หัวใจในกระบี่

2797 Words
" ชุนชิวเจ้าอย่าได้ขยับเขยื่อนตัว ถึงจุดสำคัญยิ่ง หากเจ้าเคลื่อนไหว พวกเราทั้งหมดต้องถูกธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว "... เซียนมัจฉาขึ้นเสียงปราม เมื่อพบว่าฮุ้นชุนชิวกำลังถอนพลังตระเตรียมจู่โจม ฮุ้นชุนชิวรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่ง ขณะเห็นอาจารย์ตนห่ำหันวิชากับเซียนวิปลาส…. มันคิดกระโดดเข้าช่วยเหลือ แต่พลังวัตรของสองเซียนเพิ่มไหลทะลักถาโถม จนมันไม่อาจกระดิกกระเดี้ยกาย ซ้ำร้ายทั่วทั้งภายในมันลั่นแปรบปราบ ดั่งมีกระแสไฟล่ามไหลทั่วร่าง พลันนั้นมันสติพร่าเลือน รู้สึกโปร่งเบาคล้ายไร้รูปร่าง… โดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า ไม่ใช่เพียงความรู้สึก หากกายมันได้ลอยตัวขึ้นจากพี้น ที่ละน้อย ที่ละน้อย จากแผ่วเบา ค่อยลอยสูงขึ้นทั้งที่ฝ่ามือของสองเซียน ยังคงประกบแน่นถ่ายพลังไม่หยุดยั้ง " โฮ้ !...นี่ข้าฝันไปหรือไร ? "... ดรุณีน้อยร้องเสียงหลง เมื่อเห็นฮุ้นชุนชิวลอยตัวสูงจากพื้นสิบกว่าเซียะ นางยิ่งตื่นตะลึงเบิกตาโพรง เมื่อได้เห็นการประลองของสองเซียน ที่ร่ายกระบวนท่าพราวพรายราวรูปเงาภูตพราย เซียนกระเรียนมรกตใช้เพลงกระบี่เฉวียน9ชั้น ถึงขั้นใช้ออกได้ดั่งใจ ร่ายไหวโดยไร้กระบวนท่า ปลดปล่อยไปตามสภาวะไม่จำเป็นต้องควบคุม เหตุนี้จึงสามารถรับมือกับเซียนวิปลาสฟั่นเฟื้อน ได้เนินนานถึงเพียงนี้ จะอย่างไรเซียนคฤธรจัดเป็นอัจฉริยะเชิงยุทธโดยแท้จริง เมื่อไม่สามารถหักล้างด้วยกระบวนท่าได้ มันจึงทุ่มเทพลังวัตรฝ่าอากาศ รุกไล่เฒ่ากระเรียนที่ร่ายกระบี่คุ้มกันกาย สองแรงปะทะเกิดเป็นกระแสลมโหม จนฝุ่นหินลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ทำเอาอู่จ้าวต้องเขยิบตัวหนีพร้อมกันใช้แขนกั้นบังสายตา " เพลงกระบี่วนไปเวียนมาของเจ้า มันกลอกกลิ้งยิ่งนัก ลองชมเพลงกระบี่ของข้าบ้างเป็นไร ! "... เซียนคฤธรกระโดดไปยืนอยู่กลางห้อง แผดร้องลั่นพลางส่งกระแสลมปราณ จนรู้สึกถึงไอร้อนแผ่ละอุรอบกาย " ผิดท่าแล้ว ! …" เซียนกระเรียนร่ำร้องในใจ เมื่อเห็นเซียนวิปลาสตระเตรียมใช้วิชาผนึกเดือนตะวัน ดึงดูดกระบี่สำริดนับสิบมาใช้เป็นอาวุธ แต่แทนที่เซียนกระเรียนจะล่าถอย กลับใช้ชั่วอึดใจพวยพุ่งเข้าใส่ด้วยกระบวนท่าแลกชีวิต เช่นเดียวกับเซียนคฤธรขยับสองแขนวูบ กระบี่บนแท่นทั้งห้องพลันถูกพลังวัตรควบคุม จนสั่นสะเทือนอยู่บนแท่นชั่วครู่ ก่อนเหล่ากระบี่จะลอยขึ้นฟ้ามาวนเวียนอยู่รอบตัวเซียนแร้ง จากนั้นจึงพุ่งทะยานเข้าใส่เซียนกระเรียน