับเด็กสาวด้วยเสียงหัวเราะระรื่น
" แค่เดินผ่าน เนื้อปลาก็สุกพอให้รับทานได้แล้ว…ฮ่า ฮ่า ฮ่า…"