ตอนที่ ๙ ขายศิลป์แต่มีค่าตัว
“สองหมื่นตำลึง”
“อะไรนะ?” หยางเฟิงเจี๋ยงงเป็นไก่ตาแตกเมื่ออยู่ดีๆ สตรีเบื้องหน้าก็พูดเรื่องเงินขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาลงอีกหลายส่วนด้วยความไม่พอใจ
“ข้าหมายความว่า ข้าจะให้ท่านสองหมื่นตำลึงแลกกับอิสระของข้า”
“อ้อ…” เขาลากเสียงยาว อมยิ้มชั่วร้าย “เจ้าพลาดไปแล้ว...น้องลู่”
ลู่เสียนแม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าวันนี่จะต้องมาถึง ทว่าก็อดตกใจไม่ได้ นางรีบลุกจนผ้าโปร่งบางที่หมวกสะบัดไหว “ท่าน…” นางฮึดฮัด “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าข้าจะให้ท่านสองหมื่นตำลึงเพื่อแลกกับอิสรภาพ”
“ข้าไม่ใช่ฉินหลี่เปียว”
“เอ๊ะ!” นางปลดหมวดสานออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลาที่ถูกตกแต่งอย่างดี เมื่อชายหนุ่มได้เห็นอย่างเต็มตาก็ตกตะลึงจนใจสั่นไหว รีบเบือนหน้าหนี
“เรื่องที่ข้าได้ค่ำคืนแรกของเจ้า...พรุ่งนี้คงถึงพระกรรณของจักรพรรดิ เจ้าพลาดเองที่คิดจะจับข้า”
ลู่เสียนถลึงตาใส่ชายหนุ่มด้วยความหงุดหงิด “ท่านคิดว่าข้าต้องการจะจับท่านหรือ เฮอะ! หากว่าคนที่มาไม่ใช่เมิงชิง ท่านอย่าคิดว่าข้าจะต้องพึ่งพาท่านนะ!”
น่าโมโห น่าโมโหเจียนจะอกแตกตายแล้ว นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนผู้นี้ถึงกับ...ถึงกับคิดว่านางจะจับเขา นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอที่ต้องพึ่งพาบุรุษเสียหน่อย แม้ว่าจะอาศัยบารมีของเขาเพื่อข่มเมิ่งชิงก็ตามเถอะ!
หยางเฟิงเจี๋ยปรายตามองลู่เสียนราวกับนางเป็นเพียงหนูหรือแมลงไร้ค่าภายในห้อง ท่าทางเย่อหยิ่งนั้นแตกต่างกับ ‘พี่เจี๋ย’ ลิบลับ นี่น่ะหรือคือตัวตนที่แท้จริงของเขา นางคงวางหมากพลาดไปแล้ว
“ท่านต้องการอะไรกันแน่?”
“มาเป็นอนุข้า...แลกกับการปกปิดสำนักบัณฑิต” หยางเฟิงเจี๋ยยื่นหน้าเข้าไปใกล้ลู่เสียน รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏตรงมุมปากของเขา ดวงตาคมกริบมองสำรวจจนนางรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกเปลื้องผ้า
“ท่าน...จะทำอะไรน่ะ” ลู่เสียนถอยกรูดจนสะดุดเท้าตัวเองล้มลงบนที่เตียง ท่วงท่าอันล่อแหลมทำให้หยางเฟิงเจี๋ยหรี่ตาอย่านึกสนุก เข้าใจนางผิดไปอีกมาก
“หน้าตาพอใช้...เป็นอนุข้าก็ไม่เลวนักหรอก”
นางหงุดหงิดจนหูอื้อตาลาย อยากหลบหนีไปให้พ้นๆ เผลอหลุดปากพูดออกมาด้วยความใจร้อนว่า “เป็นอนุก็เป็นไปสิไม่เห็นต้องทำหน้าตาหื่นกระหายขนาดนี้”
หยางเฟิงเจี๋ยสาวเท้าไปยังเตียงนุ่ม มองท่าทางตื่นกลัวของลู่เสียนด้วยความขบขัน ทว่าก็ยังต้องตีหน้าขรึมเพื่อกลบเกลื่อน ดวงตาจึงพราวระยับ
“มันต้องมีหลักฐานให้ผู้คนรู้สิว่าเจ้าเป็นของข้าแล้ว”
“ยะ...อย่างไร?”
“แบบนี้อย่างไรเล่า!”
ชายหนุ่มโอบร่างของลู่เสียนที่สั่นเทาเข้ามาแนบชิด มือเรียวซุกซนค่อยๆ รั้งสาบเสื้อเนื้อดีของนางออกอย่างเชื่องช้า มองใบหน้าซีดเผือดและร่างกายแข็งเกร็งของลู่เสียนในระยะใกล้ชิดด้วยความขบขัน
น้องลู่ของเขากลัวจนสั่นเกร็งไปหมดแล้ว…
ใบหน้าหล่อเหลาเกินใครของหยางเฟิงเจี๋ยปรากฏรอยยิ้มลึกลับ จนลู่เสียนที่อยู่ใกล้ชิดรับรู้ถึงลมหายใจของเขา
ครั้นเห็นลักยิ้มที่ปรากฏทั้งสองข้างบนแก้มสาก นางรู้สึกตื่นตะลึงจนตาค้าง
หยางเฟิงเจี๋ยอาศัยจังหวะที่ลู่เสียนพลั้งเผลอประทับจุมพิตอ่อนโยนลงบนกลีบปากนุ่มของนาง รสชาติหวานหอมยิ่งกว่าเหล้านารีแดงที่เพิ่งดื่มไป ยิ่งลิ้มลองก็ยิ่งมัวเมา...ริมฝีปากขององค์ชายสิบสามลากไล้ไปยังใบหูเล็กของนาง ขบเม้มจนลู่เสียนสะดุ้ง ก่อนที่จะเคลื่อนไปประทับตราแนบแน่นตรงซอกคอและเนินอกที่โผล่พ้นเสื้อเอี๊ยมสีขาวบริสุทธิ์ของนาง
ลู่เสียนรู้สึกราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง นางเจ็บแปลบที่ซอกคอและเนินอกราวกับโดนมดตัวเล็กรุมกัด หัวใจพลันคันยุบยิบ ทว่าในมโนภาพกลับเห็นเพียงแต่ใบหน้าของหยางเฟิงเจี๋ยที่ปรากฏลักยิ้ม
สติของนางพลันล่องลอย ราวกับคนบ้าปัญญาอ่อนผู้หนึ่ง จิตใจสับสนกระวนกระวาย คล้ายกับผีเสื้อนับร้อยกำลังโบยบินอยู่ในท้องนาง
น่ารัก...น่ารักอะไรอย่างนี้ จะมีบุรุษใดในใต้หล้าทั้งหล่อเหลาทั้งน่ารักได้ในเวลาเดียวกัน...
ราวกับเห็นแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ รู้สึกดุจมีดอกโบตั๋นผลิบานในช่องท้อง
นางตัดสินใจแล้ว...บุรุษเช่นนี้จะปล่อยหลุดมือไปได้อย่างไรกัน!
กระแสน้ำเย็นยะเยียบและความกดดันบีบคั้นอย่างแสนสาหัสทำให้นางรู้สึกอึดอัดจนยากจะบรรยาย ลู่เสียนพยายามถีบตัวให้โผล่พ้นผิวน้ำแต่กลับเป็นการทำให้ตนเองจ่มดิ่งลงสู่เบื้องล่าง น้ำหนักมหาศาลถ่วงข้อเท้าส่งผลให้ร่างของนางจมลึกลงกว่าเดิม นางอ้าปากโดยสัญญาชาตญาณ ทว่ากลับกลายเป็นเปิดโอกาสให้น้ำจำนวนมากไหลเข้าสู่จมูกและปาก ความแสบร้อนตรงจมูกและทรวงอกทำให้ลู่เสียนอ่อนแรง
“ลู่…”
เสียงนั้นอีกแล้ว…
ลู่เสียนพยายามตะเกียกตะกายเพื่อเคลื่อนตัวไปยังต้นเสียง ทว่าราวกับมีอะไรบางอย่างมาบีบรัดร่างกายจนทำให้นางต้องใช้แรงเฮือกสุดท้ายดิ้นให้หลุดจากพันธนาการนั้น
“ลู่…”
คราวนี้เสียงใกล้กว่าเดิมจนนางต้องรีบสลัดให้หลุดตัวพ้น นางพยายามเปิดปากเพื่อพูดแต่เสียงกลับถูกกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกแผ่วพลิ้วประหนึ่งล่องลอยท่ามกลางฟองคลื่นทำให้ลู่เสียนรู้สึกสบายตัว นางหมดแรง คิดปลงในใจจึงปล่อยให้ร่างกายล่องลอยไปตามกระแสคลื่นใต้น้ำ
ครั้นความเย็นสดชื่นปะทะผิวกาย ก็รู้สึกราวกับถูกต่อลมหายใจอีกครั้ง
หนัก…
รำคาญราวกับมดไต่…
ดวงตาคู่งามพลันหรี่ปรือขึ้น เปลือกตาภายใต้แพขนตาหนากะพริบเชื่องช้าเพื่อปรับความคุ้นชินกับแสงสว่าง อะไรบางอย่างเคลื่อนไปมาบนกายนางจนรู้สึกรำคาญ
บุรุษหนึ่งกำลังใช้ผ้าเช็ดผิวกายส่วนที่เปลือยเปล่าของนาง!