ดั่งสายน้ำกระบี่ท่วมทะลักคมวาววับหา เซียนกระเรียนพลันต้องพลิกกระบวนท่า กลับมาตั้งรับกระบี่เล่มแล้วเล่มเล่าที่ถาโถมตามติดไม่ขาดสาย เซียนคฤธรใช้วิชาลึกล้ำยิ่งนัก สามารถใช้พลังวัตรควบคุมอาวุธมีคมให้บินลอยกรีดเฉือนจากระยะไกล ดั่งพายุกระบี่เหาะเหินกระหายโลหิต จู่โจมจุดตายของเซียนกระบี่ไม่หยุดยั้ง อู่จ้าวตื่นตะลึงมองกระบึ่ที่ลอยไปลอยมาอย่างไม่เชื่อสายตา หมื่นพันปาหี่ที่นางเคยดู ยังเทียบไม่ได้กับการได้เห็นยอดวรยุทธประลองฝีมือ แต่แล้วเด็กสาวพลันนึกคิดอะไรขึ้นมาได้ เมื่อเห็นว่ายังมีกระบี่อีกสองเล่มวางอยู่บนแท่น ไม่กระดิกกระเดี้ยแม้แต่น้อย สองกระบี่โบราณนั่น ด้ามหนึ่งอยู่ติดผนังทิศเหนือ อีกด้ามอยู่ทางตะวันตก …ตำแหน่งของกระบี่สะกิดให้นางแหง่นมองภาพค่ายกลบนผนังอีกครั้ง … " ใช่แล้ว !...ค่ายกลแปดทิศ !..." นางกู่ร้องในใจ พลางขบคิดถึงหลักการของค่ายกลที่ถูกวางไว้ในห้อง ค่ายแปดทิศมาจากคัมภีร์อี้จิง แต่ละทิศมีห้าธาตุร่วมผสาน แต่ละธาตุจะเพิ่มลด ถ่ายเทไปตามตำแหน่งการเคลื่อนไหว นั้นหมายความว่าการลื่นไหลไปสู่ทางเข้ากับทางออก " กลไกปิด เปิดช่องทางอย่างนั้นรึ ! " ทันทีที่นางล่วงรู้ความลับ เซียนกระเรียนก็เพรี่ยงพร่ำให้กระบี่บินสี่สิบกว่าเล่มเข้าแล้ว มีเล่มหนึ่งพุ่งเฉือนเข้าที่แขนซ้าย อีกเล่มสะบัดฟันเข้าที่ขาขวา อีกเล่มแทงทะลวงเข้าที่ช่องท่องน้อยไปครึ่งด้าม เซียนกระเรียนร้องร่ำเจ็บปวด ขณะเซถอยหลัง พร้อมทั้งตวัดกวัดแกว่งต้านรับ " ท่าจะไม่ดีแล้วมั้ยล่ะ !...ถ้าเซียนกระเรียนเสียท่ามากกว่านี้ มีหวังทุกคนต้องตายกันหมดแล้ว ! "... เด็กสาวกระตุ้นเตือนตัวเอง ขณะเซียนกระเรียนมือไม้ปั่นป่วน เรี่ยวแรงถดถอย เคลื่อนขยับไปจนหลังชิดติดผนังหิน หัวใจอู่จ้าวเต้นระส่ำดั่งกลองรัว เมื่อตกลงปลงใจจะกระทำแผนเดียวที่นางคิดออก เด็กสาวตัดสินใจร่อนชาร์แครมออกทางช่องประตูทางเข้ามา เกิดเสียงดัง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง….เมื่อวงแหวนมีคมชนกระทบหิน ด้วยเรี่ยวแรงอันอ่อนด้อยของนาง ทำให้อาวุธร่อนไปดั่งเศษเหล็ก กระทบกระทั่งโดยไร้คมระคายเข้าก้อนหินสักนิด แต่เสียงที่ดังแผ่วเบาก็เพียงพอให้เซียนคฤธรเสียสมาธิ เหลียวมองทางออกวูบหนึ่ง " สมณะเสวี่ยนจั้ง ข้าพเจ้าอยู่นี่ ท่านพาพระจากวัดเสี้ยวลิ้มยี้มาช่วยเหลือแล้วใช่หรือไม่ ! "... นางตะโกนก้อง โดยเฉพาะกับชื่อสมณะเสวี่ยนจั้งยิ่งแผดดังเป็นพิเศษ การแอบอ้างชื่อกระเดื่องดังทั่วหล้า นับว่าได้ผลยิ่งนัก แม้แต่เซียนคฤธรยังต้องชะงักการลงมือ แล้วชะเง้อมองไปทางช่องทางออกอย่างหวาดระแวง ชั่วอึดใจที่มันหยุดมือ กระบี่ทุกเล่มที่ลอยวนกลางอากาศ ได้ตกกระทบลงพื้นดัง เคร๊งๆ คร๊าง ๆ…ลั่นห้อง " สมณะเสวี่ยนจั้งอย่างนั้นรึ เด็กน้อย ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า…มันมาจะมีประโยชน์ใด มันก็แค่พระคร่ำครึกตำรา ไร้วรยุทธติดกาย จะมาช่วยอันใดเจ้าได้ …! " เซียนคฤธรกล่าวห้าวหาญ ทั้งที่ในตาหรี่ปรือ เพ่งมองทางออกอย่างไม่วางใจ " ท่านนี่มัวงมงายอยู่แต่ในภูเขากระมั้ง ถึงไม่ล่วงรู้ ว่าฮ่องเต้ ถังไท่จง ได้ทรงก่อตั้งหน่วยองครักษ์ให้สมณะหลวงแห่งต้าถัง ตั้งหลวงจีนยอดฝีมือ และขุนศึกอีกหลายสิบคนไว้คอยอารักขา ถ้าท่านรักตัวกลัวตาย ก็รีบคุกเข่ายอมจำนนเถิด " เด็กสาวกล่าวด้วยใบหน้าระรื่น หากแฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันท่วมท้น " ชิ !...เจ้าผายลมสุนัขอันใด เหล่าฝีมือปลายแถวพวกนั้น มีอันใดให่ข้าเกรงกลัว !..." สิ้นเสียงตะหวาดกร้าว เงาร่างทมึนดำได้โจนทะยานดั่งพายุมฤตยู พุ่งทะลวงออกสู่ปากทาง " ต้องรีบแล้ว !..." อู่จ้าวรีบวิ่งไปยังแท่นกระบี่ทิศเหนือ ด้วยอารมณ์ระทึก นางทั้งขยับยกแท่น ทั้งโยกซ้าย โยกขวา แต่แท่นกระะบี่ไม่เขยื่อนเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย …. " เจ้าเด็กปีศาจ ! เจ้าหลอกลวงผู้เฒ่าอย่างนั้นรึ ! "... เสียงกัมปนาทจากปากทางเข้า พุ่งทะลุทะลวงเข้าไปในใจนางจนแทบจะแหลกราญเป็นเสี่ยงๆ " กดแท่นให้ฝังกับผนัง นังหนู ! " เซียนกระเรียนร้องบอกว่องไว เท่าร่างชราเผ่นโผนมาถึงแท่นกระบี่ แล้วกดมันลงดัง ครืด ด ด ด… ชั่วแล่นที่ห็นเงาของอีแร้งเฒ่าจะทะลวงล้ำเข้ามา พลันบังเกิดแผ่นเหล็กแท่นหนาหนักนับร้อยชั่ง ตกลงมาปิดกั้นทางออกไว้สิ้น ถึงกระนั้นยังเกิดแรงปะทะกับแท่นเหล็ก เกิดเสียงดัง โครม โครม…เกรงว่าเซียนคฤธรกำลังใช้พลังวัตรกระแทกกระทั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย " โห้ย !...หวาดเสียวจนหัวใจแทบหยุดเต้น !..." คำกล่าวของอู่จ้าวทำเอาเซียนกระเรียนหัวเราะ ฮึ ฮึ ด้วยความเอ็นดู ทั้งที่มีเลือดไหลโทรมกาย " นังหนู เจ้ารู้จักกลไกปิดเปิดประตูด้วยรึ ! "...มันถามเสียงเครือ พร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้น ดรุณีน้อยต้องรีบเข้าไปประคองผู้เฒ่า แล้วเลือกที่จะชี้นิ้วไปยังผนังถ้ำแทนคำตอบ . " อ้อ !...เป็นวาสนาแท้ๆ…ฮึ ฮึ ฮึ…" " ดูท่านทำเข้า บาดเจ็บเพียงนี้ยังจะหัวเราะอีก ประเดี๋ยวก็แผลฉีกไปใหญ่พอดี !...มารีบทำแผลก่อนเถอะท่านผู้อาวุโส " นางกล่าวร้อนรน ขณะค่อยๆประคองเซียนกระเรียนนั่งลงกับพื้น แต่แทนที่เซียนเฒ่าจะยอมให้นางรักษาบาดแผล มันกลับยกมือห้ามปราม แล้วผนึกลมปราณ แผ่พลังขับกระบี่ที่ฝังตรงช่องท้องให้พุ่งกระเด็นไป " ท่านผู้อาวุโสทำแบบนี้อันตรายนะ ! " นางยังร้องเสียงลั่นตามสมทบ ทว่าเซียนกระเรียนยังแย้มยิ้ม เหมือนไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน กล่าวออกอย่างอิดโรยว่า " ประตูเหล็กขวางเซียนคฤธรไว้ได้ไม่นานหรอกนางหนู ลูกไม้ของเจ้าอย่างเดียวคงไม่ทำให้รอดออกไปได้แน่ " " โฮ้ !...ตาแร้งเฒ่ามีฝีมือร้ายกาจขนาดพังกำแพงเหล็กได้เชียวรึ ! …แล้วเราจะทำเช่นใดดีเล่าท่านผู้อาวุโส ? " นางร้องระล่ำระลัก พลางคว้าแขนผู้เฒ่าเขย่าด้วยความหวาดหวั่น " มีเพียงทางเดียวเท่านั้นล่ะนางหนู ! " เซียนกระเรียนตอบพลางแหง่นมองไปทางฮุ้นชุนชิว ที่บัดนี้ลอยตัวจนขาชี้ฟ้า บนกระม่อมมันถูกสองฝ่ามือเซียน วางทาบถ่ายทอดพลังวัตรถึงขั้นสุดท้ายแล้ว " ต้องพึ่งพาตาทึ่มนั้นนะรึ ? จะไหวเหรอผู้อาวุโส ขนาดพวกท่านสามคนยังสู้มันไม่ได้ แล้วมันคนเดียวจะรอดเหรอ ? " " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ต้องรอดอยู่แล้วนางหนู เพราะเราสามคนปะมือกับเซียนคฤธรทีละคน แต่ชุนชิวมีสามเซียนรวมเป็นหนึ่งในตัวมัน " เซียนกระเรียนกล่าวด้วยอารมณ์คึกคัก ก่อนจะโลดแล่นไปหาฮุ้นชุนชิว พร้อมกับยื่นฝ่ามือใส่กระม่อมมันอีกคน สามพลังการฝึกปรือกว่า180ปี กำลังถ่ายเทสู่ร่างชายหนุ่มดั่งกระแสธารเชี่ยวกราด จนชายหนุ่มรู้สึกปวดแปลบไปทั่วทุกจุดชีพจร ร้อนละอุดั่งไฟผลาญ สลับสับเปลี่ยนกับเย็นยะเยือกสุดขั้ว กระตุ้นให้มันกู่ร้องยืดยาว ระะบายความทุกข์อย่างที่ไม่เคยประสบ คละเคล้าเข้ากับเสียงกระแทกกระทั่นจากหลังกำแพงเหล็กดังสนั่น ข่มขวัญจนอู่จ้าวต้องยกมือปิดหู เบือนหน้าหนี อยากหนีห่างสถานการณ์อันบีบคั้นนี้ให้ไกลแสนไกล " ผู้ชายนะผู้ชาย !...แม้แต่เป็นนักพรตยังดุดันป่าเถื่อน น่ารังเกียจนัก ! ".... อู่จ้าวพร่ำบ่นกับตัวเองหลายครั้งหลายครา กว่าเสียงกระแทกกำแพงเหล็กจะเงียบสงบลง…. " อาจารย์ ! ท่านเป็นไรหรือไม่ ?..." เสียงตื่นตกใจของชายหนุ่ม กวักเรียกให้อู่จ้าวหันมองหา จึงได้พบว่าฮุ้นชุนชิวลงมานั่งอยู่กับพื้นแล้ว โดยสามเซียนเฒ่าต่างนอนระทดระทวยพิงผนังหิน อย่างสิ้นเรี่ยวแรง " อาจารย์ ท่านบาดเจ็บเพียงนี้ สมควรรักษาอาการก่อนเถิด ! " ฮุ้นชุนชิวรีบตาลีตาลาน เข้าไปประคองเซียนกระเรียนด้วยความห่วงใย แต่เซียนชรากลับยกมือห้าม เหมือนที่กระทำกับอู่จ้าวไม่มีผิด แตกต่างเพียงเซียนเฒ่าได้คว้าคันซอออกจากที่คล้องไหล่ แล้วยื่นส่งให้ศิษย์หนึ่งเดียวของมัน " หน้าซิ่วหน้าขวานขนาดนี้ ยังจะมีอารมณ์มาเล่นดนตรีอีก ! " อู่จ้าวบ่นอุบในใจ เมื่อเห็นท่าทีพิกลของศิษย์อาจารย์ ผิดกลับฮุ้นชุนชิวที่มีหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะยื่นมือไปรับซอซ่อมซ่อไว้ในมือ " ชุนชิวเอ่ย !...เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดอาจารย์เพียรฝึกฝนดนตรีให้เจ้าทั้งวี่วัน ซ้ำยังห้ามนักหนาไม่ให้เจ้าต่อยตีกับผู้ใด ? " " เพราะศิษย?เป็นผู้บำเพ็ญพรต สมควรมีจิตใจอ่อนโยน ไม่ควรกระทำการรุนแรงกับผู้คนเป็นอย่างยิ่ง "... " เด็กโง่ !...เจ้าดูนักพรตเฒ่าอย่างเราสามคนซิ หากไม่ต่อยตีจะมีสภาพเช่นนี้รึ ? " อีกสองเซียนหัวร่อแหบแห้งตามคำของเซียนกระเรียน ประหนึ่งจะเย้ยหยันต่อสภาพตัวเอง ที่ใกล้ดับสูญเต็มประดา " เพราะเจ้ามีพรสวรรค์ในเชิงยุทธเด่นล้ำมาแต่วัยเยาว์ รังสีสังหารแรงกล้านัก ข้าจึงต้องกล่อมเกลาใจเจ้าด้วยสุนทรียแห่งดนตรี และที่ห้ามไม่ให้ต่อสู้กับใคร เพราะเจ้าอาจหลงระเริงในชัยชนะ จนกำเลิบเป็นทรนงเหนือผู้คน กลับกลายเป็นกระหายโลหิตอยากการฆ่าฟัน ถูกจิตมารแทรกแซงในที่สุด "... " เอะ !...ถ้าอย่างนั้นให้พี่ชุนชิวไปเป็นทหารดีหรือไม่ ถ้ามันเก่งกาจขนาดนั้น รับรองได้ ว่าจะได้เป็นจอมทัพใหญ่ในชั่วพริบตาแน่ๆ " อู่จ้าวยังไม่วายเสียดแทรกการสนทนา ตามประสาเด็กช่างเจรจา " มันไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอกเด็กน้อย !...เมื่อจิตมารเข้าครอบงำแล้ว จะกลายเป็นชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์ไม่ใช่ทั้งปีศาจ คุ้มดีคุ้มร้ายเกินกว่าจะควบคุม หากไปออกศึกเกรงว่ามันจะสังหารหมดสิ้น แม้แต่พวกเดียวกันนะซิ ".. " โห้ !...ขนาดนั้นเชียว ! "... เซียนกระเรียนยกยิ้มด้วยความเมตตา ทั้งที่ใบหน้าซีดเซียว เหมือนไร้เลือดหล่อเลี้ยง มันโปรยยิ้มอบอุ่น พร้อมกับยกมือขึ้นลูบศรีษะฮุ้นชุนชิวเบาๆ " เจ้ารู้หรือไม่ วิชาผนึกเดือนตะวันของเซียนคฤธร มีรากฐานมาจากหลักธรรมของลัทธิเต๋า เช่นเดียวกับเพลงกระบี่ของข้า แต่เมื่อมันตีความหลักธรรมบิดเบี้ยว จิตมารพลันแทรกเข้าทำลายมันทั้งชีวิต…..เซียนคฤธรกับเจ้าล้วนเป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธ อาจารย์จึงหวาดกลัวว่าเจ้าจะหลงทางไปเช่นเดียวกับมัน แค๊ก แค๊ก แค๊ก…" " ศิษย์ไม่…ศิษย์ ศิษย์ !..." ฮุ้นชุนชิวกล่าวอึกๆอักๆ นึกคิดอะไรไม่ออก " ข้าจึงห้ามเจ้าอย่าทำร้ายเซียนคฤธรเด็ดขาด ! "...เซียนกวางทองแทรกเข้ามาทักท้วงทวงสัญญา คลี่คลายความอึดอัดของชายหนุ่มได้ทันการณ์ " โห้ !...แบบนี้ก็แย่ซิ แล้วถ้าตาแร้งเฒ่ามันลงไม้ลงมือกับพวกเราล่ะ จะให้ทำยังไง ? "...