“ท่าน!”
ลู่เสียนรีบขยับกายถอยห่างตามสัญชาตญาณ มือบางไม่ลืมกระชากผ้าห่มผืนบางมาคลุมกายด้วยความตื่นตระหนกลนลาน
หยางเฟิงเจี๋ยตีหน้านิ่ง ในมือยังคงถือ ‘หลักฐาน’ เอาไว้ ไม่ได้รู้สึกกระดากอายเลยแม้แต่น้อย
“ท่านลวนลามข้า!” ลู่เสียนเอามือชี้หน้าชายหนุ่ม ในใจเต็มไปด้วยโทสะ ศักดิ์ศรีของนางป่นปี้หมดแล้ว
“ข้าเปล่า…”
“เห็นอยู่ว่าท่านเปลือยข้า แล้วยังเช็ดตัว ยังบอกว่าเปล่าอีกหรือ!” นางตะโกนใส่หน้าเขาจนเสียงแหบแห้ง ใบหน้างดงามขาวเผือดด้วยความรู้สึกหวิวๆ ในอก
องค์ชายสิบสามถอนหายใจ มือหนาที่มีรอยแดงโยนผ้าสีขาวสะอาดลงในอ่างทองเหลืองด้านข้าง สีหน้าเย็นชาเจือความรำคาญอยู่หลายส่วน “เจ้าละเมอจนเกือบจะตาย ข้ายังจะมีอารมณ์ทำอะไรเจ้าอีกหรือ?”
ลู่เสียนมองเขาด้วยความระแวดระวังก่อนจะก้มมองสภาพของตนเองใต้ผ้าห่ม เสื้อผ้าของนางยังอยู่ครบ มีเพียงส่วนบนเท่านั้นที่สาบเสื้อถูกคลาย แขนเสื้อสีขาวถูกร่นจนถึงข้อศอก และรอยแดงตรงเนินอก
ใบหน้าซีดเผือดของลู่เสียนพลันร้อนฉ่า
เหตุการณ์เมื่อคืนย้อนมาเตือนความทรงจำนางอีกครั้ง
ริมฝีปากของหยางเฟิงเจี๋ยขบเม้มลำคอและเนินอกที่โผล่พ้นเสื้อเอี๊ยม ก่อนจะวกเข้าสู่ริมฝีปากของนางอีกครั้ง และอีกครั้ง...ทว่านางเพียงรู้สึกมัวเมากับรสสุราในปากของเขา…
สติของนางก็หลุดลอยไป…
หยางเฟิงเจี๋ยมองหน้าแดงก่ำของลู่เสียนด้วยความขบขัน อาการเงียบของนางนั้นแสดงว่าจำอะไรได้บ้างแล้วสินะ มุมปากของเขาหยักยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาของลู่เสียนพลันเหลือบเห็นรอยยิ้มขบขันของเขาก่อนที่ชายหนุ่มจะชะงักค้าง คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความสงสัย...นางใช้มือแตะริมฝีปากของตนเองแผ่วเบาด้วยความรู้สึกประหลาด
น่าแปลก...เหตุใดจึงรู้สึกราวกับว่าโดนผึ้งต่อยปากเช่นนี้…
หยางเฟิงเจี๋ยเก็บรอยยิ้มพลางปั้นหน้าไม่รู้เรื่องราว แม้ว่าจะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ที่เห็นลู่เสียนใช้มือแตะริมฝีปากแล้วมองมาที่เขาด้วยความสงสัยก็ตาม
“เมื่อครู่ท่านทำอะไรข้า?”
“เจ้าฝันร้ายจนเหงื่อแตก ข้าเพียงแค่เช็ดตัวให้”
ดวงตางดงามราวกับลูกกวางหรี่ลงด้วยความคลางแคลง “จริงรึ?”
“อืม...เจ้าตื่นแล้วข้าจะไปบอกคนให้เตรียมอาหารเช้า” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่รอให้นางซักไซ้อีก อาการร้อนตัวนั้นยิ่งทำให้ลู่เสียนรู้สึกสงสัยยิ่งขึ้น
‘เสียง ‘ลู่’ เมื่อครู่ คงเป็นเขาเรียกข้ากระมัง…’ ฐานะของนางถูกเขาจับได้แล้ว
ลู่เสียนเลิกคิดเรื่องราวที่ชวนให้ปวดหัว นางจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเริ่มสำรวจห้องที่แปลกตาด้วยความงุนงง
“คงไม่ใช่จวนที่เขาพักอยู่หรอกนะ…”
ข้าวของเครื่องใช้ในห้องล้วนประณีตและมีราคา กระทั่งมุ้งและเครื่องนอนก็เป็นของชั้นหนึ่งในเจียงหนาน โดยเฉพาะเครื่องลายครามลวดลายประณีตตรงกลางห้อง ดูละเอียดและสูงค่ายิ่ง สายตาของลู่เสียนพลันเหลือบเห็นภาพหนึ่งตรงผนัง ฝีพู่กันที่เข้มแข็งทว่าแฝงความละเอียดอ่อนไว้อย่างนุ่มนวลของยอดไผ่ ดูแล้วให้ความรู้สึกฮึกเหิมและเข้มแข็งราวกับว่าถูกดึงดูดให้จมอยู่กับทุกเส้นสายของภาพ
“นั่นเป็นภาพไผ่ของกวนเต้าเซิง[1]”
ลู่เสียนรีบละสายตาจากภาพนั้นด้วยความเก้อเขิน ไม่กล้าสบตากับ หยางเฟิงเจี๋ยที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร “คนบ้านนอกเช่นข้าเพิ่งเคยเห็นผลงานชิ้นเอกของจิตรกรมีชื่อ”
“อืม...นั่งสิ เดี๋ยวคนจะนำสำรับเข้ามา”
ลู่เสียนเก็บไม้เก็บมือ เดินมานั่งข้างเขาอย่างว่าง่าย แม้ว่าในใจจะรู้สึกอึดอัดกับสายตาเย็นชาคู่นั้นก็ตาม
ไม่คุ้นเคยทั้งยังอึดอัดยิ่ง…
ไม่นานนักสาวใช้ก็ยกสำรับเข้ามา กับข้าวหน้าตาน่ากินถูกยกเข้ามาโดยสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้ม ท่าทีที่พวกนางเกรงอกเกรงใจหยางเฟิงเจี๋ยนั้น ลู่เสียนไม่ได้แปลกใจเท่าใด ทว่าสายตาดูถูกดูแคลนที่มองมายังนางนั่นคืออะไรกัน?
“ทำไมไม่กินให้มาก มื้อเช้าสำคัญที่สุด” พูดจบผักมากมายก็ถูกคีบใส่จนพูนชาม
ลู่เสียนขมวดคิ้วมุ่น รีบขัดตะเกียบของเขาเอาไว้ “ไม่ต้องแล้ว ข้ากินเองได้”
“เป็นสตรีร่างกายผ่ายผอมใครจะอยากให้แต่งเข้าวัง” หยางเฟิงเจี๋ยบ่นพึมพำ แต่ไหนเลยจะรอดพ้นหูของลู่เสียนได้
“สตรียุคนี้เน้นร่างกายบอบบางอรชร อยากได้สตรีมีเนื้อหนังก็ไปเชิญแม่หมูมาแต่งเข้าจวนเถิด”
หยางเฟิงเจี๋ยหัวเราะในลำคอจนแทบจะสำลัก เขารีบหันหน้าไปกระแอมเพื่อเก็บเสียงหัวเราะก่อนจะตีหน้าขรึมพูดกับลู่เสียนด้วยท่าทีเป็นการเป็นงาน
“รู้ดีนี่ ตอนนี้ข่าวว่าเจ้าเป็นอนุของข้าดังไปทั่วทั้งซูโจวแล้ว ต่อไปนี้ก็จงก้มหน้าก้มตาเป็นอนุที่ดีให้กับข้า เผื่อข้าจะเมตตาเลื่อนขั้นให้เจ้าเป็นพระชายา”
ปึ้ก!
มือบางวางตะเกียบลงบนโต๊ะไม้ด้วยความรุนแรงจนเนื้อไม้เป็นร่องลึก นิ้วเรียวกดปลายตะเกียบจนหักดังเป๊าะ ดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะของนางจ้องมองเขาจนแทบจะฉีกใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั้นเป็นริ้ว
รู้ดีอยู่หรอกว่าน่าไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะออกความเห็นใดๆ ให้แก่บุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณ และด้วยศักดิ์ฐานะของเขาแล้ว ตัวนางจะต่างอะไรกับสามัญชนที่ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเล่า?
ทว่าในตัวนางนั้นยังมีความหยิ่งผยองสายหนึ่ง ติดตัวนางมาจนเป็นนิสัยที่แม้แต่กู้เหยียนชิงก็ต้องยอมอ่อนข้อ
ลักพาตัวนางมาโดยไม่บอกกล่าวถือเป็นหนึ่งกระทง ป่าวประกาศฐานะของนางออกไปโดยไม่บอกกล่าวอีกหนึ่งกระทง!
ลู่เสียนกัดฟันเพื่อข่มความโมโห “ท่าน!...” นางหลับตาสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาแล้วพูดโดยไม่หยุดพัก “ข้าจะใช้เงินคืนท่านสองหมื่นตำลึง หากท่านไม่พอใจให้ไปฟ้องร้องเอากับนายอำเภอ คนอย่าง หมิงลู่เสียนไม่จำเป็นต้องแต่งเพื่อเป็นอนุของผู้ใด ยิ่งคนที่ไม่ให้เกียรติสตรีเช่นท่านข้ายิ่งรังเกียจ เสียแรงที่ข้าสติเลอะเลือนคิดว่า ‘พี่เจี๋ย’ เป็นสุภาพบุรุษ ที่แท้ก็เป็นพวกเหยียดชนชั้นเช่นเดียวกับขุนนางและพวกผู้ดีเหล่านั้น ลาขาด!”
นางลุกขึ้น ข่มใจอดกลั้นไม่ให้เผลอฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของหยางเฟิงเจี๋ย
ในยุคนี้แม้สตรีจะถูกยอมรับในฐานะบัณฑิต ทว่าโอกาสก้าวข้ามไปเป็นข้าราชการนั้นยากยิ่ง เว้นเสียแต่ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์และได้เป็นท่านหญิงหรือภรรยาของขุนนางใหญ่ จึงจะได้รับบรรดาศักดิ์ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงตำแหน่งไร้ค่าให้สตรีได้เชิดคอขึ้นสูง
น่าเสียดาย...ผู้ที่ถูกยอมรับว่าเก่งจริงกลับมีเพียงหม่าซุ่ยเหลียนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปราชญ์หญิงแห่งยุค ที่เหลือแล้วล้วนแต่เป็นตำแหน่งที่อุปโลกน์ขึ้นมาให้ดูสูงส่งเท่านั้น
ลู่เสียนมิอาจละทิ้งคำสัญญากับบิดามารดาบุญธรรมได้...
แม้ว่าฐานะอนุขององค์ชายที่เป็นถึงโอรสของจักรพรรดิจะเป็นที่หมายปองของสตรีมากมาย ความฝันที่จะตามสืบหาชาติตระกูลของนางและการพิสูจน์ตัวเองให้ผู้คนทั่วหล้าเห็นกลับแรงกล้ายิ่งกว่า
เงินทองมากมายนางสามารถหาได้ในเวลาไม่ถึงปี จะให้คนอย่างลู่เสียนก้มศีรษะให้กับตำแหน่งที่สร้างปัญหามาให้อย่างนั้นหรือ?
ลู่เสียนจ้ำอ้าวออกจากจวนโดยไม่สนใจท่าที่แปลกใจของคนในบริเวณนั้นเลยแม้แต่น้อย ใบหน้างดงามที่บึ้งตึงของนางทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว พายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ลู่เสียนนับถอยหลังในใจเพื่อเดินออกไปยังประตูตำหนัก
…แม้ว่าจะต้องถูกสายตาสงสัยมากมายของผู้คนก็ไม่สนใจแล้ว
หมับ!
จังหวะที่จะก้าวข้ามธรณีประตูกลับถูกรั้งแขนเอาไว้…
[1] กวนเต้าเซิง จิตรกรหญิงมีชื่อในสมัยราชวงศ์หยวน