อู่จ้าวยังไม่วายขัดแย้งตามนิสัย " การป้องกันตัว ไม่จำเป็นต้องฆ่าฟันหรอกเด็กน้อย "...เซียนมัจฉาตอบรับด้วยความเมตตา ขณะมันหายใจได้อ่อนล้าเต็มที " ชุนชิว !...เจ้าทวนให้ข้าฟังอีกคราเถิด ว่าหัวใจอันเป็นแก่นแท้แห่งเพลงกระบี่อยู่ทีใด "....เซียนกระเรียนปล่อยมือลงพื้น หายใจรวยรินรอคอยถ้อยคำจากศิษย์ในวาระสุดท้าย ฮุ้นชุนชิวได้แต่ควบคุมน้ำตาไม่ให้หลั่งริน ขืนน้ำเสียงไม่ให้สั่นเทา กล่าวเชื่องช้าชัดถ้อยชัดคำ " เพลงกระบี่เฉวียน9ชั้น มีรากมาจากคัมภีร์เต๋าเต้อจิง 81บท 81กระบวนท่าของเพลงกระบี่ แบ่งแยกเป็น9ชั้น ชั้นละ 9 กระบวนท่า เทียบเท่าคำสอน 81 บทของท่านเล่าจื้อ….หากท่องแท้ในเพลงกระบี่จะแจ้งจบในวิถีแห่งเต๋า…" " ฟ้ามีอายุยาวนาน ดินมีอายุยาวนาน เหตุเพราะฟ้าและดิน มิได้ดำรงอยู่เพื่อตนเอง จึงดำรงค์ได้คงทน….ดังนั้นปราชญ์ย่อมตั้งตนอยู่รั้งท้าย แล้วจะกลับกลายเป็นหน้าสุด ละเลยตนเอง แต่กลับมีชีวิตอยู่อย่างเลิศล้ำ…" เซียนกระเรียนกล่าวเสริม ในเคล็ดวิชากระบวนท่า " กระบวนท่าสุดท้าย….เมื่อเจ้ากำมือจะถือครองได้หนึ่งสิ่ง แต่เมื่อเจ้าแบมือออก โลกทั้งใบจะเป็นของเจ้า …แค๊ก แค๊ก แค๊ก…" " ศิษย์จะจดจำให้ขึ้นใจครับอาจารย์ ! "... .ฮุ้นชุนชิวกล่าวเสียงเครือ นัยน์ตาคลอน้ำใส่ๆ เหมือนมันจะจำนนต่อการสูญเสียที่อยู่ต่อหน้า " จดจำหรือจะเท่ากระทำให้ประจักษ์ " เซียนกระเรียนเปรยวาจาแหบพร่า พลางปรายตามองกระบี่อ่อนของตนที่ตกอยู่กับพื้น " ศิษย์รับทราบแล้ว ! " ฮุ้นชุนชิวตอบรับไปกับอาการโลดแล่นหากระบี่ มันเพียงกวักมือเบาๆพลังวัตรอันเปี่ยมล้นพลันดึงดูดกระบี่ลอยละล่องมาไว้ในมือ จากนั้นการร่ายรำเพลงกระบี่อันเพิศแพร้วได้เวียนวาดเป็นสาย จากเชื่องช้าราวคนชราเคลื่อน สู่ว่องไวรวดเร็วจนเห็นเป็นเงาสีเงินวูบวาบเลื่อนลาง สามผู้อาวุโสต่างขยับตัวพิงผนัง เหม่อมองเพลงกระบี่ด้วยความชื่นชม ปะปนรอยยิ้มแห่งความหวังเปี่ยมล้น…ประหนึ่งว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่ในร่างกายชายหนุ่มก็ไม่ปาน แม้แต่อู่จ้าวที่ไม่รู้วิชายุทธ ยังเคลิบเคลิ้มไปกับกระบวนท่าของชายหนุ่ม ยิ่งกว่าเห็นนางรำชำนาญฟ้อนเสียด้วยซ้ำ ฮุ้นชุนชิวพลิ้วไหวเพลงกระบี่ ไปครบทั้ง81กระบวนท่า แล้วย้อนทวนกลับ สลับกระบวนท่า อีกสามรอบ ก่อนจะจบกระบวนท่าด้วยการผ่อนลมปราณปรับคืนปกติ แต่แล้วชายหนุ่มกลับต้องปล่อยกระบี่หลุดจากมือ ร่างสะท้านสั่นดั่งตกลงห้วงเหวลึก เมื่อเห็นทั้งสามปรมาจารย์แน่นิ่งสนิท สิ้นลมปราณไปเนินนานแล้ว…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD